ยังกลายเป็นปริศนา ดาบตำรวจจราจร จับรถซิ่ง ยังไม่รู้ว่าเสียชีวิตเพราะถูกฆ่าหรือไม่ โดยตำรวจนำตัวเด็กแว้นที่อยู่ในรถตู้คันเกิดเหตุมาสอบปากคำ 4 คน ไม่มีใครเห็นตำรวจตายเพราะอะไร แต่ได้ยินเสียง มีคนเอาไม้ตีตำรวจ
วันนี้ (14 ส.ค.) พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวถึงความคืบหน้าคดีแก๊งซิ่งรุมทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 52 ปี ผบ.หมู่งานจราจร สน.วิภาวดี จนเสียชีวิตขณะเข้าจับแก๊งรถจักรยานยนต์ซิ่งบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) ว่า เมื่อวานนี้ ผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 คน ได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ โดยอ้างว่า ได้ขับรถตู้ขนรถ จยย.มาแข่งซิ่งจริง แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต่อย่างใด โดยขณะเกิดเหตุทั้ง 5 คน กำลังขนรถ จยย.ลงจากรถตู้ จากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็ขี่รถจยย.เข้ามาพอดี จึงแยกย้ายกันหลบหนี โดย 3 คนแยกย้ายกันวิ่งหลบหนีไป ส่วนอีก 2 คนเข้าไปหลบในรถตู้ ซึ่งทั้งสองคนก็เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ เดินวนรอบรถตู้ก่อนจะล้มฟุบลงไป ทั้งสองคนจึงขับรถตู้หลบหนีไป
พ.ต.อ.อาคม กล่าวต่อว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 คน เนื่องจากขัดแย้งกับผลชันสูตรศพ ที่ระบุว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากสมองขาดอากาศ โดยสันนิษฐานว่าถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตาย เนื่องจากขาดเลือดเฉียบพลัน โดยโรคหัวใจที่เป็นประจำตัวนั้น น่าจะเป็นเพียงปัจจัยเร่งที่ทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือจากประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ให้เข้ามาใหเบาะแสกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะได้ติดตามหาตัวคนร้ายได้ โดยทางเจ้าหน้าที่จะพยายามทำงานอย่างเต็มที่ โดยจะไม่เร่งสรุปสำนวน เนื่องจากเกรงว่าจะขาดพยานหลักฐานสำคัญไปซึ่งขณะนี้ทางตร.ได้สอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้ามาให้การแล้วหลายปาก และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุดเพื่อขอให้ศาลอนุมัติออกหมายจับ
ต่อมาเวลา 15.00 น.นายธนพงศ์ หรือ เข้ เอี่ยมอ่อน อายุ 18 ปี นายจิระวัฒน์ หรือ ตี๋ พุดบำรุง อายุ 19 ปี นายธนวัฒน์ หรือ เพชร มวลจุมพล อายุ 18 ปี และนายอรรพล หรือ เป้ อ่อนสมจิตร อายุ 20 ปี ซึ่งอยู่ในรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีฟ้า หมายเลขทะเบียน อต 9737 กทม.ในคืนเกิดเหตุ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.สมนึก สันติภาตะนันท์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.พหลโยธิน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว
หลังจากสอบปากคำ นายธนพงศ์ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ พวกตนทั้ง 4 คน พร้อม นายโสฬส แก้วเอียด อายุ 25 ปี และ นายอนวัฒน์ หรือ ตั๋ง ไพบูลย์พร อายุ 18 ปี ได้นำรถ จยย. 2 คัน ใส่รถตู้คันดังกล่าวมาร่วมแข่งกันที่บริเวณจุดเกิดเหตุ โดยจะมีนักแข่งเป็นคนขี่รถ จยย.ต่างหาก ส่วนพวกตนทั้งหมดเป็นแค่คนดูเท่านั้น โดยเมื่อมาถึงตนเองลงมาด้านหลังรถเปิดประตูท้ายเพื่อนำรถ จยย.ลงจากรถตู้ แต่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็ได้ขี่รถ จยย.เข้ามาพอดี ก่อนจะสั่งให้ตนหยุด แต่ตนรีบทิ้งรถวิ่งหนีไปพร้อมเพื่อนทันที หลังจากนั้น ตนก็วิ่งกลับมาที่รถตู้เพื่อจะเอารถ จยย.ที่ทิ้งไว้ แต่ปรากฏว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มฟุบไปกับพื้นแล้ว โดยจังหวะที่กำลังจะวิ่งหนีนั้น ตนไม่เห็นใครทำร้าย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต่มีคนที่นั่งอยู่ในรถด้านหลังรถตู้ของคน ตะโกนขึ้นว่า มีคนเอาไม้ตีตำรวจ แล้วก็เอาปืนตำรวจไปด้วย
