“อำนวย” กลัวติดคุก ซัด ป.ป.ช.เลือกปฏิบัติไม่ไต่สวน “สมชาย-จงรัก” เหตุนองเลือด 7 ตุลาทมิฬ อ้างตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นนั่งวางแผนเข่นฆ่าประชาชน ดับเครื่องชนวิ่งโร่ร้อง ป.ป.ช.ให้ยกเลิกมติตั้ง “วิชา มหาคุณ” เป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนค้นหาความจริงใครเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ยกเหตุผลอ้างคำสัมภาษณ์ถูกกล่าวหาใส่ร้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม หัวหมอส่งลูกน้องร้องทุกข์ สน.พญาไท ให้ “วิชา” เป็นคู่กรณีเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง เพื่อให้ ป.ป.ช.ระงับคำสั่ง
วันนี้ (12 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ได้ทำหนังสือร้องเรียนเสนอไปยังประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เลขที่ ตช 0016.146 / 5549 ในการขอคัดค้านการมีมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ 61/2551 เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 51 และคัดค้านการแต่งตั้งบุคคลเป็นอนุกรรมการการไต่สวน อ้างถึงหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช.ลับ ด่วนมาก ที่ ปช 0014/5995 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2551
โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งว่าได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมในพื้นที่บริเวณหน้ารัฐสภา ถ.อู่ทองใน บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย บริเวณหน้า บช.น. บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณใกล้เคียง ในท้องที่เขตดุสิต กทม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 โดยใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนที่กำลังชุมนุมถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบด้วยว่า หากประสงค์จะคัดค้านผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการไต่สวน ให้ทำหนังสือแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้าน ยื่นต่อ ป.ป.ช. ภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน หรือวันทราบเหตุแห่งการคัดค้านดังกล่าว
อ้าง ป.ป.ช.ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ
ทั้งนี้ หนังสือฉบับดังกล่าวระบุอ้างอิงว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาได้มีความเห็นว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งมี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน กับพวกทั้ง 9 คน ไม่มีสถานภาพเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเข้าดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ที่ยังไม่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้นถือได้ว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงพระบรมราชโองการเพราะเป็นเรื่องของพระราชอำนาจ จึงไม่สมบูรณ์ และไม่ชอบด้วยกฎหมายและยังไม่อาจทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ เป็นคณะบุคคลที่ไม่มีอำนาจดำเนินการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
ปัด 7 ตุลาทมิฬ ไม่อยู่ในเหตุการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่กล่าวหากระผม (พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน) ในเรื่องนี้โดยที่ยังไม่มีการค้นหาความจริง ซึ่งถ้าหากได้ดำเนินการไปเพียงเล็กน้อยก็จะทราบได้ทันทีว่า กระผมมิได้มีส่วนร่วมกระทำการใดๆ ตามที่กล่าวหาเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากระผมมิได้อยู่ร่วมในการประชุมวางแผนฯ กำหนดมาตรการในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 มิได้ปฏิบัติ ควบคุม หรือสั่งการปฎิบัติใดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ตลอดในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพราะกระผมติดงานพิธีพระราชทานเพลิงศพบิดากระผม และกระผมไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใดๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวเลย ตามที่ได้มีเอกสารข้อเท็จจริง และหลักฐานแนบสิ่งที่ส่งมาด้วย
โวยไม่สอบ “สมชาย-จงรัก”
