เสี่ยหนุ่มเจ้าของธุรกิจขายเสื้อผ้า โวยทรัพย์สินกว่า 250,000 บาทหาย หลังขับรถเฉี่ยวชนกับรถคู่กรณี แล้วถูก ร.ต.ต.ยึดรถเก็บกุญแจไว้ ที่ สน.วังทองหลาง รุ่งขึ้นมาติดต่อขอคืนรถกลับหายไปโผล่อยู่เต็นท์รถ ร้อยเวรเจ้าของเรื่องอ้างไฟแนนซ์ยึดไป แถมบ่ายเบี่ยงตอบคำถามไม่ได้ สุดท้ายพบทรัพย์สินภายในรถหาย ก่อนเข้าแจ้งความแต่เวลาผ่านไป 2 เดือน คดีไม่คืบ ขู่ฟ้อง มท.1 หากคดีไม่คืบ ด้าน ผกก. วังทองหลาง ยันหากพบว่า ร.ต.ต.ผิดจริงดำเนินตามกฎหมายพร้อมฟันวินัย
วันนี้ ( 25 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สน.วังทองหลาง นายณภคพงษ์ โกศัลยวัตร อายุ 38 ปี อยู่ล้านเลขที่ 808/381 หมู่ 10 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เจ้าของธุรกิจขายเสื้อผ้าในสยามสแควร์ซอย 3 เข้าติดตามความคืบหน้าของคดี หลังจากเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ขับรถยานต์ ยี่ห้อโตโยต้าวีออส สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน สย-2569 กทม เฉี่ยวชนกับรถกระบะอีซูซุ จำสีและหมายเลขทะเบียนไม่ได้ เหตุเกิดภายในซอยรามคำแหง 39 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. จากนั้น ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.วังทองหลาง ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมชี้แจงว่าตนเองเป็นผู้กระทำผิด ก่อนจะลากรถของตนเองมาจอดไว้ที่ สน.วังทองหลาง และยึดกุญแจรถไปเก็บไว้
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้เจรจากับเจ้าของรถกระบะคู่กรณี โดยตนยอมชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณีเรียบร้อย ตนจึงรีบเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดระยอง ก่อนจะเดินทางกลับมา กทม.ในวันรุ่งขึ้น (29 มีนาคม) ตนจึงเดินทางมาติดต่อ ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อขอรถคืน แต่ปรากฏว่า เมื่อมาถึง สน.วังทองหลาง รถของตนกลับหายไป ทำให้รู้สึกตกใจมาก เพราะภายในรถของตนมีทรัพย์สินเก็บไว้จำนวนมาก มูลค่ารวมประมาณ 250,000 บาท ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 1 เส้น ใส่ไว้ในถุงทองและเก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถ สร้อยข้อมือฝังเพชร จำนวน 2 เส้น ราคาเส้นละ 80,000 บาท ที่เก็บไว้ในช่องเก็บของใต้พวงมาลัย สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ จำนวน 5 เล่ม และบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย ที่ตนเก็บไว้ในช่องเก็บของตรงเบรกมือ นอกจากนี้ยังมีพระเครื่องและผ้ายันต์จำนวนหนึ่งวางไว้ที่หน้ารถ และตุ๊กตากำมะหยี่จากประเทศอังกฤษ จำนวน 4 ตัว มูลค่าประมาณ 7,000 บาท วางไว้เบาะหลังรถ ส่วนในกระโปรงหลังรถมีเอกสารการโอนรถ กับร่มกันแสง UV ขนาดใหญ่ 1 คัน และอาหารสุนัขอีก 12 ถุง
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถาม ร.ต.ต.สวิด ก็อ้างว่า บริษัทไทยพาณิชย์ลิซซิ่ง ได้มายึดรถไป ตนจึงเดินทางไปติดต่อที่บริษัทดังกล่าว และสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทก็ได้รับคำตอบว่าทางบริษัทไม่ได้ยึดรถของตนมา และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องยึดรถของตนด้วย ตนจึงให้เจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์โทรศัพท์พูดคุยกับ ร.ต.ต.สวิด แต่ทาง ร.ต.ต.สวิด ก็ยังบ่ายเบี่ยง ทำให้ตนต้องเดินทางเข้าร้องเรียนต่อ พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด ผกก.สน.วังทองหลาง จนเจ้าตัวต้องยอมรับว่าได้นำรถของตนไปจอดไว้เต็นท์รถเลกซัส ย่านพระราม 9 เมื่อตนสอบถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงต้องนำรถของตนไปจอดทิ้งไว้ที่เต็นท์ดังกล่าว ทาง ร.ต.ต.สวิด ก็ตอบไม่ได้ หลังจากนั้น ผกก.สน.วังทองหลาง ก็สั่งให้ ร.ต.ต.สวิด นำรถของตนกลับมาจากเต็นท์ ด้วยความร้อนใจจึงให้ ร.ต.ต.สวิด เปิดรถของตนตรวจสอบทรัพย์สินภายในรถ ก็ปรากฏว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่กล่าวมาหายไปจากรถ ตนจึงรีบเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ประชา มูลสาร พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.วังทองหลาง ว่าทรัพย์สินดังกล่าวหายไปจากรถของตน