นายธนพงศ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนก็พยายามเข็นรถ จยย.ไปจอดข้างทาง แต่ขณะนั้น ก็มีชาย 3 คนที่อยู่ในรถเก๋งนิสสัน เซฟิโร่ สีดำ ที่จอดอยู่ใกล้กัน เดินถือไม้เบสบอลตรงมาเพื่อพยายามจะตีตน แต่ก็เปลี่ยนใจปล่อยตนไป หลังจากนั้น ก็เห็น 1 ใน 3 คนใช้ปืนอัดแก๊สไปไล่ยิงใส่กลุ่มที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งตนไม่รู้สึกคุ้นหน้าหรือเคยเห็นหน้าทั้ง 3 คนมาก่อนแต่อย่างใด
“ปกติพวกผมจะแข่งกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ แถวย่านเกษตรนวมินทร์ ถ้าตำรวจมาไล่เมื่อไหร่ก็จะย้ายหนีไปที่อื่น ส่วนที่มาพบตำรวจในวันนี้ ก็เพื่อจะยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไร ผมเห็นแต่เขาล้มไปตอนที่กลับมาเอารถ จยย.แล้วเท่านั้น” นายธนพงศ์ กล่าว
ด้าน นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุพวกตนมาด้วยกันทั้งหมด 6 คน โดย นายโสฬส เป็นคนขับ ส่วนตนนั่งหน้ากับ นายธนพงศ์ ส่วน นายอนวัฒน์ นายธนวัฒน์ และ นายอรรถพล นั่งหลังรถ โดยเมื่อมาถึง นายธนพงศ์ ก็ลงไปเอารถ จยย.ลงจากรถตู้ หลังจากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็เข้ามาจับกุมโดยสั่งให้หยุด หลังจากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ เดินอ้อมมาจากท้ายรถเพื่อดึงกุญแจรถตู้ออกไป แล้วเดินอ้อมมาฝั่งประตูผู้โดยสารข้างซ้าย เพื่อจะสั่งให้พวกตนลงมาจากรถ ก่อนที่จะเดินไปเพื่อจับกุมรถคันข้างหน้า แต่ระหว่างนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็เกิดอาการเซ แล้วจับหน้าอก ก่อนจะล้มฟุบลงไป พวกตนจึงแยกย้ายกันหลบหนี
หลังตำรวจสอบปากคำทั้ง 3 คนเสร็จ ได้ปล่อยตัวไปทั้งหมด โดยไม่ได้นำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น.นายเทอดทูน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อาคม เพื่อให้การเป็นพยาน โดยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้ขับรถออกจากบ้านย่านรังสิต ใช้ถนนวิภาวดีฯขาเข้า เพื่อเดินทางไปเยาวราช โดยใช้ช่องทางด่วน แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ เห็นว่า รถติดมาก โดยรถตู้คันที่เกิดเหตุ จอดอยู่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณช่วง 2 คันรถ จากนั้นจึงเปิด จ.ส.100 ฟังทราบว่า มีการแข่งรถกันบนถนนวิภาวดีฯ จึงพยายามหักรถเบี่ยงออกทางด้านซ้ายสุดของถนน และก็เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ ขี่รถจักรยานยนต์มาจากด้านหลัง จากนั้นเห็นคนในรถตู้เปิดประตูท้ายรถและช่วยกันยกรถจักรยานยนต์ซิ่งลงมา ด.ต.สัมฤทธิ์ จึงจอดรถ เพื่อลงไปจับกุม ช่วงจังหวะนั้นเอง เห็นเด็กๆ ในรถตู้ วิ่งกระจัดกระจายหลบหนี และเห็น ด.ต.สัมฤทธิ์เดินอ้อมจากฝั่งขวาของรถตู้ มาที่ด้านซ้าย เป็นจังหวะเดียวกับที่ตนได้เปลี่ยนช่องทางจราจรไปอยู่ที่ช่องซ้ายสุดแล้ว โดยรถตนอยู่เลยรถตู้คันดังกล่าวไปเล็กน้อย ซึ่งเมื่อหันมองไปยังกระจกมองหลัง ก็พบว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มฟุบลงไปแล้ว จึงได้โทรศัพท์แจ้งไปยัง จ.ส.100 เพื่อให้ส่งคนไปช่วย โดยตอนแรกไม่ได้คิดว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ จะเสียชีวิต คิดว่า ล้มไปเฉยๆ แต่เมื่อมารู้ว่าเสียชีวิต ก็รู้สึกตกใจ ส่วนจังหวะก่อนที่ด.ต.สัมฤทธิ์ จะล้มลงไปนั้น ไม่เห็นว่ามีใครทำร้าย เพราะมีรถอีกคันบังอยู่
