ทนายแมกไซไซ ชี้ใครไม่ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติ มีโทษจำคุกสถานเดียว ระบุศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาในเรื่องนี้มาแล้ว ขณะที่ตำรวจสั่งดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว
วันนี้ (24 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ต ตามเว็บไซต์ต่างๆ และสถานีวิทยุบางสถานี ถึงกรณีที่ นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง อายุ 27 ปี กับพวก ถูก นายนวมินทร์ วิทยากุล อายุ 40 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีต่อนายโชติศักดิ์ ฐานไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2550 โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.โสเพชร จันทร์พลงาม พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ได้เรียกตัว นายโชติศักดิ์ มารับทราบข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” ทั้งนี้ ระหว่างที่ นายโชติศักดิ์ เดินทางไปรับทราบข้อหานั้น ได้ถือป้ายและสวมเสื้อสกรีนข้อความ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม” ที่หน้าโรงพักด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเรื่องดังกล่าวกลายเป็นคดีความและเวลาล่วงเลยมาราว 7 เดือน คณะกรรมการกองบัญชาการตำรวจนครบาลจึงมีความเห็นให้ออกหมายเรียกนายโชติศักดิ์ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวไปชั่วคราว เนื่องจากนายโชติศักดิ์เดินทางเข้ารายงานตัวด้วยตนเอง
นายทองใบ ทองเปาด์ อดีต ส.ว.มหาสารคาม ทนายความรางวัลแมกไซไซ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี และถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งการยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติ ทุกคนต้องกระทำด้วยความสุภาพ ยืนตัวตรง ห้ามแกว่งแขน หรือยืนยิ้ม ต้องยืนด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งในอดีตเคยมีเหตุการณ์นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต้องติดคุก 2 ปี เพราะไม่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะไปฟังการปราศรัยที่ท้องสนามหลวง โดยเฉพาะในโรงภาพยนตร์จะมีข้อความระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า “โปรดยืนถวายความเคารพ”
“แม้จะอยู่ ณ ที่แห่งใด เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงชาติ ทุกคนต้องยืนตัวตรงนิ่งทำความเคารพ” นายทองใบ กล่าว
ทนายความผู้นี้ ระบุด้วยว่า หากบุคคลใดเห็นหรือแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ไม่ลุกขึ้นยืน หรือยืนไม่สุภาพ และมีพยานเห็นชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับแจ้งความอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น และนำเรื่องขึ้นสู่ศาลฎีกามาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีไปยังตำรวจ สน.ปทุมวัน แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยระบุว่าคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่มีรายงานแจ้งว่า ในแนวทางการสืบสวนของตำรวจจะนำพยานหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิง จากนั้นจะสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล ซึ่งมีโทษถึงขั้นติดคุก เนื่องจากการที่ใคร หรือบุคคลใดก็ตาม ไม่ยืนถวายความเคารพต่อทั้งเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี ถือว่าบุคคลผู้นั้น มีความผิดทางอาญา หมิ่นเบื้องสูง ต้องถูกดำเนินคดี
