“อัศวิน” บอกยังไม่ชัดเจน “นายดาบ” เสียชีวิตเพราะถูกโจ๋แว้นรุมสกรัม ต้องรอผลนิติเวชยืนยันก่อนสรุป แต่เร่งฝ่ายสืบสวนควานหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วแล้ว ขณะที่ "ภาณุ" ระบุ นายดาบตำรวจเป็นคนดี ตั้งใจทำงาน รักงานจราจร พร้อมปูนบำเหน็จ 5 ขั้น มอบเงินช่วย 3 แสน
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 10.30 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิตขณะเข้าตรวจสอบกลุ่มจักรยานยนต์กวนเมือง เหตุเกิดบริเวณถนนวิภาวดีขาออก หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.แขวงและเขตจตุจักร กทม. เมื่อกลางดึกวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า จากรายงานเบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจนว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากการถูกทำร้ายร่างกายจริงหรือไม่ เพราะแผลที่พบบริเวณหน้าผากของ ด.ต.สัมฤทธิ์เป็นแผลขนาดเล็ก ซึ่งไม่น่าจะถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งต้องดูผลการสรุปจากนิติเวชภายในวันนี้ (13 ส.ค.) ซึ่งจะสามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างชัดเจนได้อีกครั้ง
“ส่วนรถกระบะอีซูซุที่มีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์แจ้งเบาะแสนั้นขณะนี้สั่งการให้เจ้าของคดีเร่งตรวจสอบหมายเลขทะเบียน เพื่อติดตามเจ้าของรถมาดำเนินการสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์จนเสียชีวิตหรือไม่ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามหาเบาะแสของคนร้ายและติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” ผบช.น.กล่าว
ในวันเดียวกัน พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร กล่าวว่า เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในฐานะผู้บังคับบัญชาก็รู้สึกสะเทือนใจ ที่ต้องสูญเสียตำรวจจราจรดี ๆ ที่ตั้งใจทำงานไปนายหนึ่งและถือว่าเป็นการเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพราะจากการตรวจสอบทราบว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เป็นคนที่ตั้งใจทำงานดีเป็นคนขยันทำงาน พูดจาตรงไปตรงมา เป็นที่รักของผู้บังคับบัญชาและรักงานในหน้าที่ตำรวจจราจร แม้เคยมีผู้บังคับบัญชาขอตัวไปช่วยงานด้านอื่น แต่เจ้าตัวไม่ถนัดจึงขอกลับมาทำหน้าที่ตำรวจจราจรเหมือนเดิม
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ไปถึงที่เกิดเหตุก่อน เนื่องจากขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.พหลโยธิน ประมาณ 10 นาย เสร็จสิ้นภารกิจรับขบวนเสด็จพอดี เมื่อได้ยินว่ามีการรวมตัวของแก๊งรถซิ่ง ด.ต.สัมฤทธิ์ ซึ่งใช้รถจักรยานยนต์คันใหญ่เดินทางมาที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าเพื่อนตำรวจจราจรนายอื่น จึงรีบเข้าตรวจสอบเพื่อระงับเหตุ จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อเพื่อนตำรวจจราจรซึ่งขับรถตามมาก็พบ ด.ต.สัมฤทธิ์ นอนกองอยู่กับพื้นจึงรีบกันนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
“ในส่วนนี้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะพิจารณาเสนอปรับชั้นยศให้กับ ด.ต.สัมฤทธิ์ ตามระเบียบขั้นตอนคือ 5 ชั้นยศ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือกับทางครอบครัวเบื้องต้นจำนวน 3 แสนบาทและเป็นเจ้าภาพในการจัดงานศพ เนื่องจากเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุเศร้าสลดใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรครั้งนี้ได้กำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุก สน.รวมทั้งตำรวจจราจร กองบังคับการตำรวจจราจรในสังกัด ให้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ให้มากขึ้น” รอง ผบช.น. กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 10.50 น.ที่สถาบันนิติเวชวิทยา นางอรอุษา แต้มทอง อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70/1 หมู่ 4 ต.หาดอาษา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ภรรยา ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง ผบ.หมู่การจราจร สน.วิภาวดี ซึ่งถูกแก๊งจยย.ซิ่งทำร้ายเสียชีวิต พร้อมลูก 3 คน ญาติ และเพื่อนตำรวจจำนวนมาก เดินทางมารับศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า