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้สอบถามไปยังนายวิวรรธน์ มหัทนะโยธิน ซึ่งเป็นเจ้าของรถของตนที่ขายโอนลอยมาให้ตน ก็ได้ความว่า เมื่อคืนวันที่ 28 มีนาคม เวลาประมาณ 20.00 น.หรือวันเกิดเหตุ ทาง ร.ต.ต.สวิด ได้ติดต่อให้นายวิวรรธน์มาตรวจสอบรถของตน เมื่อนายวิวรรธน์มาถึง สน.วังทองหลาง ก็พบ ร.ต.ต.สวิด, เจ้าของรถกระบะอีซูซุคู่กรณี, ช่างทำกุญแจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน 2 นาย มาทำการเปิดรถเพื่อตรวจหาสิ่งของผิดกฎหมายในรถของตน โดยให้นายวิวรรธน์มาเป็นพยานให้ โดยนายวิวรรธน์ก็ยืนยันกับตนว่ายังเห็นทรัพย์สินของตนอยู่ในรถ โดยเฉพาะสร้อยข้อมือฝังเพชรทั้ง 2 เส้น ยังอยู่ในช่องเก็บของใต้พวงมาลัย แต่ถุงใส่ทองที่ใส่สร้อยคอทองคำไว้ ซึ่งปกติตนจะเก็บไว้ที่ลิ้นชักหน้ารถ แต่ในคืนนั้นกลับถูกวางไว้ที่เบาะหลังรถ
นายณภคพงษ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นตนได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.สมิต อีกครั้ง ก็ได้รับคำตอบว่าขอเวลา 5 วันใน การตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อครบกำหนดแล้วทาง ผกก.ก็แจ้งกลับมาว่า ขอเวลาอีก 1 เดือน จนถึงขณะนี้เรื่องราวก็ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ในวันนี้จึงเดินทางมาติดตามเรื่องราวอีกครั้งที่ สน.วังทองหลาง หากยังไม่มีความคืบหน้าอีก ตนจะเข้าร้องเรียนกับ มท.1 ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว หากตนได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมด ตนก็ยินดีจะถอนแจ้งความให้
ด้าน พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด ผกก.สน.วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว โดยมี พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ พนักงานสอบสวน (สบ.2) เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยทางคณะกรรมการได้ดำเนินการเรื่องนี้คืบหน้าไปมากแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ได้เรียกสอบผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มาทำการเปิดรถคันดังกล่าวในคืนวันเกิดเหตุแล้ว เหลือเพียงนายวิวรรธน์ หรือโจ้ มหัทนะโยธิน ที่อ้างว่าเห็นทรัพย์สินของผู้เสียหายภายในรถที่ยังไม่มาให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งหากสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว คงจะสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดได้
พ.ต.อ.สมิต กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการตรวจค้นรถของผู้เสียหายนั้นก็เนื่องจากว่า ในวันเกิดเหตุทางคู่กรณียังไม่สามารถตกลงกันได้ว่าฝ่ายไหนผิด พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี จึงทำการเปรียบเทียบปรับทั้ง 2 ฝ่ายไป จากนั้นนายณภคพงษ์ก็ได้เดินทางไปต่างจงหวัด แต่ทางพนักงานสอบสวนได้รับการร้องขอจากฝ่ายคู่กรณีว่าเห็นของรถนายณภคพงษ์เหมือนจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทางพนักงานสอบสวนจึงตรวจสอบไปยังทะเบียนรถก็พบว่ารถยังเป็นชื่อของนายวิวรรธน์อยู่ จึงเชิญตัวมาร่วมเป็นพยานในการตรวจค้นรถ ส่วนการดำเนินการกับ ร.ต.ต.สวิด นั้นในทางคดีอาญานั้นก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องทางวินัยหากผิดจริงก็จะดำเนินการลงโทษขั้นเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายณภคพงษ์ได้เดินทางติดตามเรื่องที่ สน.วังทองหลาง ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยัง ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง ทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อ ร.ต.ต.สวิด ได้แต่อย่างใด
