จากเหตุการณ์ที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปักหลักชุมนุมด้านหน้าอาคารรัฐสภา และด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย ที่สำคัญ ในจำนวนนี้มีผู้คนต้องสูญเสียอวัยวะ โดยน้ำมือของผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น"ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
คงไม่ต้องสาธยายว่า ปฏิบัติการของตำรวจในครั้งนี้ ถูกต้อง ชอบธรรม เหมาะสมหรือไม่ เพราะคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ...จากชีวิตของหญิงสาวผู้รักประชาธิปไตยผู้หนึ่งที่ต้องหลุดลอยไป ไม่นับรวมการสูญเสียอวัยวะของผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย ทั้งที่คนเหล่านี้ มีเพียงแค่สองมือเปล่า นี่หรือคือการสลายการชุมนุมอย่างมียุทธวิธี
ความงามหน้าครั้งนี้ ยังถูกสื่อต่างประเทศแทบทุกสำนักตีข่าววีรกรรมของตำรวจไทยไปทั่วโลก ฉายภาพชัดเจนของรัฐบาลทรราช ที่ไฟเขียวให้ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชน และถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ถึงการทำหน้าที่ของตำรวจ ที่มุ่งสนองรับใช้รัฐบาลโจร มากกว่าจะเคียงข้างพี่น้องประชาชน
หากลองวิเคราะห์เจาะลึกถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้ว จะพบว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่อง “เซอร์ไพรส์” หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทุกขั้นตอนมันมีที่มาที่ไป หากย้อนกลับไปในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กว่า 100 วันที่ผ่านมา การกระทบกระทั่งระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่ก็มีให้เห็นหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งมีเพียงประชาชนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างมากแค่ศีรษะแตก แต่แล้ววันนี้ทำไมท่าทีของตำรวจจึงกลับตาลปัตร จากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปได้
ไม่ต้องบอกคนวงในเขาก็รู้ นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา ในยุคที่บิ๊กวิน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ยังคุมบังเหียนเก้าอี้บิ๊กนครบาลนั้น เป็นที่รู้กัน ว่า พยายามอะลุ่มอะล่วยกับม็อบ จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายต่ออำนาจการเมือง จนถูกเด้งพ้นทางไปในที่สุด โดยพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เจ้าของฉายานายพลหน้าขาว ซึ่งหมายมั่นปั้นมือ ในตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน มารักษาการแทน แต่กลับเหมือนยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ เพราะ พล.ต.อ.จงรัก ไม่ใช่คนที่ชอบการเจรจา และไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
แต่สถานการณ์มาสุกงอมหลังการผงาดของ “บิ๊กเบื้อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว เพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ที่สนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกวางตัวให้เป็น ผบช.น.เหมือนจะเตรียมไว้ต้อนรับพันธิมตรฯโดยเฉพาะ ซึ่ง พล.ต.ท.สุชาติ ผู้นี้เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนที่มีลูกบ้า และเป็นนายตำรวจที่เกลียดม็อบ จึงไม่แปลกที่ผลลัพท์ถึงออกมาอย่างที่เห็น
ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด การใช้กำลังสลายม็อบก็ย่อมฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว แต่การที่มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บจนสูญเสียอวัยวะด้วยแล้ว การออกมาอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ นอกจากจะฟังไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นการสะท้อนระดับจิตสำนึก ที่ตกต่ำ ไร้ความรับผิดชอบ ...คงไม่ต้องถามว่าจะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร แต่หากว่ายังพอมีมโนสำนึกหลงเหลือกันอยู่บ้าง อยากให้พิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่ไหนตำแหน่งต่อไปหรือไม่ พล.ต.ท.สุชาติ...หรือว่าหากใช้กระเบื้องอย่างหนาตราห้าห่วงก็ไม่ว่ากัน
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ปัจจุบันอายุ 57 ปี เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2494 จบ ร.ร.นายร้อยตำรวจ “นรต.รุ่น 26” รุนเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจบปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จาก ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2538 และนิติศาสตรมหาบัณฑิต ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ปี 2543 ผ่านอบรมหลักสูตร ร.ร.ผบก.รุ่น 18 และ วปอ.รุ่น 48
เติบโตในเส้นทางสีกากีเริ่มตั้งแต่ปี 2516 เป็น ผบ.มว.ประจำ กก.สอ.ตชด.จากนั้นเติบโตผ่านตำแหน่งสำคัญในกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อาทิ รอง สว.ผ.5 กก.5 ป. รอง สว.ผ.4 กก.2 ป. ผู้ช่วย นว.ผบก.ป. นว.ผบก.ป. สว.ผ.ธุรการ กก.นผ.บก.อก.บช.ก. สว.ผ.7 กก.8 ป. สว.ผ.8 กก.8 ป. รอง ผกก.1 ป. ผกก.1 ป. รอง ผบก.ป. รอง ผบก.อก.บช.ก.
