“เสรีพิศุทธ์” เข้าพบ “ชัยเกษม” รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว หลังถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ตอกกลับ “สมัคร” ด่าลูกน้องว่าควายผิดตรงไหน ทีถามว่า “เมื่อคืนคุณไปเสพเมถุนกับใครมา” ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ยืนยันตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้าน อสส.เตรียมเรียกพยานสัปดาห์หน้า โต้กลับคำสั่งตั้ง กก.สอบ “เสรีพิศุทธ์” ชอบแล้ว คาดสรุปผลได้ก่อน 60 วัน หากไม่ทันมีสิทธิขยายเวลาได้
วันนี้ (19 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สนามหลวง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาพร้อมกับนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เข้าพบนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เพื่อรับทราบการตั้งข้อกล่าวหาที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5 มีนาคม 2551 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ 3 กรณี 1.ทุจริตการทำสัญญาเช่ารถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มูลค่า 9,800 ล้านบาท 2.การใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับผู้ใต้บังคับบัญชา และ 3.การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจโดยไม่มีกฎหมายรองรับ โดยการรับทราบข้อกล่าวหาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การเข้าพบวันนี้คณะกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 3 เรื่องตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้ตนทราบตามกฎว่าด้วยการสอบสวนของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ตนได้ยื่นหนังสือถึงนายชัยเกษม ประธานคณะกรรมการฯ เพื่อขอเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ใช้ในการตั้งข้อกล่าวหาสอบสวนวินัยร้ายแรงตนรวมทั้งขอให้คณะกรรมการชุดนี้พิจารณาด้วยว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะปกติการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงจะต้องทำการสืบสวนข้อเท็จจริงด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาเสียก่อน แต่กรณีนี้ไม่มีการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่อาศัยช่องว่างของกฎหมายที่ว่าผู้บังคับบัญชาพิจารณาในเบื้องต้น ซึ่งการพิจารณาเบื้องต้นต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าตนซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงอย่างไร ส่วนเรื่องเอกสารหลักฐานนั้นประธานคณะกรรมการฯ บอกว่าไม่มีอาจจะอยู่กับนายกรัฐมนตรี ฟังดูแล้วไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ที่กล่าวหาว่าตนทุจริตการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ฝ่าฝืนระเบียบอะไรต่างๆ เหล่านี้ทำให้ทางราชการเสียหาย โดยระบุชัดเจนเลยว่าทุจริต แล้วมีพยานหลักฐานอะไรว่าตนทุจริต ว่าตนฝ่าฝืนระเบียบ นั่งทบทวนดูตนไม่ได้ฝ่าฝืนอะไร ทำตามระเบียบ ในระเบียบเขาให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น และตนก็ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจที่จะไปอนุมัติอะไรได้ตามใจ ถ้าตนไม่ทำตามระเบียบ และถ้าตนทำผิดกฎหมาย แล้วรัฐบาลจะอนุมัติได้อย่างไร เป็นคำสั่งที่น่าสงสัย
