ผกก.สน.พหลโยธิน ยันผลนิติเวชระบุ “ดาบตำรวจจราจร” เสียชีวิต เพราะสมองขาดอากาศ-ขาดเลือดเฉียบพลัน สันนิษฐานถูกรัดคอ สาเหตุจากถูกรุมทำร้าย กำลังเร่งไล่ล่าลากคอเจ้าของรถตู้ต้องสงสัยสอบปากคำขยายผลดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (13 ส.ค.) พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิตขณะเข้าตรวจสอบกลุ่มจักรยานยนต์กวนเมือง เหตุเกิดบริเวณถนนวิภาวดีขาออก หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.แขวงและเขตจตุจักร กทม. เมื่อกลางดึกวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น กก.สส.บก.น.2 ฝ่ายสืบสวนสวน และสอบสวน สน.พหลโยธิน กำลังเร่งหาข้อมูล พยานหลักฐาน รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์เพื่อเร่งติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน โดยจะเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุให้มากที่สุด และจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุว่า สามารถจับภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ได้หรือไม่
พ.ต.อ.อาคม กล่าวต่อว่า หลังจากเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบรถตู้ สีฟ้าอ่อน หมายเลขทะเบียน อต-9737 กทม. จอดทิ้งไว้ใกล้กับจุดที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ นอนหมดสติ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถคันดังกล่าวมีนายสมพร สุขสำเภา อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 ถ.ริมน่านตะวันตก อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร และจากการตรวจสอบภายในรถก็พบว่ามีการดัดแปลง เอาเบาะหลังออก มีอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับปรับแต่งเครื่องยนต์ มีถังน้ำมันรถจักรยานยนต์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังนายสมพรแล้ว โดยเจ้าตัวก็แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถจริงแต่ได้ขายแบบโอนลอยไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.แล้ว ซึ่งหลังจากนี้เรียกนายสมพรมาสอบปากคำเพื่อหาที่มาที่ไปว่าใครเป็นผู้ครอบครองรถในปัจจุบัน
ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องสงสัยที่นำตัวมาสอบปากคำนั้น มีทั้งสิ้น 4 คนคือนายศิริโชค สุริยันต์ อายุ 37 ปี นายประเสริฐ มีถาวร อายุ 29 ปี ด.ช.เอ และด.ช.บี อายุระหว่าง 12-14 ปี จากการสอบปากคำทั้งหมดก็ให้การปฏิเสธ บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่มาจอดหลบฝนเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจปัสสวะผู้ต้องสงสัยทั้งหมดพบว่านายศิริโชคปัสสาวะเป็นสีม่วงเพียงคนเดียวจึงได้ควบคุมตัวดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องสงสัยอีก 3 คนเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยกลับบ้านได้เนื่องจากยังไม่มีพยานหลักฐานที่จะเอาผิดได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก
ต่อมา นายสันติ แต้มทอง อายุ 28 ปี ลูกชายของ ด.ต.สัมฤทธิ์ ได้เดินทางมาที่ สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารการแจ้งความ และกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่ารู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกหลานมาโดยตลอด ขยันทำงาน ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยจากการทำงานเลย ตนเชื่อว่าพ่อน่าจะเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายร่างกาย เนื่องจากพ่อเป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว
ต่อมาเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายสมพร เจ้าของรถตู้คันดังกล่าวมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.พหลโยธิน โดยนายสมพร ให้การว่า ตนมีอาชีพขับรถตู้คันดังกล่าวรับจ้างทั่วไปอยู่ย่านลาดพร้าวมาหลายปีแล้ว หลังจากนั้นในวันที่ 30 ก.ค. นายนิรันดร์ อ่อนสมจิตร คนขับรถตู้รับจ้างเหมือนกัน ก็เป็นนายหน้าพาคนชื่อกอล์ฟ กับนายเบนซ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน มาติดต่อซื้อรถตู้จากตนซื้อด้วยเงินสดในราคา 200,000 บาท ตนจึงเซ็นโอนลอยให้ไปเลย ซึ่งหลังจากโอนรถให้นายกอล์ฟไปแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร จนกระทั่งวันนี้ตำรวจเรียกมาสอบปากคำที่โรงพักก็พบว่ารถตู้ที่ถูกดัดแปลงไปมาก ทั้งถอดเอากันชนออก ถอดเบาะผู้โดยสารด้านในรถออก ทั้งที่ก่อนขายรถยังอยู่สภาพเหมือนเดิมไม่มีการดัดแปลงใด