วันนี้ (14 ส.ค.) พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวถึงความคืบหน้าคดีแก๊งซิ่งรุมทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 52 ปี ผบ.หมู่งานจราจร สน.วิภาวดี จนเสียชีวิตขณะเข้าจับแก๊งรถจักรยานยนต์ซิ่งบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) ว่า เมื่อวานนี้ ผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 คน ได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ โดยอ้างว่า ได้ขับรถตู้ขนรถ จยย.มาแข่งซิ่งจริง แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกาย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต่อย่างใด โดยขณะเกิดเหตุทั้ง 5 คน กำลังขนรถ จยย.ลงจากรถตู้ จากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็ขี่รถจยย.เข้ามาพอดี จึงแยกย้ายกันหลบหนี โดย 3 คนแยกย้ายกันวิ่งหลบหนีไป ส่วนอีก 2 คนเข้าไปหลบในรถตู้ ซึ่งทั้งสองคนก็เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ เดินวนรอบรถตู้ก่อนจะล้มฟุบลงไป ทั้งสองคนจึงขับรถตู้หลบหนีไป
พ.ต.อ.อาคม กล่าวต่อว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 คน เนื่องจากขัดแย้งกับผลชันสูตรศพ ที่ระบุว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากสมองขาดอากาศ โดยสันนิษฐานว่าถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตาย เนื่องจากขาดเลือดเฉียบพลัน โดยโรคหัวใจที่เป็นประจำตัวนั้น น่าจะเป็นเพียงปัจจัยเร่งที่ทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือจากประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ให้เข้ามาใหเบาะแสกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะได้ติดตามหาตัวคนร้ายได้ โดยทางเจ้าหน้าที่จะพยายามทำงานอย่างเต็มที่ โดยจะไม่เร่งสรุปสำนวน เนื่องจากเกรงว่าจะขาดพยานหลักฐานสำคัญไปซึ่งขณะนี้ทางตร.ได้สอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้ามาให้การแล้วหลายปาก และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุดเพื่อขอให้ศาลอนุมัติออกหมายจับ
ต่อมาเวลา 15.00 น.นายธนพงศ์ หรือ เข้ เอี่ยมอ่อน อายุ 18 ปี นายจิระวัฒน์ หรือ ตี๋ พุดบำรุง อายุ 19 ปี นายธนวัฒน์ หรือ เพชร มวลจุมพล อายุ 18 ปี และนายอรรพล หรือ เป้ อ่อนสมจิตร อายุ 20 ปี ซึ่งอยู่ในรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีฟ้า หมายเลขทะเบียน อต 9737 กทม.ในคืนเกิดเหตุ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.สมนึก สันติภาตะนันท์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.พหลโยธิน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว
หลังจากสอบปากคำ นายธนพงศ์ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ พวกตนทั้ง 4 คน พร้อม นายโสฬส แก้วเอียด อายุ 25 ปี และ นายอนวัฒน์ หรือ ตั๋ง ไพบูลย์พร อายุ 18 ปี ได้นำรถ จยย. 2 คัน ใส่รถตู้คันดังกล่าวมาร่วมแข่งกันที่บริเวณจุดเกิดเหตุ โดยจะมีนักแข่งเป็นคนขี่รถ จยย.ต่างหาก ส่วนพวกตนทั้งหมดเป็นแค่คนดูเท่านั้น โดยเมื่อมาถึงตนเองลงมาด้านหลังรถเปิดประตูท้ายเพื่อนำรถ จยย.ลงจากรถตู้ แต่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็ได้ขี่รถ จยย.เข้ามาพอดี ก่อนจะสั่งให้ตนหยุด แต่ตนรีบทิ้งรถวิ่งหนีไปพร้อมเพื่อนทันที หลังจากนั้น ตนก็วิ่งกลับมาที่รถตู้เพื่อจะเอารถ จยย.ที่ทิ้งไว้ แต่ปรากฏว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มฟุบไปกับพื้นแล้ว โดยจังหวะที่กำลังจะวิ่งหนีนั้น ตนไม่เห็นใครทำร้าย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต่มีคนที่นั่งอยู่ในรถด้านหลังรถตู้ของคน ตะโกนขึ้นว่า มีคนเอาไม้ตีตำรวจ แล้วก็เอาปืนตำรวจไปด้วย