นางอรอุษา กล่าวว่า ทราบข่าวการเสียชีวิตของสามีตอนตีสอง โดยทราบว่าสามีไปตรวจที่เกิดเหตุ แล้วถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายจนเสียชีวิต ตอนแรกที่ทราบข่าวก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะปกติสามีเป็นคนดี รักครอบครัว ขยันขันแข็ง ร่าเริง รักอาชีพตำรวจ และเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน และคนทั่วไป โดยปกติแล้วสามีก็ชอบมาเล่าเรื่องการกวดขันการแข่งรถให้ตนเองฟังบ่อยครั้ง ซึ่งตนไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น
"ที่ผ่านมาสามีเป็นเสาหลักของครอบครัวมาโดยตลอด เมื่อเสียเขาไปก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ และก็ไม่มีลางบอกเหตุมาก่อนเลย สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็อยากฝากให้พ่อแม่เด็กๆที่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ดูแลเด็กๆอย่าให้มาทำอย่างนี้เลย ส่วนตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการกับกลุ่มแข่งรถนี้ ก็อยากให้ดูแลตัวเองดีๆ หากจะเข้าระงับเหตุอย่างนี้ก็อยากให้ระมัดระวังตัวให้มากที่สุด"
นางอรอุษา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะนำศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ ไปตั้งสวดบำเพ็ญกุศลที่วัดเสมียนนารี ศาลา 11 จำนวน 2 คืน ก่อนจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลต่อที่วัดยางศรีเจริญ อ.สรรพยา ต.หาดอาษา จ.ชัยนาท ต่อไป
ด้าน นายจิตกาญจน์ แต้มทอง ลูกชายคนโต กล่าวว่า ครอบครัวตนเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก กับชีวิตของพ่อที่ต้องมาเสียไป กับสิ่งที่คนพวกนี้คิดว่าสนุกสนาน ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้พวกขยะสังคมพวกนี้รู้สึกสำนึก ก็ได้แต่ภาวนาให้กรรมตามทัน แต่อย่างไรก็ตามตนเองก็รู้สึกภูมิใจ ที่พ่อเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จากการช่วยเหลือประชาชนและสังคมที่เดือดร้อน แต่ต้องมาเสียชีวิตกับพวกอย่างนี้
ด้านผลการชันสูตรของแพทย์นิติเวช ระบุว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากการที่สมองขาดอากาศ เนื่องจากถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตายขาดเลือดเฉียบพลัน โดยสภาพศพถูกตีด้วยไม้มีบาดแผลที่บริเวณเหนือศีรษะด้านซ้าย และด้านแผ่นหลังที่เป็นรอยยาวถึงสะโพก ขณะที่ตามแขนและหลังมือ ก็มีรอยเขียวฟกช้ำ ซึ่งน่าจะมาจากการต่อสู้
ทางพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบช.สง.ผบ.ตร.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกแก๊งจักรยานยนต์ซิ่งทำร้ายร่างกายเสียชีวิต ว่า ตร.ได้พิจารณาปูนบำเหน็จให้กับ ด.ต.สัมฤทธิ์ โดยเลื่อนขั้นเงินเดือน 5 ขั้น เลื่อนยศอีก 4 ชั้นยศ เป็น พ.ต.ต. ขณะเดียวกันได้มอบเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ และเงินกองทุนสวัสดิการ จำนวน 550,000 บาท ให้กับครอบครัวของ ด.ต.สัมฤทธิ์ ด้วย
พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของคดี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. เร่งสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการปราบปรามแก๊งจยย.ซิ่ง ได้สั่งให้ทุกพื้นที่สอดส่องดูแลกวดขันตลอด 24 ชม. นอกจากนี้อาจมีการเพิ่มกำลังตำรวจจราจรมาช่วยดูแลด้วย อย่างไรก็ตามการปราบปรามในชั้นตำรวจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งหากจะแก้ที่ต้นเหตุต้องเริ่มจากครอบครัว โดยผู้ปกครองควรเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
นายไพศาล วิเชียรเกื้อ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ส่งตัวเยาวชนที่ก่อเหตุมายังบ้านเมตตา ซึ่งการบำบัดจะต้องพิจารณาด้วยว่าพนักงานสอบสวนส่งตัวเยาวชนด้วยข้อหาใด และมีผู้ปกครองมายื่นขอประกันตัวหรือไม่ รวมทั้งเยาวชนดังกล่าวรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ขณะนี้ทราบว่ามีเยาวชนที่ร่วมก่อเหตุเพียง 2 คน
อย่างไรก็ตามหากพนักงานสอบสวนส่งตัวเยาวชนทั้ง 2 คนมาที่บ้านเมตตา เบื้องต้นจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนคือทำประวัติ ให้นักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยหาสาเหตุการกระทำผิด และดูรายละเอียดอื่นประกอบเพื่อจำแนกประเภทการบำบัดเยาวชนได้ตรงจุดที่สุด โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากจะนำการ ช็อกเทอร์ราปี มาใช้บำบัดเยาวชนที่ก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่จนถึงแก่ความตาย น่าจะมีวิธีการบำบัดหรือวิธีลงโทษที่รุนแรงกว่าเข้ามาบำบัด ซึ่งขณะนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สถานพินิจเตรียมหามาตรการรองรับไว้แล้ว
