ศาลพิพากษา คุก 12 เดือน ปรับ 9 พันบาท “เอ๋-ชนม์สวัสดิ์” คดีพาลูกน้องรุมตื้บตำรวจมักกะสันขณะขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ รับสารภาพศาลปรานีสืบเสาะพฤติกรรมไม่เคยถูกจำคุก ให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี รายงานตัวคุมประพฤติ 4 เดือนครั้งพร้อมบริการสังคม 24 ชม. เจ้าตัวน้อมรับคำพิพากษา เผยเจรจาชดเชยค่าเสียหายคู่กรณีแล้ว
วันนี้ (28 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 812 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.79/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชนม์สวัสดิ์ หรือเอ๋ อัศวเหม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี บุตรชายนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ซึ่งหลบหนีคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุก 10 ปี ได้หลบหนีไป ร่วมกับนายสกุล ประมูลชัย และนายปรัชญา ไชยะกุล คนสนิทของนายชนม์สวัสดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตำรวจ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ขณะขอตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค.50 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงคืน จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันข่มขืนใจ ส.ต.อ.ปรารถนา แสงนิล ผบ.หมู่งานจราจร สน.มักกะสัน ผู้เสียหายให้ยินยอมหรือละเว้นไม่ต้องให้จำเลยที่ 1 ไปตรวจวัดหาปริมาณแอลกอฮอล์ที่ด่านตรวจ ก่อนที่จำเลยทั้งสามจะร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้มือจับข้อมือ ใช้แขนล็อกคอและใช้มือดันหลังผู้เสียหายให้เข้าไปภายในสำนักงานของปั๊มน้ำมันเพียว ซึ่งจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันลงมือกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไปไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยินยอมละเว้นตามที่จำเลยทั้งสามร่วมกันข่มขืนใจ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันต่อสู้ขัดขวางผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่
อีกทั้งจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนตามกฎหมาย นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังบังอาจดูหมิ่นเหยียดหยามเกียรติยศ ศักดิ์ศรีชื่อเสียงของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขณะปฏิบัติตามหน้าที่ ให้ได้รับความอับอายเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงและศักดิ์ศรี เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 138, 139 ประกอบ มาตรา 140 วรรคแรก
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษาจำเลยทั้งสามมีความผิดฐาน ร่วมกันต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายให้การปฏิบัติตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันลงมือกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันลงมือกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ลงโทษจำคุกคนละ 8 เดือน ปรับ 6,000 บาท และจำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จำคุกคนละ 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เห็นสมควรให้ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 2 ไว้ที่ 12 เดือนปรับ 9,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้ 10 เดือน ปรับ 8,000 บาท
จากการสืบเสาะประวัติของจำเลยที่ 1-2 แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1-2 ไม่เคยได้รับโทษทางอาญามาก่อน แม้จำเลยที่ 1 จึงถูกศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี แต่คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด อาจมีการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในภายหลังได้ ประกอบกับผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแล้ว อีกทั้งจำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่ สน.มักกะสัน เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการกลับตัว โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษมีกำหนดเป็นเวลา 3 ปี และให้จำเลยทั้งสาม รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 4 เดือนต่อครั้ง ในกำหนดระยะเวลา 1 ปี บริการสังคมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังจำเลยทั้งสามได้ชำระค่าปรับและลงลายมือชื่อรับทราบคำพิพากษาแล้ว
นายชนม์สวัสดิ์ กล่าวว่า ขอน้อมรับในคำพิพากษา จะไม่ขอยื่นอุทธรณ์แต่อย่างใด ที่ผ่านมาเรื่องทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิดกัน อยากให้เรื่องนี้จบลงให้ดีที่สุดเร็วที่สุด ตั้งแต่เกิดคดีขึ้นตนได้เจรจากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว แต่อาจมีบางเรื่องที่คลาดเคลื่อนจากความจริงไป สำหรับประเด็นการทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเรื่องที่ศาลมีคำตัดสินไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ติดต่อกับนายวัฒนา บิดาหรือไม่ นายชนม์สวัสดิ์ กล่าวว่า ยังติดต่อกันบ้างในฐานะลูกย่อมมีความเป็นห่วงบิดา ส่วนเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์ให้สังคมนั้นได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว