สืบพยานโจทก์ปากแรกคดี กกต.ฟ้องเพิกถอนสิทธิ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” กำนันตำบลจันจว้า แฉ ยุทธ แจกเงิน 10 กำนัน คนละ 2 หมื่น ให้ช่วย ละออง น้องสาวได้รับเลือกเป็น ส.ส.ด้าน ตร.แม่จัน แสนขยัน นำหมายจับคดีพยายามฆ่ารอจับพยานกลางศาล แต่ศาลไม่อนุญาต และกำชับให้พยานรับประทานอาหารภายในบริเวณศาล
วันนี้ (8 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์สืบพยานคดีหมายเลขดำที่ ลต.38/2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว นายยงยุทธ ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของ นายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเบิกความว่า ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับนายยงยุทธ เพราะเป็นคนบ้านเดียวกันคุยกันได้ ไม่รู้สึกกดดัน สบาย การเดินทางมาเบิกความวันนี้ไม่มีใครจ้างวาน จะเบิกความไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่มี ที่ผ่านมาตนและครอบครัวถูกข่มขู่ และได้มีการร้องเรียนแล้วและคุ้มครองพยานแล้ว
ต่อมา เมื่อถึงเวลา 09.30 น.นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นประจักษ์พยานสำคัญคดีนี้ เบิกความว่า เป็นกำนันตำบลจันจว้า มานาน 4 ปี ตั้งแต่ พ.ค.2547 โดยเมื่อตุลาคม 2550 ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นผู้ติดตาม นายยงยุทธ ได้ ติดต่อผ่านโทรศัพท์ให้เดินทางมา กทม.เพื่อพบ นายยุงยุทธ กับคณะกำนันตำบลใน อ.แม่จัน และนายบรรจง ยางยืน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า โดย 2 ครั้งแรกที่ติดต่อบอกให้มาทางรถตู้ แต่ไม่ได้มา ครั้งที่สามบอกให้เดินทางโดยเครื่องบินจึงเดินทางมา ซึ่งตนสำรองจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน 3.8 หมื่นบาท เดินทางออกมาจาก จ.เชียงรายเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2550 เวลา 13.00 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ มีรถตู้มารับเดินทางไปที่ทำการพรรคไทยรักไทยเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทำการพรรคพลังประชาชน นายบรรจง จึงพาขึ้นไปชั้น 4 บอกว่า จะไปพบ นายยงยุทธ ซึ่งรอประมาณ 3 ชม.นายบรรจง จึงพาไปโรงแรมจำชื่อไม่ได้ ไปพบ นายยงยุทธ ที่ห้องรับรองชั้น 2 โดยนายยงยุทธ ขอร้องให้ช่วย น.ส.ละออง และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ในการเลือกตั้งให้ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ซึ่งพยานและกลุ่มกำนัน รับปากว่าจะช่วย น.ส.ละออง กับ ส.จ.หล้า หรือ ส.ต.ต.ชมชาติ กัปปาหะ ผู้สมัครอีกคน เนื่องจากเป็นคน อ.แม่จัน แต่จะไม่ช่วย นายอิทธิเดช เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ หลังจากนั้น นายยงยุทธ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก ตนกับพวกจึงขอให้ นายยงยุทธ ทวงถามหนี้สินของ นายชูชาติ จันทวลย์ ที่ปรึกษา นายยงยุทธ สมัยเป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายชูชาติ ติดหนี้ตน 2.5 แสนบาท จากที่ตนรับเหมาสร้างถนนต่อนายชูชาติ และยังเป็นหนี้กำนันคนอื่นด้วย โดยนายยงยุทธรับปากว่าจะทวงถามหนี้ให้ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 30 นาที และนายยงยุทธ กลับไปก่อนโดยนายบรรจงเดินอออกไปส่ง ส่วนตนและกลุ่มกำนันนั่งกินข้าว จากนั้นนายบรรจงเรียกทุกคนออกไปข้างนอกพร้อมส่งซองปิดผนึกให้ตนกับพวกทั้ง 10 คน โดยระบุว่า “นายฝากมาให้” และหลังจากนั้น ตนและกลุ่มกำนันพากันเข้าไปในห้องน้ำและเปิดซองดูพบว่า มีเงินสด 20,000 บาท ซึ่งพยานเชื่อว่าที่นายบรรจงบอกว่า “นาย” หมายถึง นายยงยุทธ เพราะ นายยงยุทธ เป็นผู้นัดมาเจอที่โรงแรม โดยพยานยังได้ทวงถามเงินค่าตั๋วเครื่องบินกับ นายบรรจง ซึ่ง นายบรรจง ได้ควักเงินสดจำนวน 40,000 บาท ให้พยานด้วย