วันนี้ ( 25 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สน.วังทองหลาง นายณภคพงษ์ โกศัลยวัตร อายุ 38 ปี อยู่ล้านเลขที่ 808/381 หมู่ 10 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เจ้าของธุรกิจขายเสื้อผ้าในสยามสแควร์ซอย 3 เข้าติดตามความคืบหน้าของคดี หลังจากเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ขับรถยานต์ ยี่ห้อโตโยต้าวีออส สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน สย-2569 กทม เฉี่ยวชนกับรถกระบะอีซูซุ จำสีและหมายเลขทะเบียนไม่ได้ เหตุเกิดภายในซอยรามคำแหง 39 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. จากนั้น ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.วังทองหลาง ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมชี้แจงว่าตนเองเป็นผู้กระทำผิด ก่อนจะลากรถของตนเองมาจอดไว้ที่ สน.วังทองหลาง และยึดกุญแจรถไปเก็บไว้
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้เจรจากับเจ้าของรถกระบะคู่กรณี โดยตนยอมชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณีเรียบร้อย ตนจึงรีบเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดระยอง ก่อนจะเดินทางกลับมา กทม.ในวันรุ่งขึ้น (29 มีนาคม) ตนจึงเดินทางมาติดต่อ ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อขอรถคืน แต่ปรากฏว่า เมื่อมาถึง สน.วังทองหลาง รถของตนกลับหายไป ทำให้รู้สึกตกใจมาก เพราะภายในรถของตนมีทรัพย์สินเก็บไว้จำนวนมาก มูลค่ารวมประมาณ 250,000 บาท ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 1 เส้น ใส่ไว้ในถุงทองและเก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถ สร้อยข้อมือฝังเพชร จำนวน 2 เส้น ราคาเส้นละ 80,000 บาท ที่เก็บไว้ในช่องเก็บของใต้พวงมาลัย สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ จำนวน 5 เล่ม และบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย ที่ตนเก็บไว้ในช่องเก็บของตรงเบรกมือ นอกจากนี้ยังมีพระเครื่องและผ้ายันต์จำนวนหนึ่งวางไว้ที่หน้ารถ และตุ๊กตากำมะหยี่จากประเทศอังกฤษ จำนวน 4 ตัว มูลค่าประมาณ 7,000 บาท วางไว้เบาะหลังรถ ส่วนในกระโปรงหลังรถมีเอกสารการโอนรถ กับร่มกันแสง UV ขนาดใหญ่ 1 คัน และอาหารสุนัขอีก 12 ถุง
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถาม ร.ต.ต.สวิด ก็อ้างว่า บริษัทไทยพาณิชย์ลิซซิ่ง ได้มายึดรถไป ตนจึงเดินทางไปติดต่อที่บริษัทดังกล่าว และสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทก็ได้รับคำตอบว่าทางบริษัทไม่ได้ยึดรถของตนมา และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องยึดรถของตนด้วย ตนจึงให้เจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์โทรศัพท์พูดคุยกับ ร.ต.ต.สวิด แต่ทาง ร.ต.ต.สวิด ก็ยังบ่ายเบี่ยง ทำให้ตนต้องเดินทางเข้าร้องเรียนต่อ พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด ผกก.สน.วังทองหลาง จนเจ้าตัวต้องยอมรับว่าได้นำรถของตนไปจอดไว้เต็นท์รถเลกซัส ย่านพระราม 9 เมื่อตนสอบถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงต้องนำรถของตนไปจอดทิ้งไว้ที่เต็นท์ดังกล่าว ทาง ร.ต.ต.สวิด ก็ตอบไม่ได้ หลังจากนั้น ผกก.สน.วังทองหลาง ก็สั่งให้ ร.ต.ต.สวิด นำรถของตนกลับมาจากเต็นท์ ด้วยความร้อนใจจึงให้ ร.ต.ต.สวิด เปิดรถของตนตรวจสอบทรัพย์สินภายในรถ ก็ปรากฏว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่กล่าวมาหายไปจากรถ ตนจึงรีบเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ประชา มูลสาร พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.วังทองหลาง ว่าทรัพย์สินดังกล่าวหายไปจากรถของตน
นายณภคพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้สอบถามไปยังนายวิวรรธน์ มหัทนะโยธิน ซึ่งเป็นเจ้าของรถของตนที่ขายโอนลอยมาให้ตน ก็ได้ความว่า เมื่อคืนวันที่ 28 มีนาคม เวลาประมาณ 20.00 น.หรือวันเกิดเหตุ ทาง ร.ต.ต.สวิด ได้ติดต่อให้นายวิวรรธน์มาตรวจสอบรถของตน เมื่อนายวิวรรธน์มาถึง สน.วังทองหลาง ก็พบ ร.ต.ต.สวิด, เจ้าของรถกระบะอีซูซุคู่กรณี, ช่างทำกุญแจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน 2 นาย มาทำการเปิดรถเพื่อตรวจหาสิ่งของผิดกฎหมายในรถของตน โดยให้นายวิวรรธน์มาเป็นพยานให้ โดยนายวิวรรธน์ก็ยืนยันกับตนว่ายังเห็นทรัพย์สินของตนอยู่ในรถ โดยเฉพาะสร้อยข้อมือฝังเพชรทั้ง 2 เส้น ยังอยู่ในช่องเก็บของใต้พวงมาลัย แต่ถุงใส่ทองที่ใส่สร้อยคอทองคำไว้ ซึ่งปกติตนจะเก็บไว้ที่ลิ้นชักหน้ารถ แต่ในคืนนั้นกลับถูกวางไว้ที่เบาะหลังรถ
นายณภคพงษ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นตนได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.สมิต อีกครั้ง ก็ได้รับคำตอบว่าขอเวลา 5 วันใน การตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อครบกำหนดแล้วทาง ผกก.ก็แจ้งกลับมาว่า ขอเวลาอีก 1 เดือน จนถึงขณะนี้เรื่องราวก็ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ในวันนี้จึงเดินทางมาติดตามเรื่องราวอีกครั้งที่ สน.วังทองหลาง หากยังไม่มีความคืบหน้าอีก ตนจะเข้าร้องเรียนกับ มท.1 ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว หากตนได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมด ตนก็ยินดีจะถอนแจ้งความให้
ด้าน พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด ผกก.สน.วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว โดยมี พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ พนักงานสอบสวน (สบ.2) เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยทางคณะกรรมการได้ดำเนินการเรื่องนี้คืบหน้าไปมากแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ได้เรียกสอบผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มาทำการเปิดรถคันดังกล่าวในคืนวันเกิดเหตุแล้ว เหลือเพียงนายวิวรรธน์ หรือโจ้ มหัทนะโยธิน ที่อ้างว่าเห็นทรัพย์สินของผู้เสียหายภายในรถที่ยังไม่มาให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งหากสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว คงจะสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดได้
พ.ต.อ.สมิต กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการตรวจค้นรถของผู้เสียหายนั้นก็เนื่องจากว่า ในวันเกิดเหตุทางคู่กรณียังไม่สามารถตกลงกันได้ว่าฝ่ายไหนผิด พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี จึงทำการเปรียบเทียบปรับทั้ง 2 ฝ่ายไป จากนั้นนายณภคพงษ์ก็ได้เดินทางไปต่างจงหวัด แต่ทางพนักงานสอบสวนได้รับการร้องขอจากฝ่ายคู่กรณีว่าเห็นของรถนายณภคพงษ์เหมือนจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทางพนักงานสอบสวนจึงตรวจสอบไปยังทะเบียนรถก็พบว่ารถยังเป็นชื่อของนายวิวรรธน์อยู่ จึงเชิญตัวมาร่วมเป็นพยานในการตรวจค้นรถ ส่วนการดำเนินการกับ ร.ต.ต.สวิด นั้นในทางคดีอาญานั้นก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องทางวินัยหากผิดจริงก็จะดำเนินการลงโทษขั้นเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายณภคพงษ์ได้เดินทางติดตามเรื่องที่ สน.วังทองหลาง ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยัง ร.ต.ต.สวิด แก้วปลั่ง ทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อ ร.ต.ต.สวิด ได้แต่อย่างใด