อสส.ประธาน กก.สอบวินัยร้ายแรง อดีต ผบ.ตร. “เสรีพิศุทธ์” เรียก 3 ผู้บัญชาการตำรวจสอบข้อมูล แต่ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง คาดสรุปสำนวนแจ้งข้อหาได้ภายเดือน พ.ค.นี้
วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5 มี.ค.51 ให้สอบสวนวินัยร้ายแรงกรณี การทำสัญญาเช้ารถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มูลค่า 9,800 ล้านบาท การใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับผู้ใต้บังคับบัญชา และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจโดยไม่มีกฎหมายรองรับ เรียกประชุมคณะกรรมการทั้งคณะเพื่อสอบข้อมูลพยานบุคคลซึ่งเป็นนายตำรวจระดับผู้บัญชาการตำรวจ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ภายหลัง นายชัยเกษม กล่าวว่า ในช่วงเช้าคณะกรรมการได้เชิญ พล.ต.ท.บรรจง ตันศยานนท์ ผู้บัญชาการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ผบช.ก.ตร.) มาให้ข้อมูลจนเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนในช่วงบ่ายคณะกรรมการฯ ได้เชิญ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ผบช.สทส.) มาให้ข้อมูลต่อ โดยไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคณะกรรมการสอบถามข้อมูลพยานในประเด็นเป็นความลับในสำนวนการสอบสวนเพราะเกี่ยวกับเรื่องโทษทางวินัยร้ายแรง ที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ได้สอบปากคำพยานบุคคลไปแล้วจำนวน 15 ปาก ประกอบกับเอกสารพยานหลักฐานที่ได้รับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ส่วนจะต้องเชิญพยานบุคคลใดมาให้ข้อมูลและมีจำนวนอีกกี่ปากนั้นยังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับว่าพยานให้ข้อมูลพาดพิงไปถึงบุคคลใด ซึ่งคณะกรรมการฯ จะพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเรียกมาสอบถามข้อมูลหรือไม่ ถ้าหากมีความจำเป็นก็ต้องเรียกมาสอบ โดยคณะกรรมการฯ พยายามเร่งสอบสวนให้เสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดตามกรอบกำหนดเวลา โดยเพิ่มจำนวนการประชุมจากสัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
“จากการสอบพยานบุคคล คณะกรรมการฯ ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง หรือให้น้ำหนักประเด็นใดเป็นพิเศษ โดยคณะกรรมการฯจะทำการสอบสวนทุกประเด็นที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วสรุปสำนวน จึงจะทราบว่ามีประเด็นใดบางที่มีมูลความผิดหรือไม่ ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการฯ จะเรียก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้ถูกกล่าวหา มารับทราบข้อกล่าวหาได้ภายในเดือนพ.ค.นี้”
ภายหลัง พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผบช.สทส. เข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการฯเสร็จสิ้นแล้ว กล่าวว่า เดินทางมาให้ข้อมูลในฐานะเป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ทั้ง 26 คำสั่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รายงานผลสรุปการตรวจสอบต่อ ก.ตร.ไปแล้ว จึงได้มาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯเหมือนกับที่รายงาน ก.ตร.
