“จงรัก” ชี้ม็อบถ่อยเสื้อแดงกระทำการผิดกฎหมาย เจ้าทุกข์แจ้งความแล้ว 3 คดี ร้องสื่อขอภาพเหตุการณ์นำไปดำเนินคดี ส่วนมาตรการป้องกัน “เสื้อแดง” ป่วน วันแถลงนโยบายรัฐบาล มอบ ผบก.น.1 รับผิดชอบ ด้าน พล.ต.ต.เอกรัตน์ ทำมึนอ้างไม่เห็นอาวุธมีดที่ม็อบเสื้อแดงนำออกมาไล่ทำร้ายกลุ่ม ส.ส.ที่ขับรถออกมาจากสภา
วันนี้ (16 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ สน.ดุสิต พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ได้เรียก พล.ต.ต.ดำริห์ โชติเศรษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต พ.ต.ท.สำเริง ส่งเสียง รอง ผกก.ปป.สน.ดุสิต ร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมปิดล้อมอาคารรัฐสภา และก่อเหตุวุ่นวาย โดยเฉพาะขว้างปาก้อนหินใส่รถยนต์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จนได้รับความเสียหายไปจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คัน
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า วันนี้ได้เดินทางมาประชุมสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายของบ้านเมือง ตำรวจมีหน้าที่ดำเนินการไปตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว การแสดงความไม่พอใจหรือไม่ยอมรับก็สามารถแสดงได้ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้นั้น เท่าที่ตรวจสอบพบว่ามีการเอาแผงเหล็กไปปิดกั้นประตูทางเข้าออกรัฐสภา ซึ่งมีมูลความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 นอกจากนี้ยังมีการทุบกระจกรถทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ส่วนเรื่องการทำร้ายร่างกายนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้นั้นเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทางตำรวจต้องกระทำตามหน้าที่ โดยระหว่างการสอบสวนนี้ ต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้นำเทปบันทึกเหตุการณ์มามอบให้ทางตำรวจจะดำเนินคดีไป ทั้งนี้ หากมีใครได้รับบาดเจ็บหรือได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ให้เดินทางมาแจ้งความได้ โดยได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 จัดพนักงานสอบสวนไว้รอรับแจ้งความแล้ว แต่หากใครได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถเดินทางมาแจ้งความได้ พนักงานสอบสวนก็พร้อมที่จะเดินทางไปสอบปากคำที่โรงพยาบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีผู้มาร้องทุกข์จึงจะสามารถดำเนินคดีได้ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ตำรวจดำเนินคดีได้อยู่แล้ว แต่หากมีผู้มาร้องทุกข์ ตำรวจจะได้รู้ว่ามีใครได้รับบดเจ็บหรือได้รับความเสียหายอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้ลงในรายละเอียดในคดีไป ซึ่งในขณะนี้มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์แล้ว 3 ราย คือ กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ก้อนหินทำลายรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮข-6206 กทม.ของว่าที่ ร.ต.หญิงระนองรัตน์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง กระจกแตกรอบคัน ตัวถังบุบเสียหาย
คดีที่ 2 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ก้อนหินทำลายรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮก-5959 กทม.ของนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความเสียหายหายเช่นกัน นอกจากนี้ยังทำให้นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่นั่งมาในรถของนายองอาจได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่เจ้าตัวยังไม่ได้มาแจ้งความ ส่วนอีกคดีคือคดีที่ชายในรถเบนซ์ สีดำ ปาขวดบรรจุของเหลวคล้ายน้ำกรดใส่พื้นจนแตก ทำให้นายวิรัตน์ พร้อมเพรียง อายุ 50 ปี หนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บขาซ้ายแสบบวม
ต่อข้อถามที่ว่า จากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อวานนี้นั้นในวันที่จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาลจะมีการป้องกันเหตุความรุนแรงอย่างไร พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ในส่วนของการป้องกันเหตุนั้น ตำรวจที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการอยู่แล้ว หากมีการกระทำละเมิดกฎหมาย ตำรวจก็จะต้องเข้าไปดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเาสื้อแดงไปชุมนุมกันที่สนามหลวงนั้น เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองหรือกระทำละเมิดกฎหมาย สำหรับเรื่องการบันทึกคำปราศรัย ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น เป็นขั้นตอนปฏิบัติที่ ผบก.น.1 จะต้องรับผิดชอบ อยู่แล้ว