พล.ต.ท.สุชาติ เป็นนายพล ติดยศ พล.ต.ต.ครั้งแรกเมื่อปี 2544 เป็น ผบก.อก.บช.ก.โยกเป็น ผบก.ทล.ปี 2546 ในครั้งนั้นใครก็รู้ว่า ไปเป็น ผบก.ทล.ได้เพราะใคร และเพราะเหตุผลใด ก็รถตำรวจทางหลวงในยุคนั้นนั่นแหละ ที่ลือสะพัดกันว่า มีการใช้รถตราโล่ขนธนบัตรไปใช้ในการเลือกตั้งตามหัวเมืองต่างๆ จากนั้นก็ได้ดิบได้ดี ขึ้นเป็นรอง ผบช.ก.ในปี 2547 และโยกมาเป็นรอง ผบช.น.เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2551 ต่อมาได้รับการคาดหมายว่าจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบช.ก.ทว่าโค้งสุดท้าย ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาล ซึ่งครั้งนั้นก็เกิดเหตุการณ์ทุบตีประชาชนจากฝีมือตำรวจ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บังคับคดีเข้าไปปิดหมายศาล
ผลงานชิ้นโบแดงในครั้งนั้น ส่งผลให้ พล.ต.ท.สุชาติ ที่มีชื่อไปเป็น ผบช.ก.กลับมาดัน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ขึ้นไปเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และตัวเองขึ้นเถลิงเก้าอี้ ผบช.น.เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง!!
พล.ต.ท.สุชาติ จะเกษียณอายุราชการในปี 2554 แต่จะอยู่ครบอายุเกษียณราชการหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้ เพียงแต่จะขอยกเหตุการณ์ในอดีตมาเป็นอุทาหรณ์ ว่า อดีต ผบช.น.อย่างพล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่เข้ามากุมตำแหน่งเจ้าของรหัส น.1 แล้วดันไปย้ายปืนใหญ่ใน บช.น.เข้า ก็มีอันให้เด้งกระเด็นกระดอนไปจากตำแหน่งเสีย แต่ยุคของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว นั้นเล่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังครองเก้าอี้ได้เพียง 6 วัน ปืนใหญ่ใน บช.น.ถึงกับพังทลายลงมา ลางสังหรณ์อันนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีได้ไม่ยาก
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อนฝูงตำรวจ ลูกน้อง และเหล่าบรรดาเหยี่ยวข่าวสายอาชญากรรม ว่า “เดอะเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้นี้ เกลียดม็อบทุกม็อบทุกชนิดยิ่งกว่าอะไรดี และคงไม่ต้องบอกแล้วว่า เหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก จากการสลายการชุมนุมของตำรวจนั้น เป็นคำสั่งของใคร!?!
คงไม่ต้องสาธยายว่า ปฏิบัติการของตำรวจในครั้งนี้ ถูกต้อง ชอบธรรม เหมาะสมหรือไม่ เพราะคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ...จากชีวิตของหญิงสาวผู้รักประชาธิปไตยผู้หนึ่งที่ต้องหลุดลอยไป ไม่นับรวมการสูญเสียอวัยวะของผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย ทั้งที่คนเหล่านี้ มีเพียงแค่สองมือเปล่า นี่หรือคือการสลายการชุมนุมอย่างมียุทธวิธี
ความงามหน้าครั้งนี้ ยังถูกสื่อต่างประเทศแทบทุกสำนักตีข่าววีรกรรมของตำรวจไทยไปทั่วโลก ฉายภาพชัดเจนของรัฐบาลทรราช ที่ไฟเขียวให้ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชน และถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ถึงการทำหน้าที่ของตำรวจ ที่มุ่งสนองรับใช้รัฐบาลโจร มากกว่าจะเคียงข้างพี่น้องประชาชน
หากลองวิเคราะห์เจาะลึกถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้ว จะพบว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่อง “เซอร์ไพรส์” หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทุกขั้นตอนมันมีที่มาที่ไป หากย้อนกลับไปในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กว่า 100 วันที่ผ่านมา การกระทบกระทั่งระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่ก็มีให้เห็นหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งมีเพียงประชาชนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างมากแค่ศีรษะแตก แต่แล้ววันนี้ทำไมท่าทีของตำรวจจึงกลับตาลปัตร จากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปได้
ไม่ต้องบอกคนวงในเขาก็รู้ นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา ในยุคที่บิ๊กวิน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ยังคุมบังเหียนเก้าอี้บิ๊กนครบาลนั้น เป็นที่รู้กัน ว่า พยายามอะลุ่มอะล่วยกับม็อบ จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายต่ออำนาจการเมือง จนถูกเด้งพ้นทางไปในที่สุด โดยพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เจ้าของฉายานายพลหน้าขาว ซึ่งหมายมั่นปั้นมือ ในตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน มารักษาการแทน แต่กลับเหมือนยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ เพราะ พล.ต.อ.จงรัก ไม่ใช่คนที่ชอบการเจรจา และไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
