ประธานศาลฎีกา นัดประชุมใหญ่ศาลฎีกา 30 พ.ค. บ่ายโมงครึ่ง เพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้อง “เทพเทือก” หรือไม่เพื่อแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระตาม รธน.มาตรา 276 ตรวจสอบ “เป็ดเหลิม” กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ลุแก่อำนาจแทรกแซงรักษาการอธิบดีกรมที่ดินสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม กว่า 1,300 ไร่
จากกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ให้แต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 276 เพื่อตรวจสอบพฤติกรรม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 ที่ลุแก่อำนาจสั่งการให้ นายบุญเชิด คิดเห็น รักษาการอธิบดีกรมที่ดิน ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิที่ดินบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด ของครอบครัวเทือกสุบรรณ จนกระทั่งนายบุญเชิด ได้สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำนวน 1,338 ไร่ 59 แปลง บริเวณ ต.น้ำหัก อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันนี้ (21 พ.ค.) นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา เปิดเผยว่า ขณะนี้นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา กำหนดวันประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้องของนายสุเทพไว้เพื่อแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระหรือไม่ ในวันศุกร์ที่ 30 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
สำหรับหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระนั้น นายอนันต์ กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งได้เสนอกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ต่อสภาผู้ทนราษฎรแล้วแต่ขณะนี้ยังไม่ได้ถูกบรรจุเป็นวาระพิจารณา ซึ่งแม้กฎหมายเรื่องการแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระยังไม่ได้ถูกพิจารณา แต่ไม่กระทบต่อการพิจารณาคำร้องของนายสุเทพ เพราะการพิจารณามีช่องทางตามกฎหมายที่บัญญัติไว้อยู่แล้ว ส่วนแนวทางของที่ประชุมใหญ่จะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องรอฟังคำสั่งในวันที่ 30 พ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 276 บัญญัติว่า ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นควรดำเนินการตามคำร้องที่ยื่นตามมาตรา 275 วรรค 4 ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ หรือจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนตามาตรา 250 (2) แทนการแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระก็ได้
คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ วิธีการไต่สวน และการดำเนินการอื่นที่จำเป็นของผู้ไต่สวนอิสระให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อผู้ไต่สวนอิสระได้ดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนทำความเห็นแล้ว ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหามีมูลให้ส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามาตรา 273 และส่งสำนวนและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป และให้นำบทบัญญัติมาตรา 272 วรรค 5 มาใช้โดยอนุโลม
หากมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว มาตรา 277 บัญญัติด้วยว่า ในการพิจารณาของศาลฎีกาฯ ให้ยึดสำนวน ป.ป.ช. หรือผู้ไต่สวนอิสระแล้วแต่กรณี เป็นหลักในการพิจารณาและอาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร โดยบทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของ ส.ส. และ ส.ว.ตามมาตรา 131 ไม่ให้นำมาบังคับใช้กับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