ด้าน พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.กล่าวก่อนประชุมประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่าจะฟังสรุปสถานการณ์และแนวทางรับมือกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ได้จากการหาข่าว โดยตำรวจสันติบาลจะมาให้ข้อมูล ส่วนกลุ่มวิทยุแท็กซี่ที่มีข่าวจะมาชุมนุมนั้นกำลังพิจารณาจัดกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย
พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าวต่อว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เตรียมไว้มีจำนวน 11 กองร้อย เตรียมพร้อมปฏิบัติทันที 8 กองร้อย ส่วนอีก 3 กองร้อยพร้อมสนับสนุนภายใน 1 ชั่วโมง และยังไม่ต้องร้องขอกำลังจากหน่วยอื่น อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันว่า วันที่อาจเกิดเหตุรุนแรง คือ วันแถลงนโยบาย ซึ่งตำรวจต้องเตรียมการให้พร้อมที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเตรียมแผนรองรับกลุ่มเสื้อแดงจากต่างจังหวัดอย่างไร พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าวว่า เรื่องแผนการรับมือคงไม่สามารถบอกได้ แต่ตำรวจต้องรับมือได้ ถ้ารับมือไม่ไหว คงต้องร้องขอกำลังจากทหาร ตอนนี้มีการประเมินสถานการณ์วันต่อวันและต้องดูจำนวนที่แท้จริง เพราะเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ยอดผู้ชุมนุมมีไม่ถึง 1,000 คน
“ส่วนตำรวจจะทบทวนมาตรการควบคุมฝูงชน และรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างไรนั้น การประชุมเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 15 ธันวาคม มีการพูดในที่ประชุมว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้ารัฐสภามีจำนวนน้อย แต่ตำรวจไม่กล้าเข้าถึงตัว เพราะมีคำสั่งให้ใช้ความละมุนละม่อม ทั้งที่ตำรวจมีจำนวนมากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมาก ความจริงตำรวจสามารถรับมือได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ขว้างปาก้อนอิฐใส่รถยนต์ จนเป็นเหตุให้ ส.ส.บางคนบาดเจ็บนั้น คงต้องดูจากภาพและตามสืบสวน ทั้งนี้ ผมไม่เห็นอาวุธมีดใดๆ” พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าว




วันนี้ (16 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ สน.ดุสิต พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ได้เรียก พล.ต.ต.ดำริห์ โชติเศรษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต พ.ต.ท.สำเริง ส่งเสียง รอง ผกก.ปป.สน.ดุสิต ร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมปิดล้อมอาคารรัฐสภา และก่อเหตุวุ่นวาย โดยเฉพาะขว้างปาก้อนหินใส่รถยนต์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จนได้รับความเสียหายไปจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คัน
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า วันนี้ได้เดินทางมาประชุมสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายของบ้านเมือง ตำรวจมีหน้าที่ดำเนินการไปตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว การแสดงความไม่พอใจหรือไม่ยอมรับก็สามารถแสดงได้ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้นั้น เท่าที่ตรวจสอบพบว่ามีการเอาแผงเหล็กไปปิดกั้นประตูทางเข้าออกรัฐสภา ซึ่งมีมูลความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 นอกจากนี้ยังมีการทุบกระจกรถทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ส่วนเรื่องการทำร้ายร่างกายนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้นั้นเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทางตำรวจต้องกระทำตามหน้าที่ โดยระหว่างการสอบสวนนี้ ต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้นำเทปบันทึกเหตุการณ์มามอบให้ทางตำรวจจะดำเนินคดีไป ทั้งนี้ หากมีใครได้รับบาดเจ็บหรือได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ให้เดินทางมาแจ้งความได้ โดยได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 จัดพนักงานสอบสวนไว้รอรับแจ้งความแล้ว แต่หากใครได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถเดินทางมาแจ้งความได้ พนักงานสอบสวนก็พร้อมที่จะเดินทางไปสอบปากคำที่โรงพยาบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีผู้มาร้องทุกข์จึงจะสามารถดำเนินคดีได้ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ตำรวจดำเนินคดีได้อยู่แล้ว แต่หากมีผู้มาร้องทุกข์ ตำรวจจะได้รู้ว่ามีใครได้รับบดเจ็บหรือได้รับความเสียหายอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้ลงในรายละเอียดในคดีไป ซึ่งในขณะนี้มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์แล้ว 3 ราย คือ กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ก้อนหินทำลายรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮข-6206 กทม.