นายธนพงศ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนก็พยายามเข็นรถ จยย.ไปจอดข้างทาง แต่ขณะนั้น ก็มีชาย 3 คนที่อยู่ในรถเก๋งนิสสัน เซฟิโร่ สีดำ ที่จอดอยู่ใกล้กัน เดินถือไม้เบสบอลตรงมาเพื่อพยายามจะตีตน แต่ก็เปลี่ยนใจปล่อยตนไป หลังจากนั้น ก็เห็น 1 ใน 3 คนใช้ปืนอัดแก๊สไปไล่ยิงใส่กลุ่มที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งตนไม่รู้สึกคุ้นหน้าหรือเคยเห็นหน้าทั้ง 3 คนมาก่อนแต่อย่างใด
“ปกติพวกผมจะแข่งกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ แถวย่านเกษตรนวมินทร์ ถ้าตำรวจมาไล่เมื่อไหร่ก็จะย้ายหนีไปที่อื่น ส่วนที่มาพบตำรวจในวันนี้ ก็เพื่อจะยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไร ผมเห็นแต่เขาล้มไปตอนที่กลับมาเอารถ จยย.แล้วเท่านั้น” นายธนพงศ์ กล่าว
ด้าน นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุพวกตนมาด้วยกันทั้งหมด 6 คน โดย นายโสฬส เป็นคนขับ ส่วนตนนั่งหน้ากับ นายธนพงศ์ ส่วน นายอนวัฒน์ นายธนวัฒน์ และ นายอรรถพล นั่งหลังรถ โดยเมื่อมาถึง นายธนพงศ์ ก็ลงไปเอารถ จยย.ลงจากรถตู้ หลังจากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็เข้ามาจับกุมโดยสั่งให้หยุด หลังจากนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ เดินอ้อมมาจากท้ายรถเพื่อดึงกุญแจรถตู้ออกไป แล้วเดินอ้อมมาฝั่งประตูผู้โดยสารข้างซ้าย เพื่อจะสั่งให้พวกตนลงมาจากรถ ก่อนที่จะเดินไปเพื่อจับกุมรถคันข้างหน้า แต่ระหว่างนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ ก็เกิดอาการเซ แล้วจับหน้าอก ก่อนจะล้มฟุบลงไป พวกตนจึงแยกย้ายกันหลบหนี
หลังตำรวจสอบปากคำทั้ง 3 คนเสร็จ ได้ปล่อยตัวไปทั้งหมด โดยไม่ได้นำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น.นายเทอดทูน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อาคม เพื่อให้การเป็นพยาน โดยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้ขับรถออกจากบ้านย่านรังสิต ใช้ถนนวิภาวดีฯขาเข้า เพื่อเดินทางไปเยาวราช โดยใช้ช่องทางด่วน แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ เห็นว่า รถติดมาก โดยรถตู้คันที่เกิดเหตุ จอดอยู่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณช่วง 2 คันรถ จากนั้นจึงเปิด จ.ส.100 ฟังทราบว่า มีการแข่งรถกันบนถนนวิภาวดีฯ จึงพยายามหักรถเบี่ยงออกทางด้านซ้ายสุดของถนน และก็เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ ขี่รถจักรยานยนต์มาจากด้านหลัง จากนั้นเห็นคนในรถตู้เปิดประตูท้ายรถและช่วยกันยกรถจักรยานยนต์ซิ่งลงมา ด.ต.สัมฤทธิ์ จึงจอดรถ เพื่อลงไปจับกุม ช่วงจังหวะนั้นเอง เห็นเด็กๆ ในรถตู้ วิ่งกระจัดกระจายหลบหนี และเห็น ด.ต.สัมฤทธิ์เดินอ้อมจากฝั่งขวาของรถตู้ มาที่ด้านซ้าย เป็นจังหวะเดียวกับที่ตนได้เปลี่ยนช่องทางจราจรไปอยู่ที่ช่องซ้ายสุดแล้ว โดยรถตนอยู่เลยรถตู้คันดังกล่าวไปเล็กน้อย ซึ่งเมื่อหันมองไปยังกระจกมองหลัง ก็พบว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มฟุบลงไปแล้ว จึงได้โทรศัพท์แจ้งไปยัง จ.ส.100 เพื่อให้ส่งคนไปช่วย โดยตอนแรกไม่ได้คิดว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ จะเสียชีวิต คิดว่า ล้มไปเฉยๆ แต่เมื่อมารู้ว่าเสียชีวิต ก็รู้สึกตกใจ ส่วนจังหวะก่อนที่ด.ต.สัมฤทธิ์ จะล้มลงไปนั้น ไม่เห็นว่ามีใครทำร้าย เพราะมีรถอีกคันบังอยู่