ด้าน พ.ต.อ.อาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ มีผลยืนยันออกมาแล้วว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตเนื่องจากสมองขาดอากาศ สันนิษฐานว่าถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นผลมาจากถูกรุมทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณหน้าผาก แขนและข้อศอก รวมถึงแผ่นหลังมีรอยฟกช้ำ
“หลังทราบผลชันสูตรศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ ว่าสาเหตุมาจากการถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้เร่งออกหาตัวเจ้าของรถตู้ที่ซื้อต่อจากนายสมพร เพราะเชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากไม่รู้เห็นคงไม่หนีไปแล้วทิ้งรถไว้เป็นพิรุธเช่นนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ตัวมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงในไม่ช้านี้ เนื่องจากขณะนี้มีข้อมูลของนายกอล์ฟบ้างแล้ว” ผกก. กล่าวอย่างเคร่งเครียด
มีรายงานว่า ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนทั้งของ กก.สส.บก.น.2 และ สน.พหลโยธิน กำลังติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ถูกรุมทำร้าย นอกจากนี้ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนทำการสอบปากคำพยานแวดล้อมที่เป็นผู้แจ้งเหตุเข้า 191 ทั้งหมด 4 ราย ไม่มีรายใดเลยที่เห็นเหตุการณ์ช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ถูกรุมทำร้าย แต่ทั้งหมดให้การตรงกันว่า เห็นช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ วิ่งไล่กลุ่ม จยย.ซิ่ง เข้าไปบริเวณข้างรถตู้ ซึ่งเป็นมุมอับ จากนั้นก็เห็น ด.ต.สัมทธิ์ นอนฟุบอยู่กับพื้นแล้ว ก่อนที่จะเห็นกลุ่มวันรุ่นหลายคนวิ่งขึ้นรถกะบะแบบ 4 ประตูแต่งซิ่งขับหลบหนีไป ส่วนรถเก๋งยี่ห้อนิสัน เซฟิโร่ สีดำ ที่มีวัยรุ่น 4 คน ถือไม้เบสบอลวิ่งตรงไปที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ มีพยานยืนยันว่า ช่วงนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มไปกับพื้นแล้ว จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลุ่มที่ลงมือทำร้ายหรือไม่
วันนี้ (13 ส.ค.) พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิตขณะเข้าตรวจสอบกลุ่มจักรยานยนต์กวนเมือง เหตุเกิดบริเวณถนนวิภาวดีขาออก หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.แขวงและเขตจตุจักร กทม. เมื่อกลางดึกวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น กก.สส.บก.น.2 ฝ่ายสืบสวนสวน และสอบสวน สน.พหลโยธิน กำลังเร่งหาข้อมูล พยานหลักฐาน รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์เพื่อเร่งติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน โดยจะเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุให้มากที่สุด และจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุว่า สามารถจับภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ได้หรือไม่
พ.ต.อ.อาคม กล่าวต่อว่า หลังจากเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบรถตู้ สีฟ้าอ่อน หมายเลขทะเบียน อต-9737 กทม. จอดทิ้งไว้ใกล้กับจุดที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ นอนหมดสติ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถคันดังกล่าวมีนายสมพร สุขสำเภา อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 ถ.ริมน่านตะวันตก อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร และจากการตรวจสอบภายในรถก็พบว่ามีการดัดแปลง เอาเบาะหลังออก มีอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับปรับแต่งเครื่องยนต์ มีถังน้ำมันรถจักรยานยนต์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังนายสมพรแล้ว โดยเจ้าตัวก็แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถจริงแต่ได้ขายแบบโอนลอยไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.แล้ว ซึ่งหลังจากนี้เรียกนายสมพรมาสอบปากคำเพื่อหาที่มาที่ไปว่าใครเป็นผู้ครอบครองรถในปัจจุบัน
ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องสงสัยที่นำตัวมาสอบปากคำนั้น มีทั้งสิ้น 4 คนคือนายศิริโชค สุริยันต์ อายุ 37 ปี นายประเสริฐ มีถาวร อายุ 29 ปี ด.ช.เอ และด.ช.บี อายุระหว่าง 12-14 ปี จากการสอบปากคำทั้งหมดก็ให้การปฏิเสธ บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่มาจอดหลบฝนเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจปัสสวะผู้ต้องสงสัยทั้งหมดพบว่านายศิริโชคปัสสาวะเป็นสีม่วงเพียงคนเดียวจึงได้ควบคุมตัวดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องสงสัยอีก 3 คนเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยกลับบ้านได้เนื่องจากยังไม่มีพยานหลักฐานที่จะเอาผิดได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก
ต่อมา นายสันติ แต้มทอง อายุ 28 ปี ลูกชายของ ด.ต.สัมฤทธิ์ ได้เดินทางมาที่ สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารการแจ้งความ และกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่ารู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกหลานมาโดยตลอด ขยันทำงาน ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยจากการทำงานเลย ตนเชื่อว่าพ่อน่าจะเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายร่างกาย เนื่องจากพ่อเป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว
ต่อมาเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายสมพร เจ้าของรถตู้คันดังกล่าวมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.พหลโยธิน โดยนายสมพร ให้การว่า ตนมีอาชีพขับรถตู้คันดังกล่าวรับจ้างทั่วไปอยู่ย่านลาดพร้าวมาหลายปีแล้ว หลังจากนั้นในวันที่ 30 ก.ค. นายนิรันดร์ อ่อนสมจิตร คนขับรถตู้รับจ้างเหมือนกัน ก็เป็นนายหน้าพาคนชื่อกอล์ฟ กับนายเบนซ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน มาติดต่อซื้อรถตู้จากตนซื้อด้วยเงินสดในราคา 200,000 บาท ตนจึงเซ็นโอนลอยให้ไปเลย ซึ่งหลังจากโอนรถให้นายกอล์ฟไปแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร จนกระทั่งวันนี้ตำรวจเรียกมาสอบปากคำที่โรงพักก็พบว่ารถตู้ที่ถูกดัดแปลงไปมาก ทั้งถอดเอากันชนออก ถอดเบาะผู้โดยสารด้านในรถออก ทั้งที่ก่อนขายรถยังอยู่สภาพเหมือนเดิมไม่มีการดัดแปลงใด
ด้าน พ.ต.อ.อาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ มีผลยืนยันออกมาแล้วว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตเนื่องจากสมองขาดอากาศ สันนิษฐานว่าถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นผลมาจากถูกรุมทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณหน้าผาก แขนและข้อศอก รวมถึงแผ่นหลังมีรอยฟกช้ำ
“หลังทราบผลชันสูตรศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ ว่าสาเหตุมาจากการถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้เร่งออกหาตัวเจ้าของรถตู้ที่ซื้อต่อจากนายสมพร เพราะเชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากไม่รู้เห็นคงไม่หนีไปแล้วทิ้งรถไว้เป็นพิรุธเช่นนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ตัวมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงในไม่ช้านี้ เนื่องจากขณะนี้มีข้อมูลของนายกอล์ฟบ้างแล้ว” ผกก. กล่าวอย่างเคร่งเครียด
มีรายงานว่า ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนทั้งของ กก.สส.บก.น.2 และ สน.พหลโยธิน กำลังติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ถูกรุมทำร้าย นอกจากนี้ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนทำการสอบปากคำพยานแวดล้อมที่เป็นผู้แจ้งเหตุเข้า 191 ทั้งหมด 4 ราย ไม่มีรายใดเลยที่เห็นเหตุการณ์ช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ถูกรุมทำร้าย แต่ทั้งหมดให้การตรงกันว่า เห็นช่วงที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ วิ่งไล่กลุ่ม จยย.ซิ่ง เข้าไปบริเวณข้างรถตู้ ซึ่งเป็นมุมอับ จากนั้นก็เห็น ด.ต.สัมทธิ์ นอนฟุบอยู่กับพื้นแล้ว ก่อนที่จะเห็นกลุ่มวันรุ่นหลายคนวิ่งขึ้นรถกะบะแบบ 4 ประตูแต่งซิ่งขับหลบหนีไป ส่วนรถเก๋งยี่ห้อนิสัน เซฟิโร่ สีดำ ที่มีวัยรุ่น 4 คน ถือไม้เบสบอลวิ่งตรงไปที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ มีพยานยืนยันว่า ช่วงนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มไปกับพื้นแล้ว จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลุ่มที่ลงมือทำร้ายหรือไม่