รอง ผบ.ตร.เป็นประธานรดน้ำหลวงอาบศพ “นายดาบ” เหยื่อแก๊งซิ่ง ด้านโจ๋เจ้าของรถตู้ โร่มอบตัวอ้างเห็นตำรวจเป็นลมล้มฟุบเอง ขณะที่ ผบช.น.ควักเงินช่วยเหลื่อครอบครัวผู้ตาย 5 หมื่นบาท
วันนี้ (13 ส.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น.ที่วัดเสมียนนารี ศาลา 11 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานศพของ ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง อายุ 52 ปี ผบ.หมู่ จราจร สน.วิภาวดี บริเวณศาลา 11 วัดเสมียนนารีว่า มีบรรดาญาติพี่น้อง และเพื่อนตำรวจทยอยเดินทางมาร่วมงานศพเป็นจำนวนมาก โดยมี นางอรอุษา แต้มทอง ภรรยาและญาติคอยให้การต้อนรับด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ทั้งนี้ ภายในงานได้มี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำ ตร.ปฏิบัติหน้าที่ รอง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมาร่วมงานศพพร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้กับ นางอรอุษา ในนามมูลนิธิ บุญยะจินดา นอกจากนี้ ยังมี พล.ต.ต.ภานุรัตน์ มีเพียร ผู้บังคับการตำรวจจราจร (ผบก.จร.) และ พล.ต.ต.ปราโมทย์ ปทุมวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 (ผบก.น.9) มาร่วมด้วย
ต่อมาเวลา 17.49 น.ได้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง นำน้ำหลวงอาบศพพระราชทานในกรณีพิเศษมามอบให้โดยมี พล.ต.อ.วิเชียร เป็นประธานในพิธีอาบน้ำศพ
พล.ต.ต.ภานุรัตน์ กล่าวว่า กรณีรถซิ่งบนท้องถนนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้กำลังหลายฝ่าย โดยเมื่อคืนหลังจากได้รับแจ้งเหตุว่ามีแก๊งรถซิ่งออกมาก่อกวนเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกมาตรวจสอบ แต่ ด.ต.สัมฤทธิ์ ได้รับแจ้งก่อนอีกทั้งมีรถจักรยานยนต์ คันใหญ่กว่าจึงเดินทางไปถึงจุดที่เกิดเหตุก่อน ซึ่งเมื่อคืนเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากมีฝนตกหนักทำให้เจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ไม่อยากให้เกิดขึ้น โดยปกติจะมีการประสานงานกันอยู่สม่ำเสมอ โดยทาง พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.น.1-9 มาโดยตลอด ส่วนเรื่องคดีจะมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีต่อไป
จากนั้น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.พร้อมด้วยภรรยาเดินทางมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพ พร้อมทั้งได้มอบเงินส่วนตัว จำนวน 35,000 บาท และเงินสวัสดิการแม่บ้านกองบัญชาการตำรวจนครบาล อีก 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 50,000 บาท
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ บช.น.แต่เป็นสมาชิกฌาปนกิจศพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งจะได้รับเงินค่าฌาปนกิจศพ 350,000 บาท ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้โดยเร็ว ส่วนกรณีเจ้าของรถตู้เบื้องต้นได้นำตัวมาสอบแล้วอ้างว่าขายรถคันดังกล่าวให้กับ นายวีรยุทธ หรือ กอล์ฟ เสือโรจน์ อายุ 25 ปี และ นายโสฬส แก้วเอียด อายุ 25 ปี ทั้งนี้ ได้สอบถาม พ.ต.อ.อาคม จันทลาช ผกก.สน.พหลโยธิน ทราบว่า นายวีรยุทธ และ นายโสฬส ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยทนาย นอกจากนี้ ยังมีนายธนะพงษ์ ไม่ทราบนามสกุล เดินทางมาพร้อมทนายด้วย อยู่ระหว่างการสอบสวน
พล.ต.ต.อัศวิน กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายวีรยุทธ ให้รถตู้กับนายโสฬส ยืมไปใช้ ส่วนทาง นายโสฬส ได้ให้การว่าขับรถตู้คันดังกล่าวมาใช้จริงโดยขับมากับ นายธนะพงษ์ โดยมี นายตี๋ นายเป้ และนายเพชร รวม 5 คน เดินทางมาด้วยกัน เพื่อจะไปแข่งรถ โดยนำรถ จยย.ใส่รถตู้มาด้วยเพื่อมาแข่งที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ประมาณ 20 นาที ก็มี ด.ต.สัมฤทธิ์ ขับมาในระหว่างที่กำลังนำรถ จยย.ลงจากรถตู้ เพื่อจะทำการแข่ง เมื่อพวกเห็นว่ามีตำรวจมาจึงพากันแยกย้ายหลบหนีไป 4 คน โดย นายโสฬส ยังคงนั่งอยู่ในรถตู้ เห็นว่า นายดาบตำรวจ เดินวนเวียนอยู่รอบๆ รถตู้ จากนั้นก็เป็นลมล้มฟุบไปเฉยๆ โดยไม่มีใครทำร้าย ทำให้ นายโสฬส ตกใจและวิ่งหลบหนีไป แต่ทางแพทย์ได้ชันสูตรศพ พบว่า มีการถูกทำร้ายที่บริเวณลำคอมีรอยกดอย่างแรง แต่บาดแผลทั้งหมดไม่ได้ทำให้เสียชีวิต