แก๊งซิ่งโหด! ทำร้ายตำรวจเสียชีวิตคาที่
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 10.30 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิตขณะเข้าตรวจสอบกลุ่มจักรยานยนต์กวนเมือง เหตุเกิดบริเวณถนนวิภาวดีขาออก หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.แขวงและเขตจตุจักร กทม. เมื่อกลางดึกวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า จากรายงานเบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจนว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากการถูกทำร้ายร่างกายจริงหรือไม่ เพราะแผลที่พบบริเวณหน้าผากของ ด.ต.สัมฤทธิ์เป็นแผลขนาดเล็ก ซึ่งไม่น่าจะถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งต้องดูผลการสรุปจากนิติเวชภายในวันนี้ (13 ส.ค.) ซึ่งจะสามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างชัดเจนได้อีกครั้ง
“ส่วนรถกระบะอีซูซุที่มีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์แจ้งเบาะแสนั้นขณะนี้สั่งการให้เจ้าของคดีเร่งตรวจสอบหมายเลขทะเบียน เพื่อติดตามเจ้าของรถมาดำเนินการสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์จนเสียชีวิตหรือไม่ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามหาเบาะแสของคนร้ายและติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” ผบช.น.กล่าว
ในวันเดียวกัน พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร กล่าวว่า เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในฐานะผู้บังคับบัญชาก็รู้สึกสะเทือนใจ ที่ต้องสูญเสียตำรวจจราจรดี ๆ ที่ตั้งใจทำงานไปนายหนึ่งและถือว่าเป็นการเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพราะจากการตรวจสอบทราบว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เป็นคนที่ตั้งใจทำงานดีเป็นคนขยันทำงาน พูดจาตรงไปตรงมา เป็นที่รักของผู้บังคับบัญชาและรักงานในหน้าที่ตำรวจจราจร แม้เคยมีผู้บังคับบัญชาขอตัวไปช่วยงานด้านอื่น แต่เจ้าตัวไม่ถนัดจึงขอกลับมาทำหน้าที่ตำรวจจราจรเหมือนเดิม
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ไปถึงที่เกิดเหตุก่อน เนื่องจากขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.พหลโยธิน ประมาณ 10 นาย เสร็จสิ้นภารกิจรับขบวนเสด็จพอดี เมื่อได้ยินว่ามีการรวมตัวของแก๊งรถซิ่ง ด.ต.สัมฤทธิ์ ซึ่งใช้รถจักรยานยนต์คันใหญ่เดินทางมาที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าเพื่อนตำรวจจราจรนายอื่น จึงรีบเข้าตรวจสอบเพื่อระงับเหตุ จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อเพื่อนตำรวจจราจรซึ่งขับรถตามมาก็พบ ด.ต.สัมฤทธิ์ นอนกองอยู่กับพื้นจึงรีบกันนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
“ในส่วนนี้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะพิจารณาเสนอปรับชั้นยศให้กับ ด.ต.สัมฤทธิ์ ตามระเบียบขั้นตอนคือ 5 ชั้นยศ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือกับทางครอบครัวเบื้องต้นจำนวน 3 แสนบาทและเป็นเจ้าภาพในการจัดงานศพ เนื่องจากเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุเศร้าสลดใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรครั้งนี้ได้กำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุก สน.รวมทั้งตำรวจจราจร กองบังคับการตำรวจจราจรในสังกัด ให้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ให้มากขึ้น” รอง ผบช.น. กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 10.50 น.ที่สถาบันนิติเวชวิทยา นางอรอุษา แต้มทอง อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70/1 หมู่ 4 ต.หาดอาษา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ภรรยา ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง ผบ.หมู่การจราจร สน.วิภาวดี ซึ่งถูกแก๊งจยย.ซิ่งทำร้ายเสียชีวิต พร้อมลูก 3 คน ญาติ และเพื่อนตำรวจจำนวนมาก เดินทางมารับศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า
นางอรอุษา กล่าวว่า ทราบข่าวการเสียชีวิตของสามีตอนตีสอง โดยทราบว่าสามีไปตรวจที่เกิดเหตุ แล้วถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายจนเสียชีวิต ตอนแรกที่ทราบข่าวก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะปกติสามีเป็นคนดี รักครอบครัว ขยันขันแข็ง ร่าเริง รักอาชีพตำรวจ และเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน และคนทั่วไป โดยปกติแล้วสามีก็ชอบมาเล่าเรื่องการกวดขันการแข่งรถให้ตนเองฟังบ่อยครั้ง ซึ่งตนไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น
