ศาลฎีกาพิพากษายืน ประหารป่าไม้ทมิฬ “วิศิษฐ์ พึ่งรัศมี” จ้างฆ่าพ่อค้าน้ำตลาดวโรรส เชียงใหม่ ที่ไม่ยอมจ่ายค่าเก็บขยะ แต่มือปืนลั่นไกผิดตัวถูกลูกเลี้ยงดับแทน ศาลเชื่อจำเลยมีผลประโยชน์ค่าทำความสะอาด แถมผู้ร่วมกระทำผิดรับสารภาพมัดก่อเหตุหวังข่มขวัญพ่อค้าแม่ค้าในตลาด
วันนี้ (14 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ 8865/43 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิศิษฐ์ พึ่งรัศมี อดีตเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เชียงใหม่ ซี 6 ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้า ตลาดไนท์บาซาร์ ตลาดวโรรส และตลาดอื่นๆ ใน จ.เชียงใหม่ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรอง และความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 288, 289, 391
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2543 สรุปว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2539 เวลากลางคืน จำเลยได้บังอาจมีอาวุธปืนขนาด .38 พร้อมกระสุน 6 นัด โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งระหว่างวันที่ 5-8 ม.ค.2539 จำเลยได้ร่วมกันใช้ จ้าง วาน ให้ นายอุดร หรือ ดอน หรือ ดร ปั้นรูป อายุ 24 ปี, นายบุญอยู่ หรือ ไมเคิล หรือ ไมค์ คิดถึง อายุ 17 ปี ให้ฆ่า นายนายเกษม คำวงศ์ษา ซึ่งเป็นพ่อค้าน้ำดื่มบนทางเท้าตลาดวโรรส โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมีสาเหตุที่ นายเกษม ไม่จ่ายค่าทำความสะอาดและค่าขยะ ให้กับ นายอนันต์ กันธิวงศ์ ซึ่ง นายอนันต์ ได้แจ้งให้จำเลย แล้วจึงให้ นายอุดร และ นายบุญอยู่ ฆ่า นายเกษม เพื่อให้เป็นตัวอย่างให้พ่อค้า-แม่ค้าเกิดความเกรงกลัว ซึ่งวันเกิดเหตุ นายอุดร และ นายบุญอยู่ เข้าใจผิดยิง นายชัยกร ไม้หอม ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม นายเกษม 3 นัด จนเสียชีวิต ขณะที่พักอยู่ที่บ้านนายเกษม เพราะเข้าใจว่านายชัยกร เป็นนายเกษม เหตุเกิดที่ ต.ช้างม่อย ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2545 ว่า จำเลยกระทำผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83 และ 84 ให้ประหารชีวิต ส่วนข้อหาอื่นให้ยก ต่อมาปี 2547 ศาลอุทธรณ์ ได้มีพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิต ซึ่งจำเลยยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมหารือแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.39 นายอุดร ปั้นรูป จำเลยที่ 1 คดีดำหมายเลข 3995/2540 ศาลอาญา และนายบุญอยู่ คิดถึง จำเลยศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีคำพิพากษาถึงสุดแล้วว่าใช้อาวุธปืนยิงนายชัยกรโดยเจตนาฯ โดยสำคัญผิดว่าเป็น นายเกษม จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ได้ร่วมกระทำผิดกับ นายอุดร และ นายบุญอยู่ หรือไม่ โจทก์มี นายอุดร, นายบุญอยู่, นายจำรัส คนขับรถของจำเลย และ นายอนันต์ จำเลยที่ 2 ในคดีดำหมายเลข 3995/2540 ศาลอาญา เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอนันต์ พาไปดูตัวและบ้านพัก นายเกษม โดยพยานโจทก์ ไม่ยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิด ซึ่งเป็นคำเบิกความที่แตกต่างไปจากคำให้การที่นายอุดร นายบุญอยู่ นายจำรัส และ นายอนันต์ เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน โดยรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุนายอานันต์ ซึ่งเรียกเก็บค่าทำความสะอาดและค่าขยะจากพ่อค้าแม่ค้าตลาดวโรรส แจ้งให้จำเลยทราบว่า นายเกษม ไม่ยอมจ่ายค่าทำความสะอาด ซึ่งจำเลยให้นายอนันต์ พา นายจำรัส ขับรถยนต์จำเลยพานายอุดร และนายบุญอยู่ไปดูตัวและบ้านพักนายเกษม โดยนายอุดร และ นายบุญอยู่ ได้รับปืนมาจากคนของจำเลยมอบให้ และวันเกิดเหตุได้เคาะประตูบ้านนายเกษม เมื่อ นายชัยกร เดินออกมาเปิดประตูจึงยิงนายชัยกร เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นนายเกษม ซึ่งหลังจากยิง นายชัยกร แล้ว ได้หลบหนีไปยังสำนักพิมพ์ตะวันเหนือ แล้วโทร.แจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยให้คนขับรถมารับไปพบที่นโปเลียนคาราโอเกะ ดังนั้น จึงเชื่อว่า คำเบิกความของนายอุดร นายบุญอยู่ และนายอนันต์ พยานโจทก์ ที่มีลักษณะเบี่ยงเบนไม่อ้างถึงว่าจำเลยร่วมกระทำผิดนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือจำเลย ซึ่งคำให้การในชั้นสอบสวนที่พยานโจทก์ทั้งสามเคยให้ไว้แม้จะเป็นคำซัดทอด แต่น่าเชื่อถือมากกว่าคำเบิกความ เพราะเป็นคำให้หลังจากวันเกิดเหตุไม่นาน และหลังถูกจับกุมโดยขณะนั้นจำเลยยังไม่ถูกกล่าวหาว่าร่วมทำผิดด้วย ดังนั้น คำให้การในชั้นสอบสวนมีน้ำหนักให้รับฟังได้
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า นายอุดร นายบุญอยู่ นายจำรัส และ นายอนันต์ ถูกข่มขู่ นั้นโจทก์มีพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ที่จับกุมกลุ่มมือปืนผู้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ มาเบิกความรับรองคำให้การ นายอุดร, นายบุญอยู่, นายจำรัส, นายอนันต์ นอกจากนี้ นายเกษม ยังเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน ได้ทะเลาะรุนแรงกับ นายอนันต์ จนมีการขู่อาฆาตไว้ เมื่อ นายชัยกร ถูกยิงเสียชีวิต จึงเชื่อว่า นายอนันต์ ร่วมกระทำผิดด้วย ข้ออ้างจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น โดยเรื่องนี้หากจำเลยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในการเก็บค่าทำความสะอาดและค่าขยะ นายอนันต์คงไม่ต้องมารายงานให้จำเลยทราบที่ นายเกษม ไม่ยอมจ่าย จึงเชื่อว่าน่าจะมีการใช้ให้กระทำผิด อีกทั้งพยานโจทก์เป็นกลุ่มผู้รับใช้งานของจำเลย หากไม่กระทำผิดจริง คงไม่ให้การปรักปรำจำเลย
ดังนั้น พยานโจทก์ จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง ฎีกาที่จำเลยอ้างว่าผู้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ ไม่มีผู้ใดให้การพาดพึงถึงจำเลยว่าทำผิดด้วย จึงเป็นเรื่องที่จำเลยฎีกาคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง เพราะตามคำให้การผู้ร่วมกระทำ ให้การพาดพิงถึงจำเลยตั้งแต่แรก ซึ่งคำให้การของนายอนันต์ ระบุว่า เคยพูดว่ามีพ่อค้าแม่ค้ากว่า 100 ราย ถ้าไม่จ่ายก็คิดเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นต้องทำเรื่องนายเกษมให้เป็นตัวอย่างเพื่อข่มขวัญพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ ฎีกาที่จำเลยจึงการกล่าวอ้างลอยๆ ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาแล้วสีหน้าของ นายวิศิษฐ์ แดงกล่ำขึ้นมาทันที พร้อมกับเม้มปากกัดฟัน ขณะที่กลุ่มญาติที่มาร่วมฟังคำพิพากษา 3-4 คน ไม่ได้เข้าไปแสดงความเสียใจหรือปลอบใจใดๆ