xs
xsm
sm
md
lg

ตร.ตาใสไหลตามน้ำไม่ค้านประกันแกนนำพันธมิตรฯ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ตำรวจยินดีปฏิบัติตามคำสั่งศาล และไม่คัดค้านการประกันตัว หากแกนนำมอบตัว ยันถอนหมายจับข้อหากบฏไม่มีผลต่อการดำเนินคดี ชี้ ให้มองเหตุจี๊ปเชอโรกีระเบิดไม่ใช่เรื่องปกติ เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง ลั่นใครอยู่เบื้องหลังต้องรับโทษ


วันนี้ (9 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงคำสั่งศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรฯข้อหากบฏ และสั่งสมกำลัง แต่ยังคงหมายจับข้อหาสร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชน ว่า หมายจับแรกเป็นของศาลอาญาตำรวจก็ดำเนินการตามหมายจับ ส่วนกรณีนี้หากศาลอนุมัติหมายจับตามข้อหาใดก็ดำเนินคดีไปตามข้อหานั้น พนักงานสอบสวนก็สืบสวนสอบสวนไปตามหมายจับในเรื่องของพยานหลักฐาน ซึ่งการถอนหมายจับข้อหากบฏไม่มีผลต่อการดำเนินคดี มีผลเฉพาะการประกันตัวและสิทธิต่างๆ ของผู้ต้องหา รวมถึงอัตราโทษที่แตกต่างกัน

พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อไปว่า เรื่องข้อกล่าวหากับการอนุมัติหมายจับเป็นคนละเรื่องกัน พนักงานสอบสวนก็ทำการรวมรวมหลักฐานตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามคำสั่งศาล รวบรวมหลักฐานตามพยานหลักฐานที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงเมื่อรวบรวมหลักฐานเรียบร้อย จากนั้นก็ทำสำนวนส่งฟ้องให้อัยการพิจารณา จะสั่งฟ้องหรือไม่ก็อยู่ที่พยานหลักฐานและสิ่งที่จำเลยนำมาหักล้าง ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ในการดำเนินการกระบวนการสอบสวนก็ดำเนินต่อไป ตำรวจพร้อมที่จะทำตามคำสั่งศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯประกาศบนเวที ว่า แกนนำที่ถูกออกหมายจับพร้อมที่จะมอบตัว พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ตำรวจก็ยินดี ที่ทุกคนจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขึ้นสู่ชั้นศาล ข้อเท็จจริงต่างๆ จะได้ปรากฏ กระบวนการยุติธรรมจะสามารถคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น ประชาชนที่มีความขัดแย้งความเห็นที่แตกต่างกันก็จะได้มีความเห็นตรงกันในคำตัดสินของศาล กลไกยุติธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สังคมที่แตกต่างมีความสงบได้ ซึ่งหากมีการมอบตัวเรื่องการประกันตัวนั้น เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนตนเองไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่กรณี นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำที่ถูกจับตำรวจก็ไม่ได้คัดค้านการขอประกันตัว ซึ่งกรณีแกนนำพันธมิตรฯที่จะมอบตัวก็อาจเป็นแนวทางเดียวกันกับนายไชยวัฒน์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีภาพชายสวมเสื้อแจ๊กเกตสีดำ ถือปืนยืนอยู่หลังรั้วสวนสัตว์ดุสิตจ่อปืนมายังกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ยืนยันว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตำรวจปฏิบัติงานอย่างเปิดเผยไม่ได้ส่งหน่วยใดไปทำเกินของเขตของกฎหมายที่ให้ไว้ และไม่ทำเกินคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่สั่งให้ระวังชีวิตของประชาชน แต่จะเป็นใครต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ซึ่งขณะนี้ทาง บช.น.ได้ตั้งชุดสืบสวนสอบสวนเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.โดยมีรอง ผบช.น.ที่ดูแลด้านกฎหมายเป็นผู้รับผิดชอบ โดยจะรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงจากภาพตามสื่อมวลชนที่ปรากฏ ทั้งเรื่องความเสียหายการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน ซึ่งเรื่องภาพดังกล่าวและเรื่องอื่นๆ ความจริงจะปรากฏในไม่ช้า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา การชี้แจงของเจ้าหน้าที่ตำรวจสังคมไม่ยอมรับจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ตอนนี้ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมที่กล่าวหาว่าทำให้ประชาชนต้องเจ็บต้องตาย เราจึงต้องนำเสนอชี้แจงผ่านทางสื่อมวลชน ว่า ตำรวจให้อาวุธอะไร อานุภาพอาวุธที่ตำรวจใช้จะเกิดผลอะไร แต่ภาพที่ออกมาประชาชนบาดเจ็บล้มตาย มีบาดแผลเกินกว่าอาวุธที่ตำรวจใช้อยู่ เราจึงต้องชี้แจงให้ทราบ เพราะไม่อย่างนั้นประชาชนจะเข้าใจว่าการบาดเจ็บล้มตายเกิดจากการกระทำของตำรวจ ตำรวจเองก็กังวลเรื่องความปลอดภัยส่วนปฏิกิริยาที่มีต่อตำรวจเราไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในข้อเท็จจริงตำรวจไม่ได้ทำเราจึงต้องชี้แจงให้ทราบ

