xs
xsm
sm
md
lg

“วัฒนา” เบี้ยวอีก อ้างป่วยหลงลืมอาการสับสนฉับพลัน!!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน
“วัฒนา” เบี้ยวศาลอีกรอบ อ้างป่วยหลงลืม สมองเชื่องช้า ศาลกำชับไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย 17 เม.ย.นี้ ต้องมา ด้านทนายจำเลยยันลูกความอาการยังหนักไม่กล้าเสี่ยงพาเข้าเบิกความ แม้ทำให้ต้องเสียเปรียบ

วันนี้ (8 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีดำ อม.2/2550 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานจำเลยครั้งที่สอง คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 ในการใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณะประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

โดยก่อนเริ่มการไต่สวนพยาน นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความนายวัฒนา ยื่นคำร้องต่อศาล ขอเลื่อนนัดไต่สวน นายวัฒนา จำเลย อีกเป็นครั้งที่ 4 โดยระบุว่า นายวัฒนา ยังมีอาการสับสนเฉียบพลัน หลงลืม และการโต้ตอบเชื่องช้า เนื่องจากอาการโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง ศาลสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้เลื่อนได้ แต่กำชับให้ทนายความนำตัวนายวัฒนา จำเลย เข้าไต่สวนภายในกำหนดนัดไต่สวนจำเลยครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 เมษายน เวลา 09.30 น. หากไม่มาศาลจะมีคำสั่งตามที่เห็นสมควรต่อไป ส่วนที่อัยการโจทก์แถลงขอนำพยานโจทก์ปาก พล.ต.ต.วิเชียร สิงห์ปรีชา รอง ผบช.ก. ที่หายจากอาการป่วย เข้าไต่สวนในวันที่ 17 เม.ย. นี้ ศาลจะพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่ามีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนพยานปากนี้หรือไม่

แม้วันนี้นายวัฒนา จะไม่ได้เข้าไต่สวนก็ตาม แต่ทนายความได้นำพยานเข้าไต่สวนรวม 3 ปาก ประกอบด้วย นายศิริ เกวลินศิริ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ให้การในประเด็นการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งนายศิริ ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ที่มีการระบุว่าเป็นที่ทิ้งขยะ ว่า ที่ดินไม่ใช่ที่ทิ้งขยะแต่เป็นที่ห้วงห้ามทิ้งขยะ โดยศาลถามว่า แล้วข้อเท็จจริงมีการทิ้งขยะหรือไม่ นายศิริ ตอบว่าที่ห้วงห้ามทิ้งขยะ ไม่ใช่ที่ทิ้งขยะ เมื่ออัยการโจทก์ถามว่า ขณะปฎิบัติหน้าที่เป็นอธิบดีกรมที่ดินเคยมีการเข้าหารือและให้คำปรึกษากับนายวัฒนา ที่เป็น รมช.มหาดไทยขณะนั้นหรือไม่ นายศิริ ตอบว่า มีการพูดคุยกับนายวัฒนา แต่เป็นพูดคุยทั่วไปไม่ใช่ลักษณะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับที่ดินพิพาท

ต่อมาทนายความนำ นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา หัวหน้าข่าวการเมือง นสพ.เดลินิวส์ พยานจำเลยเข้าไต่สวนในประเด็นที่นายวัฒนาอ้างว่าถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กลั่นแกล้งทางการเมือง สรุปว่า เมื่อปี 2547 ก่อนที่จะมีการยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ที่พยานรู้จักเป็นการส่วนตัว ได้เรียกพยานไปพบที่บ้านพักในเวลากลางคืน โดยนายสุวัจน์ ได้เปิดเสื้อให้ดูร่างกายที่ผ่ายผอม รับประทานอาหารไม่ได้ และท้องเสียจากอาการเครียดลงกระเพาะ และบอกว่าถูก พ.ต.ท.ทักษิณ บีบให้ยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย หากไม่ยอมทำตามขู่ว่าจะเล่นงานบิดาของนายสุวัจน์ ที่มีส่วนตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จนนายสุวัจน์ ต้องยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย

นายวันชัย ดิษฐ์สกุล อดีตช่างรังวัด 3 กรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้รังวัดโฉนดที่ดินทั้ง 5 แปลงในคดีนี้ ให้การต่อศาลว่า การออกโฉนดที่ดินพิพาทออกเมื่อปี 2537 ซึ่งพยานไปรวมทำการรังวัดที่ดินตามคำชักชวนของเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินเขตบางพลี จ.สมุทรปราการ และต่อมาอธิบดีกรมที่ดินในขณะนี้จึงได้มีคำสั่งให้ตนไปช่วยราชการในตำแหน่งช่างรังวัด 4 สำนักงานที่ดินเขตบางพลี และได้ไปยืมกล้องส่องทางไกลที่มีประสิทธิภาพสูงที่จะใช้ในการปฎิบัติหน้าที่ในการรังวัด จากบริษัทปาล์มบีช ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ขอออกโฉนดที่ดินซึ่งได้ซื้อมาจากชาวบ้าน บริษัท สหมารีน จำกัด และบริษัท เหมืองแร่ลานทอง จำกัด โดยในการขอออกโฉนด มีนายกิตติชัย พิมพาภรณ์ ผู้รับมอบอำนาจของบริษัทดำเนินการ เมื่อมีการออกโฉนดที่ดินได้ 3 แปลง พยานกับเพื่อนอีก 2 คน ได้นำโฉนดที่ดินไปมอบให้กับนายกิตติชัย และนายกิตติชัย เป็นผู้พาไปพบกับจำเลย ที่บ้านอัศวเหม และจำเลยได้มอบพระเครื่อง ให้กับเพื่อนพยานคนละองค์ ส่วนพยานได้รับพระเครื่อง(พระผงสุพรรณเลี่ยมทอง ซึ่งเป็นของกลางในคดีนี้) หลังจากนั้นประมาณ 1-2 เดือน