ของว่าที่ ร.ต.หญิงระนองรัตน์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง กระจกแตกรอบคัน ตัวถังบุบเสียหาย
คดีที่ 2 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ก้อนหินทำลายรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮก-5959 กทม.ของนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความเสียหายหายเช่นกัน นอกจากนี้ยังทำให้นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่นั่งมาในรถของนายองอาจได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่เจ้าตัวยังไม่ได้มาแจ้งความ ส่วนอีกคดีคือคดีที่ชายในรถเบนซ์ สีดำ ปาขวดบรรจุของเหลวคล้ายน้ำกรดใส่พื้นจนแตก ทำให้นายวิรัตน์ พร้อมเพรียง อายุ 50 ปี หนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บขาซ้ายแสบบวม
ต่อข้อถามที่ว่า จากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อวานนี้นั้นในวันที่จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาลจะมีการป้องกันเหตุความรุนแรงอย่างไร พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ในส่วนของการป้องกันเหตุนั้น ตำรวจที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการอยู่แล้ว หากมีการกระทำละเมิดกฎหมาย ตำรวจก็จะต้องเข้าไปดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเาสื้อแดงไปชุมนุมกันที่สนามหลวงนั้น เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองหรือกระทำละเมิดกฎหมาย สำหรับเรื่องการบันทึกคำปราศรัย ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น เป็นขั้นตอนปฏิบัติที่ ผบก.น.1 จะต้องรับผิดชอบ อยู่แล้ว
ด้าน พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.กล่าวก่อนประชุมประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่าจะฟังสรุปสถานการณ์และแนวทางรับมือกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ได้จากการหาข่าว โดยตำรวจสันติบาลจะมาให้ข้อมูล ส่วนกลุ่มวิทยุแท็กซี่ที่มีข่าวจะมาชุมนุมนั้นกำลังพิจารณาจัดกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย
พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าวต่อว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เตรียมไว้มีจำนวน 11 กองร้อย เตรียมพร้อมปฏิบัติทันที 8 กองร้อย ส่วนอีก 3 กองร้อยพร้อมสนับสนุนภายใน 1 ชั่วโมง และยังไม่ต้องร้องขอกำลังจากหน่วยอื่น อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันว่า วันที่อาจเกิดเหตุรุนแรง คือ วันแถลงนโยบาย ซึ่งตำรวจต้องเตรียมการให้พร้อมที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเตรียมแผนรองรับกลุ่มเสื้อแดงจากต่างจังหวัดอย่างไร พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าวว่า เรื่องแผนการรับมือคงไม่สามารถบอกได้ แต่ตำรวจต้องรับมือได้ ถ้ารับมือไม่ไหว คงต้องร้องขอกำลังจากทหาร ตอนนี้มีการประเมินสถานการณ์วันต่อวันและต้องดูจำนวนที่แท้จริง เพราะเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ยอดผู้ชุมนุมมีไม่ถึง 1,000 คน
“ส่วนตำรวจจะทบทวนมาตรการควบคุมฝูงชน และรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างไรนั้น การประชุมเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 15 ธันวาคม มีการพูดในที่ประชุมว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้ารัฐสภามีจำนวนน้อย แต่ตำรวจไม่กล้าเข้าถึงตัว เพราะมีคำสั่งให้ใช้ความละมุนละม่อม ทั้งที่ตำรวจมีจำนวนมากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมาก ความจริงตำรวจสามารถรับมือได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ขว้างปาก้อนอิฐใส่รถยนต์ จนเป็นเหตุให้ ส.ส.บางคนบาดเจ็บนั้น คงต้องดูจากภาพและตามสืบสวน ทั้งนี้ ผมไม่เห็นอาวุธมีดใดๆ” พล.ต.ต.เอกรัตน์ กล่าว