ทั้งนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเว็บไซต์พันทิป นายโชติศักดิ์ได้เข้าไปโพสต์ชี้แจงและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดว่า “เมื่อวาน(20 ก.ย.) ผมและเพื่อนชื่อ ชุติมา ได้เข้าไปดูหนังที่ชั้น 9 เซ็นทรัลเวิลด์ (หนังรอบ 19.15 น. แต่ผมเข้าโรงประมาณ 19.30 น.และเมื่อถึงเพลงสรรเสริญ ผมและเพื่อนก็ไม่ได้ยืน (แต่นั่งด้วยความสงบและได้หยุดรับประทานขนมและน้ำ) ซึ่งผมและเพื่อนปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้ว ปรากฏว่า ผม (คนเดียว) ถูกปาด้วยกระดาษที่ขยำเป็นก้อนขนาดเล็กกว่าลูกเทนนิสถูกบริเวณต้นคอ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะเคยเจอแบบนี้มาแล้ว 1-2 ครั้ง ต่อมาเมื่อเพลงเล่นไปประมาณกลางเพลง ชายคนหนึ่งที่นั่ง (ตอนนั้นเขายืน) อยู่ถัดเพื่อนผมไปทางซ้ายมือ 2-3 ที่นั่ง ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายนวมินทร์ หันบอกให้ผมและเพื่อนลุกขึ้นยืน โดยเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมและเพื่อนก็ไม่ได้สนใจเขาจนเพลงจบชายคนนั้นจึงเดินไป ตามพนักงานโรงหนังมา (ทราบเพียงชื่อเล่นว่านิค) และบอกให้พนักงานคนดังกล่าวเชิญผมและเพื่อนออกไป พนักงานจึงบอกกับเขาว่า “พี่ใจเย็นๆ” และผมได้บอกกับพนักงานว่า “ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำไม่ผิด แต่ต่อให้ผิดโรงหนังก็ไม่ต้องกลัวเดือดร้อนเพราะไม่เกี่ยวกับโรงหนัง”
หลังจากนั้น พนักงานก็ถอยไปยืนบริเวณทางเดินด้านข้าง ชายคนนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วกรีดร้องและเริ่มด่าผมและเพื่อน เช่น ทุเรศ, ทำไมไม่รักในหลวง เป็นคนไทยซะเปล่าขนาดฝรั่งยังยืนเลย พร้อมกับไล่ผมและเพื่อนให้ออกไปจากโรงด้วยอาการที่เกรี้ยวกราด ซึ่งระหว่างนั้นเขามีม้วนกระดาษอยู่ในมือ และใช้มันชี้หน้าเพื่อนของผมอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเขาพูดจบ (รอบแรก) คนอื่นๆ ในโรงก็ปรบมือให้กับเขา หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เดินเข้ามาด่าเพื่อนผมอีกครั้ง เพื่อนผมจึงตอบไปว่า “เงียบหน่อยค่ะ” และผมพูดว่า “ถ้าพี่มีปัญหาพี่ก็ออกไป ผมนั่งสบายดี ไม่มีปัญหา และผมจะไม่ออกไปเพราะผมจะดูหนัง”
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เดินเข้ามาด่าผมและเพื่อนอีกครั้ง และได้ขว้างม้วนกระดาษในมือมา โดนบริเวณหน้าอกของเพื่อนผม พร้อมชี้นิ้วมาที่หน้าเพื่อนผมในระยะห่างประมาณ 2 คืบ พร้อมกับกระชากกล่องป๊อปคอนในมือเพื่อนผม แล้วสาดมันใส่ผมและเพื่อนแล้วขว้างกล่องป๊อปคอนโดนเพื่อนผม และกระเด็นมาโดนผมด้วยแล้วปัดแก้วน้ำอัดลมที่วางอยู่ที่ที่วางแขนจนตกแตก ซึ่งในขณะนั้น คนอื่นๆ ในโรงก็เริ่มด่าและไล่ผมและเพื่อนผม และเพื่อนจึงยืนขึ้น และผมได้โทร.ไปที่ 191 ทันที และเดินคุยโทรศัพท์กับตำรวจ จนออกมานอกโรงระหว่างที่เดินออกจากโรง ผมเดินผ่านหน้าชายคนนั้น เขาได้ชี้มาที่เสื้อผม แล้วด่าว่า “ใส่เสื้อบ้าอะไร”
เมื่อออกมานอกโรงหนัง ผมกับเพื่อนรอจนพบกับตำรวจ และบอกกับตำรวจว่าจะรอคู่กรณีเพราะกลัวเขาหนีไป พอหนังจบคนดูทั้งหมดออกมาตรงประตูทางออก ผมกับเพื่อนได้เข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง โดยตั้งใจจะเข้าไปถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่ทันได้ถ่าย ผู้จัดการโรงหนังได้เข้ามาบอกว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปในโรง เพราะเป็นกฎ ถ้าจะถ่ายต้องทำเรื่องมา ผมจึงขอให้ตำรวจที่ตามเข้าไปมาดูที่เกิดเหตุแทน หลังจากนั้น ผมออกไปนอกโรงหนัง พบคู่กรณีและคนดูคนอื่นๆ ยืนรวมกันอยู่กับตำรวจอีกนาย ผมจึงเดินทางไป สน.ปทุมวัน และคู่กรณีได้ตามมาทีหลัง เมื่อถึง สน.ตำรวจได้ให้ผมและลงบันทึกประจำวันและได้ทำเรื่องส่งผมไปตรวจร่างกายที่ รพ.ตำรวจ (ตำรวจบอกว่ามันเป็นขั้นตอนของทางการ)