แต่สถานการณ์มาสุกงอมหลังการผงาดของ “บิ๊กเบื้อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว เพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ที่สนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกวางตัวให้เป็น ผบช.น.เหมือนจะเตรียมไว้ต้อนรับพันธิมตรฯโดยเฉพาะ ซึ่ง พล.ต.ท.สุชาติ ผู้นี้เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนที่มีลูกบ้า และเป็นนายตำรวจที่เกลียดม็อบ จึงไม่แปลกที่ผลลัพท์ถึงออกมาอย่างที่เห็น
ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด การใช้กำลังสลายม็อบก็ย่อมฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว แต่การที่มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บจนสูญเสียอวัยวะด้วยแล้ว การออกมาอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ นอกจากจะฟังไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นการสะท้อนระดับจิตสำนึก ที่ตกต่ำ ไร้ความรับผิดชอบ ...คงไม่ต้องถามว่าจะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร แต่หากว่ายังพอมีมโนสำนึกหลงเหลือกันอยู่บ้าง อยากให้พิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่ไหนตำแหน่งต่อไปหรือไม่ พล.ต.ท.สุชาติ...หรือว่าหากใช้กระเบื้องอย่างหนาตราห้าห่วงก็ไม่ว่ากัน
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ปัจจุบันอายุ 57 ปี เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2494 จบ ร.ร.นายร้อยตำรวจ “นรต.รุ่น 26” รุนเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจบปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จาก ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2538 และนิติศาสตรมหาบัณฑิต ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ปี 2543 ผ่านอบรมหลักสูตร ร.ร.ผบก.รุ่น 18 และ วปอ.รุ่น 48
เติบโตในเส้นทางสีกากีเริ่มตั้งแต่ปี 2516 เป็น ผบ.มว.ประจำ กก.สอ.ตชด.จากนั้นเติบโตผ่านตำแหน่งสำคัญในกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อาทิ รอง สว.ผ.5 กก.5 ป. รอง สว.ผ.4 กก.2 ป. ผู้ช่วย นว.ผบก.ป. นว.ผบก.ป. สว.ผ.ธุรการ กก.นผ.บก.อก.บช.ก. สว.ผ.7 กก.8 ป. สว.ผ.8 กก.8 ป. รอง ผกก.1 ป. ผกก.1 ป. รอง ผบก.ป. รอง ผบก.อก.บช.ก.
พล.ต.ท.สุชาติ เป็นนายพล ติดยศ พล.ต.ต.ครั้งแรกเมื่อปี 2544 เป็น ผบก.อก.บช.ก.โยกเป็น ผบก.ทล.ปี 2546 ในครั้งนั้นใครก็รู้ว่า ไปเป็น ผบก.ทล.ได้เพราะใคร และเพราะเหตุผลใด ก็รถตำรวจทางหลวงในยุคนั้นนั่นแหละ ที่ลือสะพัดกันว่า มีการใช้รถตราโล่ขนธนบัตรไปใช้ในการเลือกตั้งตามหัวเมืองต่างๆ จากนั้นก็ได้ดิบได้ดี ขึ้นเป็นรอง ผบช.ก.ในปี 2547 และโยกมาเป็นรอง ผบช.น.เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2551 ต่อมาได้รับการคาดหมายว่าจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบช.ก.ทว่าโค้งสุดท้าย ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาล ซึ่งครั้งนั้นก็เกิดเหตุการณ์ทุบตีประชาชนจากฝีมือตำรวจ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บังคับคดีเข้าไปปิดหมายศาล
ผลงานชิ้นโบแดงในครั้งนั้น ส่งผลให้ พล.ต.ท.สุชาติ ที่มีชื่อไปเป็น ผบช.ก.กลับมาดัน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ขึ้นไปเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และตัวเองขึ้นเถลิงเก้าอี้ ผบช.น.เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง!!
พล.ต.ท.สุชาติ จะเกษียณอายุราชการในปี 2554 แต่จะอยู่ครบอายุเกษียณราชการหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้ เพียงแต่จะขอยกเหตุการณ์ในอดีตมาเป็นอุทาหรณ์ ว่า อดีต ผบช.น.อย่างพล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่เข้ามากุมตำแหน่งเจ้าของรหัส น.1 แล้วดันไปย้ายปืนใหญ่ใน บช.น.เข้า ก็มีอันให้เด้งกระเด็นกระดอนไปจากตำแหน่งเสีย แต่ยุคของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว นั้นเล่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังครองเก้าอี้ได้เพียง 6 วัน ปืนใหญ่ใน บช.น.ถึงกับพังทลายลงมา ลางสังหรณ์อันนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีได้ไม่ยาก
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อนฝูงตำรวจ ลูกน้อง และเหล่าบรรดาเหยี่ยวข่าวสายอาชญากรรม ว่า “เดอะเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้นี้ เกลียดม็อบทุกม็อบทุกชนิดยิ่งกว่าอะไรดี และคงไม่ต้องบอกแล้วว่า เหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก จากการสลายการชุมนุมของตำรวจนั้น เป็นคำสั่งของใคร!?!