นายชัยวัฒน์ เบิกความต่อว่า รุ่งขึ้นได้เดินทางกลับ ซึ่งออกจากโรงแรมไปยังสนามบินด้วยรถตู้ที่ด้านข้างเขียนว่าใช้ในราชการ เมื่อไปถึงเชียงรายกำนันทั้งหมดก็ไปรับประทานร้านอาหารแจ่วฮ้อนก็พบ กำนันตี๋ กำนันตำบลเชียงแสน และผู้หญิงหนึ่งคน และผู้ชายอีก 2 คนซึ่งตนไม่รู้จัก หลังจากวันนั้นตำรวจสันติบาล เรียกตนไปสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เพื่อสอบเพื่อเรื่องที่เดินทางไป กทม.ก่อนที่จะถูก อนุ กกต.กลาง สอบสวนอีก ซึ่งตนให้การตามเดิม โดยยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับ นายวิจิตร อยู่สุวรรณ ไม่เคยโกรธเคืองกับนายยงยุทธ น.ส.ละออง และ ด.ต.เทพรัตน์
นายชัยวัฒน์ ยังได้ตอบคำถามค้านทนายความสรุปว่า ไม่เคยมีความบาดหมางกับนายบรรจง โดยเมื่อปี 2547 สมัยที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน เคยให้การสนับสนุนนายบรรจง ลงรับสมัครเป็นนายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า โดยมีบุตรชายสมัครร่วมทีมเป็นสมาชิกสภาเทศบาลด้วย โดยไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชนก็ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกเช่นกัน อย่างไรก็ตามยอมรับว่ารู้จักกับ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา รอง ผอ.กอ.รมน.จ.เชียงราย และเคยร่วมรับประธานอาหารกัน 1-2 ครั้ง แต่ไม่ได้รายงานให้ พ.อ.ธนัชย์ ทราบว่าจะเดินทางไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพ ซึ่งต่อมา พ.อ.ธนัชย์ ได้นำภาพถ่ายพร้อมหลักฐานการเดินทางไปพบนายยงยุทธ มาให้ดูพร้อมสอบสวน ซึ่งครั้งแรกให้การว่าไปพบจริง แต่ยังไม่ได้บอกให้ทราบเรื่องเงิน 20,000 บาท ต่อมา พ.อ.ธนัชย์ เรียกไปสอบสวนพร้อมกำนันในตำบลแม่จัน จึงแจ้งให้ทราบว่านายยงยุทธให้เงินมา เหตุที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าได้รับเงินมาเพราะต้องการปิดเป็นความลับ ไม่คิดไปแจ้งความเพราะเป็นคน อ.แม่จันด้วยกัน คดีนี้ตนไม่ได้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ แต่เป็นพยานให้การตามข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย นำหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงราย ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น มาจับกุมนายชัยวัฒน์ ที่กำลังเบิกความอยู่ เมื่อพักการพิจารณาศาลได้แจ้งให้นายชัยวัฒน์ ทราบและกำชับให้รับประทานอาหารอยู่ในบริเวณศาลเท่านั้น และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายชัยวัฒน์ ในตอนนี้ หากฝ่าฝืนศาลจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด โดยไม่ล้อเล่น
ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาในช่วงเช้า นายยงยุทธ ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณาของศาล โดยเฉพาะในส่วนของพยานหลักฐาน ทั้งวีซีดี และข้อเท็จจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต. ไม่ได้รับหลักฐานดังกล่าวประกอบการพิจารณา เพียงแต่พิจารณาคำให้การของกำนันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางมาพบตนเท่านั้น และสรุปแค่มีความผิดเพียงน่าเชื่อได้ว่า อย่างไรก็ตามไม่ห่วงเรื่องคดีของตนเอง แต่เป็นห่วงเรื่องปัญหาบ้านเมืองมากกว่า โดยเฉพาะบรรยากาศการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่นับวันมีการเผชิญหน้ากัน จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำให้บ้านเมืองสงบ และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งตนเองได้แสดงสปิริตด้วยการถอยออกมาให้เห็นว่ามีความจริงใจถอดสลักตัวเองออกมาเพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คดีของนายยงยุทธ เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า หากได้เข้าไปฟังกระบวนการไต่สวนจะทราบว่าอะไรเป็นข้อเท็จอะไรเป็นข้อจริง
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธถามค้านนายชัยวัฒน์ ต่อจากช่วงเช้าโดยหักล้างความน่าเชื่อถือของพยานโดยนำประวัติก่อนมาเป็นกำนันมาซักถามให้ศาลเห็นรวมถึงการมีคดีความกับเพื่อนกำนันซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยกัน และยังซักค้านให้เห็นว่า การเดินทางมาของกำนัน 10 คนนั้นเป็นการมาพบเพื่อขอให้นายยงยุทธช่วยเหลือทวงหนี้ค่าก่อสร้างถนน จาก นายชูชาติ อดีตที่ปรึกษานายยงยุทธ เท่านั้นไม่ได้มีการพูดให้ช่วยเหลือ น.ส.ละออง ให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยนายชัยวัฒน์ยืนยันว่านอกจากให้ช่วยทวงหนี้ยังมีการพูดเรื่องให้ช่วยเหลือเลือกตั้งแก่ น.ส.ละอองรวมอยู่ด้วย พร้อมกับระบุว่าหลังจากกลับมาที่เชียงรายมีการเรียกประชุมกำนัน 10 คนพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน 139 หมู่บ้านเพื่อให้ช่วยเหลือ น.ส.ละออง ส่วนเงิน 2 หมื่นบาทที่ได้รับมาได้นำไปใช้ส่วนตัวไม่ได้แจกจ่ายซื้อเสียง
ทั้งนี้ หลังการเบิกความนายชัยวัฒน์เสร็จแล้ว ศาลเบิกตัวนายพัฒน์ ก้างออนตา และนายบุญธรรม คำคะ กำนัน จ.เชียงรายซึ่งเดินทางไปกรุงเทพฯ พร้อมนายชัยวัฒน์และนัดสืบพยานนัดต่อไปวันที่ 12 พฤษภาคม นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นนัดที่นายยงยุทธ จะขึ้นเบิกความด้วยตัวเอง
วันนี้ (8 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์สืบพยานคดีหมายเลขดำที่ ลต.38/2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว นายยงยุทธ ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของ นายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเบิกความว่า ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับนายยงยุทธ เพราะเป็นคนบ้านเดียวกันคุยกันได้ ไม่รู้สึกกดดัน สบาย การเดินทางมาเบิกความวันนี้ไม่มีใครจ้างวาน จะเบิกความไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่มี ที่ผ่านมาตนและครอบครัวถูกข่มขู่ และได้มีการร้องเรียนแล้วและคุ้มครองพยานแล้ว
ต่อมา เมื่อถึงเวลา 09.30 น.นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นประจักษ์พยานสำคัญคดีนี้ เบิกความว่า เป็นกำนันตำบลจันจว้า มานาน 4 ปี ตั้งแต่ พ.ค.2547 โดยเมื่อตุลาคม 2550 ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นผู้ติดตาม นายยงยุทธ ได้ ติดต่อผ่านโทรศัพท์ให้เดินทางมา กทม.เพื่อพบ นายยุงยุทธ กับคณะกำนันตำบลใน อ.แม่จัน และนายบรรจง ยางยืน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า โดย 2 ครั้งแรกที่ติดต่อบอกให้มาทางรถตู้ แต่ไม่ได้มา ครั้งที่สามบอกให้เดินทางโดยเครื่องบินจึงเดินทางมา ซึ่งตนสำรองจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน 3.8 หมื่นบาท เดินทางออกมาจาก จ.เชียงรายเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2550 เวลา 13.00 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ มีรถตู้มารับเดินทางไปที่ทำการพรรคไทยรักไทยเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทำการพรรคพลังประชาชน นายบรรจง จึงพาขึ้นไปชั้น 4 บอกว่า จะไปพบ นายยงยุทธ ซึ่งรอประมาณ 3 ชม.นายบรรจง จึงพาไปโรงแรมจำชื่อไม่ได้ ไปพบ นายยงยุทธ ที่ห้องรับรองชั้น 2 โดยนายยงยุทธ ขอร้องให้ช่วย น.ส.ละออง และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ในการเลือกตั้งให้ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ซึ่งพยานและกลุ่มกำนัน รับปากว่าจะช่วย น.ส.ละออง กับ ส.จ.หล้า หรือ ส.ต.ต.ชมชาติ กัปปาหะ ผู้สมัครอีกคน เนื่องจากเป็นคน อ.แม่จัน แต่จะไม่ช่วย นายอิทธิเดช เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ หลังจากนั้น นายยงยุทธ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก ตนกับพวกจึงขอให้ นายยงยุทธ ทวงถามหนี้สินของ นายชูชาติ จันทวลย์ ที่ปรึกษา นายยงยุทธ สมัยเป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายชูชาติ ติดหนี้ตน 2.5 แสนบาท จากที่ตนรับเหมาสร้างถนนต่อนายชูชาติ และยังเป็นหนี้กำนันคนอื่นด้วย โดยนายยงยุทธรับปากว่าจะทวงถามหนี้ให้ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 30 นาที และนายยงยุทธ กลับไปก่อนโดยนายบรรจงเดินอออกไปส่ง ส่วนตนและกลุ่มกำนันนั่งกินข้าว จากนั้นนายบรรจงเรียกทุกคนออกไปข้างนอกพร้อมส่งซองปิดผนึกให้ตนกับพวกทั้ง 10 คน โดยระบุว่า “นายฝากมาให้” และหลังจากนั้น ตนและกลุ่มกำนันพากันเข้าไปในห้องน้ำและเปิดซองดูพบว่า มีเงินสด 20,000 บาท ซึ่งพยานเชื่อว่าที่นายบรรจงบอกว่า “นาย” หมายถึง นายยงยุทธ เพราะ นายยงยุทธ เป็นผู้นัดมาเจอที่โรงแรม โดยพยานยังได้ทวงถามเงินค่าตั๋วเครื่องบินกับ นายบรรจง ซึ่ง นายบรรจง ได้ควักเงินสดจำนวน 40,000 บาท ให้พยานด้วย
นายชัยวัฒน์ เบิกความต่อว่า รุ่งขึ้นได้เดินทางกลับ ซึ่งออกจากโรงแรมไปยังสนามบินด้วยรถตู้ที่ด้านข้างเขียนว่าใช้ในราชการ เมื่อไปถึงเชียงรายกำนันทั้งหมดก็ไปรับประทานร้านอาหารแจ่วฮ้อนก็พบ กำนันตี๋ กำนันตำบลเชียงแสน และผู้หญิงหนึ่งคน และผู้ชายอีก 2 คนซึ่งตนไม่รู้จัก หลังจากวันนั้นตำรวจสันติบาล เรียกตนไปสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เพื่อสอบเพื่อเรื่องที่เดินทางไป กทม.ก่อนที่จะถูก อนุ กกต.กลาง สอบสวนอีก ซึ่งตนให้การตามเดิม โดยยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับ นายวิจิตร อยู่สุวรรณ ไม่เคยโกรธเคืองกับนายยงยุทธ น.ส.ละออง และ ด.ต.เทพรัตน์
นายชัยวัฒน์ ยังได้ตอบคำถามค้านทนายความสรุปว่า ไม่เคยมีความบาดหมางกับนายบรรจง โดยเมื่อปี 2547 สมัยที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน เคยให้การสนับสนุนนายบรรจง ลงรับสมัครเป็นนายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า โดยมีบุตรชายสมัครร่วมทีมเป็นสมาชิกสภาเทศบาลด้วย โดยไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชนก็ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกเช่นกัน อย่างไรก็ตามยอมรับว่ารู้จักกับ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา รอง ผอ.กอ.รมน.จ.เชียงราย และเคยร่วมรับประธานอาหารกัน 1-2 ครั้ง แต่ไม่ได้รายงานให้ พ.อ.ธนัชย์ ทราบว่าจะเดินทางไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพ ซึ่งต่อมา พ.อ.ธนัชย์ ได้นำภาพถ่ายพร้อมหลักฐานการเดินทางไปพบนายยงยุทธ มาให้ดูพร้อมสอบสวน ซึ่งครั้งแรกให้การว่าไปพบจริง แต่ยังไม่ได้บอกให้ทราบเรื่องเงิน 20,000 บาท ต่อมา พ.