"ที่ผ่านมาสามีเป็นเสาหลักของครอบครัวมาโดยตลอด เมื่อเสียเขาไปก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ และก็ไม่มีลางบอกเหตุมาก่อนเลย สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็อยากฝากให้พ่อแม่เด็กๆที่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ดูแลเด็กๆอย่าให้มาทำอย่างนี้เลย ส่วนตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการกับกลุ่มแข่งรถนี้ ก็อยากให้ดูแลตัวเองดีๆ หากจะเข้าระงับเหตุอย่างนี้ก็อยากให้ระมัดระวังตัวให้มากที่สุด"
นางอรอุษา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะนำศพ ด.ต.สัมฤทธิ์ ไปตั้งสวดบำเพ็ญกุศลที่วัดเสมียนนารี ศาลา 11 จำนวน 2 คืน ก่อนจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลต่อที่วัดยางศรีเจริญ อ.สรรพยา ต.หาดอาษา จ.ชัยนาท ต่อไป
ด้าน นายจิตกาญจน์ แต้มทอง ลูกชายคนโต กล่าวว่า ครอบครัวตนเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก กับชีวิตของพ่อที่ต้องมาเสียไป กับสิ่งที่คนพวกนี้คิดว่าสนุกสนาน ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้พวกขยะสังคมพวกนี้รู้สึกสำนึก ก็ได้แต่ภาวนาให้กรรมตามทัน แต่อย่างไรก็ตามตนเองก็รู้สึกภูมิใจ ที่พ่อเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จากการช่วยเหลือประชาชนและสังคมที่เดือดร้อน แต่ต้องมาเสียชีวิตกับพวกอย่างนี้
ด้านผลการชันสูตรของแพทย์นิติเวช ระบุว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากการที่สมองขาดอากาศ เนื่องจากถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตายขาดเลือดเฉียบพลัน โดยสภาพศพถูกตีด้วยไม้มีบาดแผลที่บริเวณเหนือศีรษะด้านซ้าย และด้านแผ่นหลังที่เป็นรอยยาวถึงสะโพก ขณะที่ตามแขนและหลังมือ ก็มีรอยเขียวฟกช้ำ ซึ่งน่าจะมาจากการต่อสู้
ทางพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบช.สง.ผบ.ตร.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณี ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 51 ปี ผบ.หมู่ สน.วิภาวดี ถูกแก๊งจักรยานยนต์ซิ่งทำร้ายร่างกายเสียชีวิต ว่า ตร.ได้พิจารณาปูนบำเหน็จให้กับ ด.ต.สัมฤทธิ์ โดยเลื่อนขั้นเงินเดือน 5 ขั้น เลื่อนยศอีก 4 ชั้นยศ เป็น พ.ต.ต. ขณะเดียวกันได้มอบเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ และเงินกองทุนสวัสดิการ จำนวน 550,000 บาท ให้กับครอบครัวของ ด.ต.สัมฤทธิ์ ด้วย
พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของคดี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. เร่งสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการปราบปรามแก๊งจยย.ซิ่ง ได้สั่งให้ทุกพื้นที่สอดส่องดูแลกวดขันตลอด 24 ชม. นอกจากนี้อาจมีการเพิ่มกำลังตำรวจจราจรมาช่วยดูแลด้วย อย่างไรก็ตามการปราบปรามในชั้นตำรวจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งหากจะแก้ที่ต้นเหตุต้องเริ่มจากครอบครัว โดยผู้ปกครองควรเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
นายไพศาล วิเชียรเกื้อ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ส่งตัวเยาวชนที่ก่อเหตุมายังบ้านเมตตา ซึ่งการบำบัดจะต้องพิจารณาด้วยว่าพนักงานสอบสวนส่งตัวเยาวชนด้วยข้อหาใด และมีผู้ปกครองมายื่นขอประกันตัวหรือไม่ รวมทั้งเยาวชนดังกล่าวรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ขณะนี้ทราบว่ามีเยาวชนที่ร่วมก่อเหตุเพียง 2 คน
อย่างไรก็ตามหากพนักงานสอบสวนส่งตัวเยาวชนทั้ง 2 คนมาที่บ้านเมตตา เบื้องต้นจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนคือทำประวัติ ให้นักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยหาสาเหตุการกระทำผิด และดูรายละเอียดอื่นประกอบเพื่อจำแนกประเภทการบำบัดเยาวชนได้ตรงจุดที่สุด โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากจะนำการ ช็อกเทอร์ราปี มาใช้บำบัดเยาวชนที่ก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่จนถึงแก่ความตาย น่าจะมีวิธีการบำบัดหรือวิธีลงโทษที่รุนแรงกว่าเข้ามาบำบัด ซึ่งขณะนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สถานพินิจเตรียมหามาตรการรองรับไว้แล้ว
แก๊งซิ่งโหด! ทำร้ายตำรวจเสียชีวิตคาที่