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.เดินทางเข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการฯในฐานะพยาน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น โดย พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ทำหนังสือแจ้งให้ตนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสอบวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าจะสอบถามเรื่องอะไรและประเด็นใดบ้าง จึงไม่ได้เตรียมเอกสารมาส่งมอบให้กับคณะกรรมการฯเพื่อประกอบการให้ข้อมูล โดยคณะกรรมการฯได้สอบถามตนเกี่ยวกับการบังคับบัญชาตามสายงาน การแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เพียงแต่เหตุที่เกิดอยู่ในกรุงเทพเท่านั้นเอง รวมทั้งประเด็นการใช้คำพูดไม่เหมาะสม และเรื่องอื่นๆ ซึ่งตนได้ตอบอย่างชัดเจน แบบไม่ต้องแปล และไม่ต้องเดินทางมาให้ข้อมูลอีก เรื่องที่รู้ตนก็ตอบ ส่วนเรื่องที่ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้
วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5 มี.ค.51 ให้สอบสวนวินัยร้ายแรงกรณี การทำสัญญาเช้ารถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มูลค่า 9,800 ล้านบาท การใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับผู้ใต้บังคับบัญชา และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจโดยไม่มีกฎหมายรองรับ เรียกประชุมคณะกรรมการทั้งคณะเพื่อสอบข้อมูลพยานบุคคลซึ่งเป็นนายตำรวจระดับผู้บัญชาการตำรวจ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ภายหลัง นายชัยเกษม กล่าวว่า ในช่วงเช้าคณะกรรมการได้เชิญ พล.ต.ท.บรรจง ตันศยานนท์ ผู้บัญชาการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ผบช.ก.ตร.) มาให้ข้อมูลจนเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนในช่วงบ่ายคณะกรรมการฯ ได้เชิญ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ผบช.สทส.) มาให้ข้อมูลต่อ โดยไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคณะกรรมการสอบถามข้อมูลพยานในประเด็นเป็นความลับในสำนวนการสอบสวนเพราะเกี่ยวกับเรื่องโทษทางวินัยร้ายแรง ที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ได้สอบปากคำพยานบุคคลไปแล้วจำนวน 15 ปาก ประกอบกับเอกสารพยานหลักฐานที่ได้รับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ส่วนจะต้องเชิญพยานบุคคลใดมาให้ข้อมูลและมีจำนวนอีกกี่ปากนั้นยังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับว่าพยานให้ข้อมูลพาดพิงไปถึงบุคคลใด ซึ่งคณะกรรมการฯ จะพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเรียกมาสอบถามข้อมูลหรือไม่ ถ้าหากมีความจำเป็นก็ต้องเรียกมาสอบ โดยคณะกรรมการฯ พยายามเร่งสอบสวนให้เสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดตามกรอบกำหนดเวลา โดยเพิ่มจำนวนการประชุมจากสัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
“จากการสอบพยานบุคคล คณะกรรมการฯ ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง หรือให้น้ำหนักประเด็นใดเป็นพิเศษ โดยคณะกรรมการฯจะทำการสอบสวนทุกประเด็นที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วสรุปสำนวน จึงจะทราบว่ามีประเด็นใดบางที่มีมูลความผิดหรือไม่ ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการฯ จะเรียก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้ถูกกล่าวหา มารับทราบข้อกล่าวหาได้ภายในเดือนพ.ค.นี้”
ภายหลัง พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผบช.สทส. เข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการฯเสร็จสิ้นแล้ว กล่าวว่า เดินทางมาให้ข้อมูลในฐานะเป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ทั้ง 26 คำสั่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รายงานผลสรุปการตรวจสอบต่อ ก.ตร.ไปแล้ว จึงได้มาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯเหมือนกับที่รายงาน ก.ตร.
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.เดินทางเข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการฯในฐานะพยาน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น โดย พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ทำหนังสือแจ้งให้ตนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสอบวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าจะสอบถามเรื่องอะไรและประเด็นใดบ้าง จึงไม่ได้เตรียมเอกสารมาส่งมอบให้กับคณะกรรมการฯเพื่อประกอบการให้ข้อมูล โดยคณะกรรมการฯได้สอบถามตนเกี่ยวกับการบังคับบัญชาตามสายงาน การแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เพียงแต่เหตุที่เกิดอยู่ในกรุงเทพเท่านั้นเอง รวมทั้งประเด็นการใช้คำพูดไม่เหมาะสม และเรื่องอื่นๆ ซึ่งตนได้ตอบอย่างชัดเจน แบบไม่ต้องแปล และไม่ต้องเดินทางมาให้ข้อมูลอีก เรื่องที่รู้ตนก็ตอบ ส่วนเรื่องที่ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้