“วัชรพล” ปัด ยังไม่ได้เรื่องนายกรัฐมนตรีสั่งสอบ “เสรีพิศุทธ์” เพิ่ม แต่พร้อมส่งให้ กมส.พิจารณาหากได้รับเรื่อง ยืนยัน ทุกขั้นตอนโปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐาน เสนอ เป็นตัวกลางนำข้อเท็จจริงสู่ประชาชน พร้อมสู้คดีที่ถูกฟ้องเรียก 50 ล้าน
วันนี้ (5 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษก ตร.กล่าวถึงกรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เสนอให้สอบสวนเพิ่มเติม และให้ ตร.ดำเนินการในกรณีอดีต ผบ.ตร.มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า ขณะนี้เรื่องยังมาไม่ถึง ตร.อย่างไรก็ดี ทาง ตร.ได้หารือเตรียมการไว้แล้ว ซึ่งถ้าเรื่องมาถึงจะส่งให้สำนักงานกฎหมายและสอบสวน (กมส.) พิจารณา
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า ทราบข้อมูลที่สื่อมวลชนนำเสนอ ต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูเบื้องต้นก่อน ในเรื่องข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง ตลอดจนผู้ที่จะรับผิดชอบเป็นพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะข้อหาที่เกี่ยวข้องเป็นข้อหาที่สำคัญและละเอียดอ่อน ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ตร.จำเป็นต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินคดีในข้อหานี้สำคัญและละเอียดอ่อน จะมีคณะกรรมการระดับกองบัญชาการมาพิจารณา ยกตัวอย่างเหตุเกิดในท้องที่นครบาล และมีการแจ้งความดำเนินคดี การสอบสวนพยานหลักฐานก็ดำเนินการไป แต่จะมีคณะกรรมการของ บช.น.ที่มี ผบช.น.เป็นประธาน มีรอง ผบช.น.ทุกท่าน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองพยานหลักฐานตามข้อกล่าวหานั้นว่าเป็นอย่างไร และมีความเห็นทางคดีส่งมาที่ ตร.ที่จะมีคณะกรรมการระดับ ตร.ซึ่งประกอบด้วย รอง ผบ.ตร.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและกฎหมายเป็นประธาน มีผู้ช่วย ผบ.ตร.ผบช.กมส.ผู้ที่เกี่ยวข้อง และ ผบช.หน่วยที่รับแจ้งคดีเป็นผู้กลั่นกรองและมีการสั่งความเห็นคดี ซึ่งอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่ ตร.เป็นไปตามขั้นตอนเพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ให้เกิดความเรียบร้อยโปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐาน
พล.ต.ท.กล่าวต่อไปว่า หลังจาก ตร.ได้รับหนังสือจากสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว คงใช้เวลาไม่นาน มันมีขั้นตอนมีคำสั่งเฉพาะมาอยู่แล้ว ซึ่งต้องดูสาระการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นข้อหาที่ละเอียดอ่อนและผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการระดับสูง มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญยิ่งต้องให้ความเป็นธรรมและมีความรอบคอบ จึงบอกระยะเวลา ทั้งนี้ เมื่อ กมส.พิจารณา ดูพยานหลักฐาน ส่งเรื่องให้มีหน่วยรับผิดชอบคดีในที่นี้อาจเป็นกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็ได้ เพราะก่อหน้านี้ เคยมีกลุ่มพิราบขาวไปแจ้งความกรณีเดียวกันนี้ไว้ที่กองปราบปราม อาจรวมกันก็ได้ สมมติว่า หากเข้าข่ายผิดก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหากันต่อไป ซึ่งโทษก็พิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญาเช่นบุคคลทั่วไป ไม่มีอะไรแตกต่างแม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูง
ส่วนกรณีที่ถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ฟ้องหมิ่นประมาทกรณีแถลงข่าวว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พ้นสภาพการเป็น ผบ.ตร.นั้น พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า ตอนที่มาทำหน้าที่โฆษก ตร.ตนตั้งใจทำหน้าที่ตัวกลางการนำข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกิดขึ้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของ ตร.สู่พี่น้องประชาชน แต่ว่าถ้ามีกรณีที่บางท่านคิดว่าการทำหน้าที่นั้นไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่ท่านไปฟ้อง ในส่วนตัวก็ต้องเตรียมข้อมูล ซึ่งขึ้นกับดุลพินิจ และการพิจารณาของศาล ถ้าตนตกเป็นจำเลยเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ก็มีระเบียบต้องรายงานตัวเป็นจำเลย ก็คงขอให้ทางอัยการเป็นทนายแก้ต่าง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและต้องดำเนินการไปตามนั้น
“ยืนยันว่า ผมทำไปตามหน้าที่ และจากนี้ไปก็ยังจะทำหน้าที่ต่อไป เพื่อเป็นตัวกลางนำข้อเท็จจริงสู่ประชาชน และจะต้องต่อสู้คดีต่อไป ซึ่งประเด็นที่ผมพูดวันนั้นไม่อยากพูดแล้ว ผ่านไปแล้ว และเป็นเรื่องที่ขึ้นฟ้องในชั้นศาล ขออนุญาตปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม” โฆษก ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า ถูกฟ้อง 50 ล้านหนักไปหรือไม่ พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า ก็ตกใจเหมือนกัน เพราะยังไม่ทราบว่าจะมีเงินขนาดนั้นหรือไม่ ถ้าเกิดศาลตัดสินว่าผิดก็คงไม่มีเงิน เพราะในชีวิตราชการมาคงไม่สามารถหาเงินได้ขนาดนั้น
เมื่อถามว่าจะเจรจาไกล่เกลี่ยกับอดีต ผบ.ตร.หรือไม่ โฆษก ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนยื่นฟ้อง ศาลกำหนดวันไต่สวนมูลฟ้อง ในส่วนตัวตนยืนยันว่าทำหน้าที่โฆษก ตร.ให้ข้อเท็จจริงประเด็นดังกล่าวซึ่งมีการเสนอผ่านสื่อมวลชนในช่วงดังล่าวอย่างต่อเนื่อง หลายวาระ คิดว่าทำหน้าที่ถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมายอะไร แต่ก็ขึ้นกับการพิจารณาของศาล ส่วนตนก็เตรียมพยานหลักฐานต่อสู้คดีต่อไป