เมื่อทนายความนายวัฒนา ได้ถามย้ำเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินและการยืมกล้องจากบริษัทปาล์มบีชเพื่อมาใช้งาน นายวันชัย ตอบว่า เมื่อมีการขอออกโฉนดแล้วพยานได้เสนอให้บริษัทปาล์มบีช ได้จัดหาเครื่องมือรังวัดที่ทันสมัยมีความละเอียดเพียงพอในการตรวจดูพื้นที่ เมื่อบริษัทจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว พยานได้ทำหนังสือขอยืมอุปกรณ์จากบริษัทเพราะว่าสภาพที่ดินที่มาขอออกโฉนด 80-90 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่ทำนากุ้ง ซึ่งการทำรังวัดแบบปกติใช้โซ่ลากเพื่อรังวัดทำได้ไม่ละเอียดเพียงพอและไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวไปทับพื้นที่สาธารณะหรือไม่ พยานจึงได้มีการเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบ

เมื่อทนายความถามว่านายวัฒนา จำเลย มีการพูดข่มขู่หรือพูดจาติดสินบนพยานหรือไม่ นายวันชัย ตอบว่า ไม่เคย แต่พยานเคยถูกข่มขู่ในชั้นให้การของดีเอสไอ โดย พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษขณะนั้น ได้โทรศัพท์ตามพยานไปให้การ และเมื่อพยานได้ให้การตามข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ดีเอสไอกลับบันทึกถ้อยคำแค่บางส่วนเหมือนจงใจปกปิดเพื่อให้ข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนไป ซึ่งพยานไปสอบถามแล้วดีเอสไอบอกว่าให้เอาตามนี้แล้วจะกันไว้เป็นพยาน

ต่อมาอัยการโจทก์จึงถามพยานว่าที่ถูกข่มขู่ในชั้นดีเอสไอ มีเรื่องใดบาง นายวันชัย ตอบว่า มีหลายประเด็น แต่เท่าที่จำได้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายกิตติชัย ผู้รับมอบอำนาจบริษัทปาล์มบีชฯที่มาขอออกโฉนด

เมื่ออัยการถามว่าแล้วในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการกรมที่ดิน และ ป.ป.ช.พยานถูกข่มขู่ หรือไม่ นายวันชัย ตอบว่า ไม่เคยถูกข่มขู่ เมื่ออัยการถามต่อว่าแล้วได้แจ้งเรื่องที่ถูกดีเอสไอข่มขู่ให้ คณะกรรมการ และ ป.ป.ช.ทราบหรือไม่ นายวันชัยตอบว่า เคย แจ้งให้ทราบแต่ก็มีการบันทึกบางส่วน

เมื่ออัยการถามว่าก่อนที่จะมีการออกโฉนดที่ดินนั้นที่ดินยังเป็นที่ สค.1และด้านหลังใบ สค.1 ระบุว่าเป็นที่ทิ้งขยะ เหตุใดพยานจึงออกโฉนด นายวันชัย ตอบ การออกโฉนดที่ดินทำมา 30 กว่ารายแล้ว ไม่ใช่เฉพาะของบริษัทปาล์มบีชเพียงรายเดียว และการออกโฉนดที่ดินก็ทำตามมติ ครม.ปี 2531 ยกเลิกที่ดินดังกล่าวเป็นที่ทิ้งขยะ

ภายหลังเสร็จสิ้นการไต่สวน นายไพบูลย์ ทนายความนายวัฒนา กล่าวว่า ในการไต่สวนพยานนัดสุดท้ายวันที่ 17 เมษายน นั้นยังเหลือพยานที่จะนำเข้าไต่สวนอีกประมาณ 3-4 ปาก และจะพยายามนำตัวนายวัฒนา มาไต่สวนให้ได้ แต่อย่างไรก็ดีทราบว่าขณะนี้ นายวัฒนา ก็ยังมีอาการสับสนเฉียบพลัน และหลงลืม ซึ่งหากจะนำนายวัฒนา เข้าไต่สวนทั้งที่ยังมีอาการป่วยหากเกิดอะไรขึ้นมาตนคงรับผิดชอบต่อครอบครัวอัศวเหมไม่ไหว ดังนั้นจึงต้องรอดูอาการอีกครั้ง

“หากคุณวัฒนา เข้าไต่สวนไม่ได้ถือว่าเราเสียเปรียบ เพราะว่าการไต่สวนในชั้น ป.ป.ช.เราก็สู้เหมือนคนตาบอดเพราะไม่เห็นพยานหลักฐานอะไรเลย รู้แต่เพียงข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผมให้การเองได้ก็จะให้การแทน แต่ในการพิจารณาคดีทำไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งถูกกล่าวหาจะต้องให้การต่อสู้คดีเอง” นายไพบูลย์ กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอยื่นคำให้การของนายวัฒนาแทนการไต่สวนแต่ศาลไม่อนุญาต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายความ นายวัฒนา ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ขออนุญาตศาลยื่นคำให้การเป็นเอกสารแทนการไต่สวน แต่ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาต เนื่องจากข้อกำหนดการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2543 ที่กำหนดให้ศาลจะต้องทำการไต่สวนจำเลยด้วยตัวเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น