โดยทางร้อยเวรได้นัดผมไปแจ้งความและสอบปากคำ เมื่อบ่ายวันนี้ (21 ก.ย.) ส่วนหมอที่ รพ.ตำรวจ ได้นัดผมมาฟังผลเมื่อเช้าวันนี้ เมื่อเช้าผมจึงไปฟังผลที่ รพ.ตำรวจ และกลับมาที่สน.ตอนบ่าย ระหว่างรอตำรวจเจ้าของคดีเล่าให้ผมฟังว่า “คู่กรณีจะแจ้งความผมกับเพื่อนในข้อหา “หมิ่นพระบรมฯ” ถ้าผมกับเพื่อนจะดำเนินคดีคู่กรณี” ดังนั้น เท่าที่ผมทราบล่าสุด คือ ผมและเพื่อนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมฯ
อย่างไรก็ตาม ผมและเพื่อนก็ได้เข้าแจ้งความตามนัด โดยแจ้งคนละ 4 ข้อหา ของผมมี 1.ดูหมิ่นซึ่งหน้า 2.ร่วมกันทำร้ายร่างกาย 3.ทำให้เสียทรัพย์ 4.ร่วมกันบังคับข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการ
ส่วนของเพื่อนผมมี 1.ดูหมิ่นซึ่งหน้า 2.ทำร้ายร่างกาย 3.ทำให้เสียทรัพย์ 4.ร่วมกันบังคับข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการ (ต่างกันตรงข้อกล่าวหาที่ 2.ซึ่งผมถูกทำร้ายจากคน 2 คน แต่เพื่อนผมถูกทำร้ายจากคนคนเดียว) นอกจากนั้น คุณสหายดอกหญ้าได้โทร.ไปเสนอให้ผมและเพื่อนฟ้องชายคนนั้น ข้อหาก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะเพิ่มอีก 1 คดี ซึ่งเพื่อนผมที่เป็นทนายกำลังดูข้อกฎหมายอยู่ สรุปก็คือ ผมและเพื่อนได้แจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีเขาไปแล้ว ส่วนว่าเขาจะแจ้งผมกลับหรือไม่ ยังไม่ทราบ
หมายเหตุ* ตอนเกิดเหตุ ผมใส่เสื้อรณรงค์ของเครือข่าย 19 กันยาฯ ซึ่งขณะนี้ผมกำลังตัดสินใจว่าจะเสนอให้เครือข่ายฯ ฟ้องเขาด้วยดีหรือไม่ เพราะผมมองว่ามันเป็นการหมิ่นเครือข่ายฯ แต่มีแนวโน้มว่าคงไม่เสนอ - ส่วนสิ่งที่สหายดอกหญ้าโพสต์ในกระทู้ เกี่ยวกับกรณีนี้นั้นคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ซึ่งคงเป็นเรื่องของการสื่อสาร เพราะโทรคุยกันด้วยความเร่งรีบมากๆ
หลายคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมและเพื่อนมองว่า มันคือประเด็นที่ต้องต่อสู้ เพื่อยืนยันความคิดความเชื่อ 3 ประเด็น คือ 1.เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ยืน 2.ถ้ามีกฎหมายที่บังคับให้เรายืน กฎหมายนั้นละเมิดสิทธิ์เราและกฎหมายนั้นต้องถูกยกเลิก 3.ไม่ว่าใครจะทำอะไร ผิดถูกอย่างไร เขาต่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะไม่ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกดูหมิ่น ผมและเพื่อนอยากให้เป็นบรรทัดฐานว่า การกระทำแบบชายคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และต้องได้รับโทษ นอกจากนั้น ผมและเพื่อนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติการยืนยันสิทธิ์ของเราอีก ซึ่งอยากเชิญชวนทุกท่านที่รักอิสรภาพ รักความเสมอภาค และต้องการต่อสู้กับความอยุติธรรมโปรดปฏิบัติการร่วมกัน ผมไม่ได้คาดหวังคนมากมาย มี 10 คน ก็ไป 10 คน มี 5 คน ก็ไป 5 คน มี 2 คน ก็ไป 2 คน แต่ก่อนที่จะไป หากมีคนสนใจก็อยากให้ช่วยกันพูดคุยด้วยว่าเราไปปฏิบัติการที่ไหน, วันไหน (วันธรรมดาหรือเสาร์อาทิตย์ดี), หนังเรื่องอะไร และรอบกี่โมง เมื่อได้ความชัดเจนแล้วอาจจะมีจดหมายเชิญชวนที่ค่อนข้างทางการออกมาอีกครั้ง
หมายเหตุ (อีกครั้ง) เป็นความบังเอิญเหลือเกิน ที่วันที่ 20 กันยายน 2550 เป็นวันสำคัญสำหรับผม 2 โอกาส คือ 1) เป็นวันครบรอบ 3 ปี การก่อตั้งนิตยสารนักศึกษาQUESTIONMARK (ซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว?) และ 2) เป็นวันครบรอบ 1 ปี การก่อตั้งเครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร (ซึ่งยังมีอยู่หรือเปล่า?) อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ไปดูหนัง เนื่องในโอกาสพิเศษใดๆ เพียงแค่ต้องไปซื้ออุปกรณ์ทำงานแถวนั้น แล้วบังเอิญเกิดอารมณ์อยากดูขึ้นมา”