“จากการชันสูตรพบว่า กล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหา ซึ่งทาง ด.ต.สัมฤทธิ์ เป็นโรคหัวใจรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทั้งนี้ เชื่อว่า การถูกทำร้ายเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใด เบื้องต้นตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใครกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน หากพบว่า มีการกระทำความผิดจริงจะมีการแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย” พล.ต.ต.อัศวิน กล่าว
ต่อมา เมื่อเวลา 18.00 น. นายวีรยุทธ หรือกอล์ฟ เสือไทย อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของรถตู้ นายโสฬส แก้วเอียด อายุ 25 ปี และนายธนพงษ์ เอี่ยมอ่อน นายอนุวัฒน์ ไม่ทราบนามสกุล และอีกคนยังไม่ทราบชื่อรวม 5 คน พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อาคม จันทลาช ผกก.สน.พหลโยธิน เพื่อให้ปากคำกรณีการเสียชีวิตของ ด.ต.สัมฤทธิ์ โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการแยกทั้ง 3 คนเพื่อนสอบสวน
นายโสฬส กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนได้ยืมรถ นายวีรยุทธ เพื่อนำมาแข่งประลองความเร็ว โดยภายในรถตู้นั่งมาทั้งหมด 5 คน ซึ่งมี นายธนพงษ์ และเพื่อนอีก 3 คน ทราบเพียงชื่อ นายตี๋ นายเป้ และ นายเพชร เมื่อขับรถมาถึงที่เกิดเหตุเตรียมนำรถจักรยานยนต์ ที่ใส่มาในรถตู้ลงจากรถแต่ปรากฎว่าเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่รถจักรยานยนต์มุ่งตรงมาที่รถของตน ผมกับนายธนพงษ์ได้วิ่งหนีขึ้นไปหลบอยู่ในรถและเปิดประตูรถพร้อมกับล็อครถด้วย ส่วนเพื่อนอีก 3 คนไม่ทราบว่าหลบหนีไปที่ไหน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินวนเวียนอยู่รอบๆ รถแต่จู่ๆนายตำรวจคนกล่าวก็ได้ล้มลงไปนอนกับพื้นและมีอาการชักกระตุกก่อนที่จะแน่นิ่งไป ทำให้ตนกับเพื่อนตกใจและเปิดประตูลงรถวิ่งหลบหนีไป
ทางด้าน พ.ต.อ.อาคม กล่าวว่า หลังจากที่ได้ตั้งประเด็นหลังจากที่ผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ทางพนักงานสอบสวนได้ตั้งประเด็นเพิ่มเติมคือเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวและคล้ายกับโรคลมชักกำเริบ ส่วนบาดแผลที่ฟกช้ำอาจจะเป็นจังหวะที่ฉุดกระชากกัน หรือไม่อาจจะเป็นช่วงที่แพทย์ทำการช่วยเหลือชีวิต แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุต้องรอผลการชันสูตรอีกครั้งยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ ส่วนทั้ง 5 คน ที่เข้ามาให้การถือว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแต่ก็ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับทั้ง 5 คน ที่เดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พ.ต.อ.อาคม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องสอบปากคำทั้ง 5 คนอย่างละเอียดอีกครั้ง และจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุม ซึ่งทั้ง 5 คนที่เดินทางมาให้ปากคำครั้งนี้ให้การว่ายอมรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่ได้ลงมือฆ่า ด.ต.สัมฤทธิ์ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของตำรวจอาจจะเป็นไปได้ว่าขาดอากาศหายใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องจากถูกรัดคอ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะต้องเช็คประวัติการรักษาพยาบาลของทางผู้ตาย อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกเชือกหรือแขนรัดคอ สอบปากคำแล้วอาจจะต้องปล่อยตัวไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย และฝากไปถึงผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เข้ามาให้เบาะแสกับทางพนักงานสอบสวนเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์กับรูปคดี ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพื่อหาตัวคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้