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อำนวย ได้ระบุในหนังสือว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งที่ 318 / 2551 ลงวันที่ 20 ตุลคาคม 2551 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 3 คนเท่านั้น คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. โดยละเว้นการไต่สวน นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. จึงถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนการแห่งกฎหมาย แต่เป็นการเลือกปฏิบัติในลักษณะไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ตามหนังสือที่ 318/2551 ลงวันที่ 20 ต.ค. 51 แต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน กระผมเห็นว่าจะก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมหลายประการ ทั้งในเรื่องการพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและคุณสมบัติของอนุกรรมการ
อ้าง “วิชา” เป็นบุคคลต้องห้าม
โดย พล.ต.ต.อำนวย อ้างอิงว่า นายวิชา มหาคุณ เป็นบุคคลซึ่งมีเหตุต้องห้ามการเป็นอนุกรรมการไต่สวนได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายแขนง เช่น ปรากฏตามเว็บไซต์http://www.pochnews.com/news/political/1936.htm มีข้อความว่า แนวทางการสอบสวนคดีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะ ป.ป.ช.มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นกลางเมือง ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียกข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งการในการสลายการชุมนุมทั้งหมด ตลอดจนมติ ครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.มาพิจารณาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม และสั่งให้สลายการชุมนุมด้วยวิธีการอย่างไร โดยจะต้องพิจารณาว่าเป็นการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการเกินกว่าเหตุหรือไม่ ทางคณะอนุกรรมการจะเรียก แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ปากคำด้วย เบื้องต้นเท่าที่ดู พล.ต.อ.พัชรวาท พล.ต.ท.สุชาติ พล.ต.ต.อำนวย นั้นมีพฤติการณ์ความผิดที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะมีการปรากฏตัวอยู่ในระหว่างที่ตำรวจกำลังสลายการชุมนุม ส่วนการสอบสวนจะสาวไปถึงนายสมชายหรือไม่นั้น ต้องดูมติ ครม.นัดพิเศษ วันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการสั่งการอย่างไร
พล.ต.ต.อำนวย ยังระบุในเนื้อหาหนังสือว่า ข้อความที่นายวิชาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 51 ซึ่งเป็นขณะที่ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวน แสดงให้เห็นว่า นายวิชา เป็นผู้ได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นความคิดเห็นหรือความเชื่อของตนทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มการไต่สวน การกระทำของนายวิชา เห็นได้ชัดแจ้งว่านายวิชา มีความคิดหรือมุมมองที่เป็นอคติและไม่เป็นกลางในทางที่เป็นผลร้ายแก่กระผมกับพวกเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสังว่าจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม
ไม่ยอมรับความจริงตั้งข้อหากบฏพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อำนวย อ้างด้วยว่า นายวิชาได้บรรยายในการสัมมนาหัวข้อ “คณะกรรมการ ป.ป.ช.กับการตรวจสสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ 2550” ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้ระบบไต่สวนในการค้นหาความจริง ซึ่งจะลงไปไต่สวนสวบค้นหาความจริง ต่างกับตำรวจใช้ระบบกล่าวหา เมื่อตั้งข้อหาแล้วก็หาพยานหลักฐานเพื่อฟ้องผู้ต้องหา ตำรวจใช้กฎหมายจารีตนครบาล ซึ่งเป็นวิธีทรมานผู้ต้องหาบีบขมับ ตอกเล็บ บีบจนกระดูกนิ้วป่น ชอบตั้งข้อหาเกินความเป็นจริง อย่างคดีพันธมิตรฯ ไปตั้งข้อหากบฏ จนหาทางลงกันไม่ได้ กระผมในฐานะเป็นพนักงานสอบสวนคดีกล่าวหาแกนนำพันธมิตรว่ากระทำผิดกบฎ เห็นว่าคำกล่าวของนายวิชา ข้างต้นเป็นการใส่ความกระผม และพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง บช.น.โดยทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
แจ้ง สน.พญาไทจับ “วิชา”
ตนจึงได้มอบอำนาจให้ พ.ต.ท.มานะ เผาะช่วย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ให้ดำเนินคดีนายวิชาในความผิดดังกล่าว ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ข้อ 1 ลงวันที่ 1 พ.ย. 51 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 2346 (ส) / 2551 นายวิชา จึงเป็นคู่กรณีในคดีที่ตนร้องทุกข์ ย่อมถือเป็นปฏิปักษ์กับตน ถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับตน ซึ่งต้องห้ามมิให้แต่งตั้งเป็นอนุกรรมการไต่สวนตามมาตรา 46(2) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งถือว่านายวิชา เป็นคู่กรณีกับตน เข้าข่ายต้องห้ามที่จะใช้อำนาจไต่สวนในเรื่องที่กล่าวหาตน ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงข้างต้นตนขอให้ยกเลิกมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่ส่วนกรณีนี้ และ/ หรือระงับการดำเนินการไต่สวนไว้ก่อน แล้วส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อกฎหมายที่ตนได้โต้แย้งซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติที่แน่ชัดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งคัดค้านให้นายวิชา มหาคุณ เป็นอนุกรรมการไต่สวน ผลการพิจารณาเป็นอย่างใดโปรดแจ้งให้ตนทราบโดยด่วนด้วย