อ.ธนัชย์ เรียกไปสอบสวนพร้อมกำนันในตำบลแม่จัน จึงแจ้งให้ทราบว่านายยงยุทธให้เงินมา เหตุที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าได้รับเงินมาเพราะต้องการปิดเป็นความลับ ไม่คิดไปแจ้งความเพราะเป็นคน อ.แม่จันด้วยกัน คดีนี้ตนไม่ได้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ แต่เป็นพยานให้การตามข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย นำหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงราย ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น มาจับกุมนายชัยวัฒน์ ที่กำลังเบิกความอยู่ เมื่อพักการพิจารณาศาลได้แจ้งให้นายชัยวัฒน์ ทราบและกำชับให้รับประทานอาหารอยู่ในบริเวณศาลเท่านั้น และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายชัยวัฒน์ ในตอนนี้ หากฝ่าฝืนศาลจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด โดยไม่ล้อเล่น
ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาในช่วงเช้า นายยงยุทธ ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณาของศาล โดยเฉพาะในส่วนของพยานหลักฐาน ทั้งวีซีดี และข้อเท็จจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต. ไม่ได้รับหลักฐานดังกล่าวประกอบการพิจารณา เพียงแต่พิจารณาคำให้การของกำนันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางมาพบตนเท่านั้น และสรุปแค่มีความผิดเพียงน่าเชื่อได้ว่า อย่างไรก็ตามไม่ห่วงเรื่องคดีของตนเอง แต่เป็นห่วงเรื่องปัญหาบ้านเมืองมากกว่า โดยเฉพาะบรรยากาศการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่นับวันมีการเผชิญหน้ากัน จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำให้บ้านเมืองสงบ และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งตนเองได้แสดงสปิริตด้วยการถอยออกมาให้เห็นว่ามีความจริงใจถอดสลักตัวเองออกมาเพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คดีของนายยงยุทธ เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า หากได้เข้าไปฟังกระบวนการไต่สวนจะทราบว่าอะไรเป็นข้อเท็จอะไรเป็นข้อจริง
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธถามค้านนายชัยวัฒน์ ต่อจากช่วงเช้าโดยหักล้างความน่าเชื่อถือของพยานโดยนำประวัติก่อนมาเป็นกำนันมาซักถามให้ศาลเห็นรวมถึงการมีคดีความกับเพื่อนกำนันซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยกัน และยังซักค้านให้เห็นว่า การเดินทางมาของกำนัน 10 คนนั้นเป็นการมาพบเพื่อขอให้นายยงยุทธช่วยเหลือทวงหนี้ค่าก่อสร้างถนน จาก นายชูชาติ อดีตที่ปรึกษานายยงยุทธ เท่านั้นไม่ได้มีการพูดให้ช่วยเหลือ น.ส.ละออง ให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยนายชัยวัฒน์ยืนยันว่านอกจากให้ช่วยทวงหนี้ยังมีการพูดเรื่องให้ช่วยเหลือเลือกตั้งแก่ น.ส.ละอองรวมอยู่ด้วย พร้อมกับระบุว่าหลังจากกลับมาที่เชียงรายมีการเรียกประชุมกำนัน 10 คนพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน 139 หมู่บ้านเพื่อให้ช่วยเหลือ น.ส.ละออง ส่วนเงิน 2 หมื่นบาทที่ได้รับมาได้นำไปใช้ส่วนตัวไม่ได้แจกจ่ายซื้อเสียง
ทั้งนี้ หลังการเบิกความนายชัยวัฒน์เสร็จแล้ว ศาลเบิกตัวนายพัฒน์ ก้างออนตา และนายบุญธรรม คำคะ กำนัน จ.เชียงรายซึ่งเดินทางไปกรุงเทพฯ พร้อมนายชัยวัฒน์และนัดสืบพยานนัดต่อไปวันที่ 12 พฤษภาคม นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นนัดที่นายยงยุทธ จะขึ้นเบิกความด้วยตัวเอง