ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 45 ปี คดีพ่อข่มขืนลูกสาววัย 13 ขวบ โดยจำเลยมีชื่อและนามสกุลไปพ้องกับอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมด้วย แต่เป็นคนละคนกัน
วันนี้ (14 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 603 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ ฟ้อง นายประเสริฐ บุญศรี เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 22 ส.ค.48 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรค 2 ประกอบมาตรา 285 ให้จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 9 กระทง รวมโทษจำคุก 90 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 45 ปี ต่อมาจำเลยยื่นคำร้อง ลงวันที่ 23 ก.ค.50 ขอแก้ไขคำพิพากษาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และการลงโทษจำเลยเรียงกระทงลงโทษโดยวางโทษจำคุก 90 ปี นั้นขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ที่ให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้อง จำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือแล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นความผิดหลายกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยข้อนี้เป็นการโต้เถียงคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งได้อ่านแล้ว และไม่ใช่การแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิด ซึ่งจำเลยจะต้องยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน นับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษา ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้แก้ไขคำพิพากษาเมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวไปไม่ได้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้
ปัญหาประการสุดท้าย จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยโดยเรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 9 กระทง เป็นจำคุก 90 ปี จึงเกินกว่า 50 ปี ขัดต่อประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 91 (3) หรือไม่ เห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นการขอแก้ไขคำพิพากษาในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษา คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 285 อันเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกอย่างสูงตลอดชีวิต และลงโทษในความผิดดังกล่าวหลายกรรม
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 บัญญัติว่า “เมื่อปรากฏว่าผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกต้องไม่เกินที่กำหนด โดย (3) ไม่เกิน 50 ปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต” จากบัญญัติดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าว เมื่อรวมโทษจำคุก กระทงซึ่งได้มีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษแล้วต้องไม่เกิน 50 ปี ไม่ใช่กรณีรวมโทษจำคุกที่ศาลกำหนด ก่อนที่จะมีการลดโทษให้มาเป็นเกณฑ์ว่าเกินกว่า 50 ปี หรือไม่ ดังที่จำเลยอุทธรณ์อ้างมา ที่ศาลชั้นต้นมีพิพากษาจำคุก 45 ปี จึงชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) และอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
สำหรับ นายประเสริฐ บุญศรี จำเลยในคดีนี้ มีชื่อและนามสกุลไปพ้องกับ นายประเสริฐ บุญศรี อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นคนละคนกัน