“เรื่องนี้คณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งมีคนกลางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงก็จะกระจ่างชัด คณะกรรมการมาสรุปโดยเร็ววัน จะได้แจ้งให้ประชาชนได้ทราบ ตำรวจไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหา สื่อมวลชนที่ลงไปทำงานในพื้นที่ก็เห็นว่าตำรวจปฏิบัติอย่างไร เกิดผลโดยตรงให้มีคนเจ็บคนตายหรือเปล่า ส่วนน้องผู้หญิงที่เสียชีวิตผมก็เคารพในอุดมการณ์ที่ทำเพื่อชาติ และผมไม่ได้แถลงข่าวว่าน้องพกระเบิด ผมไม่เคยพูดแบบนั้น ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยพูดให้ร้ายใคร ยอมรับและให้เกียรติผู้ชุมนุมที่ปรารถนาดีต่อชาติ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์และการแพทย์” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว

พล.ต.ต.สุรพล กล่าวด้วยว่า ต้องคิดด้วยเหตุด้วยผลตามหลักการ ตร.ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากการล้มตายของประชาชน อย่างพุ่งเป้าไปในสิ่งที่เชื่อที่เห็นให้พิจารณาตามเหตุผลข้อเท็จจริงว่าเกิดจากอะไร ถ้าพบว่าตำรวจผิดก็พร้อมได้รับการลงโทษทั้งทางสังคม และกฎหมาย ตอนนี้ตำรวจถูกกล่าวหาโดยยังไม่มีข้อพิสูจน์ทั้งที่เราพยายามประคับประคองมาตลอด 130 วัน ไม่มีเหตุผลที่จะใช้อาวุธกับประชาชนเพียงเพื่อให้รัฐบาลไปแถลงนโยบาย

“ที่ผ่านมา ผมไปให้สัมภาษณ์หลายที่ทุกคนถาม แต่ขั้นตอนวิธีการทำงานของตำรวจ แต่ไม่มีใครถามว่าระเบิดใครเอามาใช้ อยากให้มองความเชื่อมโยงกรณีระเบิดรถจี๊ปหน้าพรรคชาติไทยที่พบระเบิดซีโฟร์ครึ่งปอนด์อยู่ในรถ เอามาทำอะไร และเขาก็เสียชีวิตกับสิ่งที่เขานำมาด้วย ซึ่งชันสูตรศพสภาพร่างกายผู้ถูกระเบิดเบื้องต้น พบว่า มีการเปิดประตูรถแล้วหยิบระเบิดออกมา แต่เกิดระเบิดก่อนจะเอาออกไป อยากให้มองเชื่อมโยงต้นเหตุความรุนแรงผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องได้รับการถูกลงโทษ” รองโฆษก ตร.กล่าว

รองโฆษก ตร.กล่าวต่อว่า เรื่องนี้การข่าวมีข้อมูลมาก่อนว่าจะมีการบุกรัฐสภา และจะมีการปะทะกัน ก็รู้ว่ามีบางอย่างจะเกิดขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครเอาอาวุธร้ายแรงขนาดนี้เข้าไปเพียงเพื่อให้เกิดผลร้ายต่อประชาชน แล้วอ้างว่าเกิดจากรัฐบาล หรือตำรวจ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตนเองเป็นการใช้ความล้มตายของประชาชนมาเป็นประโยชน์ ระเบิดมาจากคนที่นำรถเข้ามา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคนอยู่เบื้องหลังเป็นใคร 5 แกนนำพันธมิตรฯก็อาจจะไม่ทราบ การจะเชื่อมโยงต้องมีหลักฐานชัดเจนมากกว่านี้

ต่อข้อถามที่ว่า หากมีการปะทะกันอีกตำรวจจะใช้แผนเดิมหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เมื่อวานได้พูดคุยกับคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เป็นประธาน มีหลักการว่า หากไม่มีการกระทำใดที่มุ่งประสงค์ทำร้ายทรัพย์สินทางราชการ หรือเกิดการปะทะของฝ่ายคัดค้านและพันธมิตรฯก็ให้ใช้มาตรการเดิมประคับประคองเหตุการณ์ไม่ให้รุนแรง แต่ถ้าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทางราชการ หรือเกิดการปะทะกันก็ต้องยับยั้งไม่ให้บานปลายมีความจำเป็นต้องสกัดกั้นทั้งสองฝ่ายด้วยอุปกรณ์ที่ตำรวจมีอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า เหล่าทัพเห็นด้วยกับการใช้แก๊สน้ำตา พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า แก๊สน้ำตาใช้ตามหลักสากลมีอันตรายต่อเป้าหมายน้อยที่สุด ถ้าใช้กระบองสกัดกั้นก่อนดูว่าน่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิตหากมีการพลาดพลั้งหรือเกิดการต่อต้านเข้าประชิดตัว แต่แก๊สน้ำตาทำให้เกิดการระคายเคืองเท่านั้น
พล.ต.จำลอง  ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ
นายไชยวัฒน์  สินสุวงศ์ แกนนำพันธมิตรฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น