วันนี้ (12 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ได้ทำหนังสือร้องเรียนเสนอไปยังประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เลขที่ ตช 0016.146 / 5549 ในการขอคัดค้านการมีมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ 61/2551 เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 51 และคัดค้านการแต่งตั้งบุคคลเป็นอนุกรรมการการไต่สวน อ้างถึงหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช.ลับ ด่วนมาก ที่ ปช 0014/5995 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2551
โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งว่าได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมในพื้นที่บริเวณหน้ารัฐสภา ถ.อู่ทองใน บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย บริเวณหน้า บช.น. บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณใกล้เคียง ในท้องที่เขตดุสิต กทม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 โดยใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนที่กำลังชุมนุมถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบด้วยว่า หากประสงค์จะคัดค้านผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการไต่สวน ให้ทำหนังสือแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้าน ยื่นต่อ ป.ป.ช. ภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน หรือวันทราบเหตุแห่งการคัดค้านดังกล่าว
อ้าง ป.ป.ช.ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ
ทั้งนี้ หนังสือฉบับดังกล่าวระบุอ้างอิงว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาได้มีความเห็นว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งมี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน กับพวกทั้ง 9 คน ไม่มีสถานภาพเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเข้าดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ที่ยังไม่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้นถือได้ว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงพระบรมราชโองการเพราะเป็นเรื่องของพระราชอำนาจ จึงไม่สมบูรณ์ และไม่ชอบด้วยกฎหมายและยังไม่อาจทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ เป็นคณะบุคคลที่ไม่มีอำนาจดำเนินการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
ปัด 7 ตุลาทมิฬ ไม่อยู่ในเหตุการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่กล่าวหากระผม (พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน) ในเรื่องนี้โดยที่ยังไม่มีการค้นหาความจริง ซึ่งถ้าหากได้ดำเนินการไปเพียงเล็กน้อยก็จะทราบได้ทันทีว่า กระผมมิได้มีส่วนร่วมกระทำการใดๆ ตามที่กล่าวหาเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากระผมมิได้อยู่ร่วมในการประชุมวางแผนฯ กำหนดมาตรการในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 มิได้ปฏิบัติ ควบคุม หรือสั่งการปฎิบัติใดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ตลอดในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพราะกระผมติดงานพิธีพระราชทานเพลิงศพบิดากระผม และกระผมไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใดๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวเลย ตามที่ได้มีเอกสารข้อเท็จจริง และหลักฐานแนบสิ่งที่ส่งมาด้วย
โวยไม่สอบ “สมชาย-จงรัก”
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อำนวย ได้ระบุในหนังสือว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งที่ 318 / 2551 ลงวันที่ 20 ตุลคาคม 2551 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 3 คนเท่านั้น คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. โดยละเว้นการไต่สวน นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. จึงถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนการแห่งกฎหมาย แต่เป็นการเลือกปฏิบัติในลักษณะไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ตามหนังสือที่ 318/2551 ลงวันที่ 20 ต.ค. 51 แต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน กระผมเห็นว่าจะก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมหลายประการ ทั้งในเรื่องการพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและคุณสมบัติของอนุกรรมการ
อ้าง “วิชา” เป็นบุคคลต้องห้าม
โดย พล.ต.ต.อำนวย อ้างอิงว่า นายวิชา มหาคุณ เป็นบุคคลซึ่งมีเหตุต้องห้ามการเป็นอนุกรรมการไต่สวนได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายแขนง เช่น ปรากฏตามเว็บไซต์http://www.pochnews.com/news/political/1936.htm มีข้อความว่า แนวทางการสอบสวนคดีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะ ป.ป.ช.มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นกลางเมือง ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียกข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งการในการสลายการชุมนุมทั้งหมด ตลอดจนมติ ครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.มาพิจารณาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม และสั่งให้สลายการชุมนุมด้วยวิธีการอย่างไร โดยจะต้องพิจารณาว่าเป็นการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการเกินกว่าเหตุหรือไม่ ทางคณะอนุกรรมการจะเรียก แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ปากคำด้วย เบื้องต้นเท่าที่ดู พล.ต.อ.พัชรวาท พล.ต.ท.สุชาติ พล.ต.ต.อำนวย นั้นมีพฤติการณ์ความผิดที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะมีการปรากฏตัวอยู่ในระหว่างที่ตำรวจกำลังสลายการชุมนุม ส่วนการสอบสวนจะสาวไปถึงนายสมชายหรือไม่นั้น ต้องดูมติ ครม.นัดพิเศษ วันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการสั่งการอย่างไร
พล.ต.ต.อำนวย ยังระบุในเนื้อหาหนังสือว่า ข้อความที่นายวิชาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 51 ซึ่งเป็นขณะที่ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวน แสดงให้เห็นว่า นายวิชา เป็นผู้ได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นความคิดเห็นหรือความเชื่อของตนทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มการไต่สวน การกระทำของนายวิชา เห็นได้ชัดแจ้งว่านายวิชา มีความคิดหรือมุมมองที่เป็นอคติและไม่เป็นกลางในทางที่เป็นผลร้ายแก่กระผมกับพวกเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสังว่าจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม
ไม่ยอมรับความจริงตั้งข้อหากบฏพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อำนวย อ้างด้วยว่า นายวิชาได้บรรยายในการสัมมนาหัวข้อ “คณะกรรมการ ป.ป.ช.กับการตรวจสสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ 2550” ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้ระบบไต่สวนในการค้นหาความจริง ซึ่งจะลงไปไต่สวนสวบค้นหาความจริง ต่างกับตำรวจใช้ระบบกล่าวหา เมื่อตั้งข้อหาแล้วก็หาพยานหลักฐานเพื่อฟ้องผู้ต้องหา ตำรวจใช้กฎหมายจารีตนครบาล ซึ่งเป็นวิธีทรมานผู้ต้องหาบีบขมับ ตอกเล็บ บีบจนกระดูกนิ้วป่น ชอบตั้งข้อหาเกินความเป็นจริง อย่างคดีพันธมิตรฯ ไปตั้งข้อหากบฏ จนหาทางลงกันไม่ได้ กระผมในฐานะเป็นพนักงานสอบสวนคดีกล่าวหาแกนนำพันธมิตรว่ากระทำผิดกบฎ เห็นว่าคำกล่าวของนายวิชา ข้างต้นเป็นการใส่ความกระผม และพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง บช.น.โดยทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
แจ้ง สน.พญาไทจับ “วิชา”
ตนจึงได้มอบอำนาจให้ พ.ต.ท.มานะ เผาะช่วย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ให้ดำเนินคดีนายวิชาในความผิดดังกล่าว ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ข้อ 1 ลงวันที่ 1 พ.ย. 51 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 2346 (ส) / 2551 นายวิชา จึงเป็นคู่กรณีในคดีที่ตนร้องทุกข์ ย่อมถือเป็นปฏิปักษ์กับตน ถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับตน ซึ่งต้องห้ามมิให้แต่งตั้งเป็นอนุกรรมการไต่สวนตามมาตรา 46(2) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งถือว่านายวิชา เป็นคู่กรณีกับตน เข้าข่ายต้องห้ามที่จะใช้อำนาจไต่สวนในเรื่องที่กล่าวหาตน ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงข้างต้นตนขอให้ยกเลิกมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่ส่วนกรณีนี้ และ/ หรือระงับการดำเนินการไต่สวนไว้ก่อน แล้วส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อกฎหมายที่ตนได้โต้แย้งซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติที่แน่ชัดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งคัดค้านให้นายวิชา มหาคุณ เป็นอนุกรรมการไต่สวน ผลการพิจารณาเป็นอย่างใดโปรดแจ้งให้ตนทราบโดยด่วนด้วย