เมื่อถามว่า เป็นเรื่องการเมืองใช่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า มาถึงขั้นนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะว่าปกติจะทำตามขั้นตอน และถ้าทำตามขั้นตอนจะมีการสืบสวนข้อเท็จจริง ยังย้ายตนไม่ได้ ต้องสืบสวนจนกระทั่งมีมูลว่าทำผิดวินัยแล้วถึงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และตอนนั้นจะย้ายจะพักราชการก็ว่าไป แต่นี้ไม่ได้ทำอะไรเลย ออกคำสั่งบอกเพียง 2 แผ่น ซึ่งไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อถามว่าได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ไม่มีอะไร เรื่องรายละเอียดต่างๆ การเช่ารถได้ดำเนินการมาอย่างไร หรือการแข่งกีฬาเป็นอย่างไร คณะกรรมการฯ ก็ไปขอเอกสารพยานหลักฐานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อข้อถามที่ว่า มีปัญหาในการเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการชี้แจงหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนก็กำลังขอไปที่ สตช.เพื่อมาประกอบการชี้แจง แต่ทางหน่วยพยายามจะไม่ให้ ก็มันมีกระบวนการ ถ้าตนเป็นอะไรไปคนอื่นก็ขึ้นแทน เพราะฉะนั้น คนอื่นถึงไม่ยอมให้ก็คงดำเนินการไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่าจะมีทางในการนำพยานหลักฐานจาก สตช.ได้อย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ต้องอาศัย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารที่เราสามารถทำได้ แต่ถ้าขอไปไม่ให้ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายว่าการไม่ให้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องฟ้องศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขอข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผบ.ตร.หรือผู้ถูกกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การขอหนังสือต้องดูประเด็นเป็นหลัก อย่าไปเอาเรื่องเขียนหนังสือที่ไหน เลขที่เท่าไร ตำแหน่งอะไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่สาระว่าคนขอต้องการอะไร สาระบอกว่าเขาถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเอกสาร นี่คือสาระ ไม่ใช่ว่าตนมาออกเลขที่สำนักงานตำรวจฯ แล้วเห็นว่าตนไม่มีหน้าที่แล้วไม่ให้ มันไม่ใช่ ที่ไม่ให้ระวังจะติดคุกเอา ทำไมขอเอกสารไม่ได้หรือ ไอ้พวกนี้ตอนตนอยู่ก็ครับท่านๆ ทั้งนั้น วันนี้ยังไม่ทันล้มมันข้ามกันแล้ว แล้วก็ดูไปว่าตำรวจคนไหนมันจิ้งจกบ้าง แป๊บเดียวเปลี่ยนสีแล้ว วันพระไม่ได้มีหนเดียว คนอย่างตนไม่ตายง่ายๆ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงการเช่ารถตู้ว่า ในการอนุมัติทำสัญญาเช่ารถตู้ นอกจากจะผ่านขั้นตอนการเสนอนอกจากจะมีลายเซ็นของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีรัฐบาลที่แล้ว กระบวนการและขั้นตอนอื่นๆ ก็ไม่ได้นอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทั้งสิ้น ยกตัวอย่างการเช่ารถก็เสนอท่านนายกฯ ว่าจะอนุมัติให้เช่า แล้วไปเขียนแผนทีโออาร์ประกาศลงเว็บไซต์ เพื่อให้บริษัทต่างๆ ทำการเสนอราคาทางอี-อ็อกชัน และมีการตรวจสอบเอกสารการประกวดราคา โดยต้องยึดราคากลางเป็นหลัก ซึ่งต้องมีคณะกรรมการฯ ที่มีทั้งตำรวจและคนภายนอกขึ้นมาพิจารณาว่าใครประกวดราคาได้ ก็เอาราคานั้น แต่ต้องไม่เกินราคากลาง ใครที่เสนอราคาน้อยสุดคณะกรรมการฯ จะพอใจราคา ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการฯ ไม่ใช่เรื่องของตน พอได้ราคาเช่าก็ต้องเสนอนายกฯ ส่งไปยังกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาของบประมาณ เมื่อขั้นตอนนี้ผ่านความเห็นชอบแล้ว เมื่อต้องทำสัญญาก็เป็นเรื่องของกองพลาธิการไม่ใช่เรื่องของตนเช่นกัน
“ผมยืนยันว่าไม่มีการล็อกสเปก จะล็อกสเปกอะไร ที่คุณถามว่าล็อกสเปกไปเอามาจากไหน ไปฟังจากใครมา เอาเรื่องจริงมาพูดดีกว่า” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว และปฏิเสธการทำสัญญาไม่ได้ทำเพื่อบริษัทใด เพราะไม่รู้จักใคร
เมื่อถามว่า การทำสัญญาเช่ารถได้มีการปรึกษากับอัยการหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่าการทำสัญญาของทางราชการมีระบบอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจะทำสัญญาอะไรทีก็ต้องมาปรึกษาอัยการที เคยเห็นแบบฟอร์มหรือไม่ เคยเห็นสัญญาไหม มีระบบของมันอยู่แล้ว และสัญญาก็ไม่ใช่เรื่องของตนอีก มันมีการแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนั้น ถ้าสงสัยเรื่องการเช่ารถว่าไม่ชอบก็ต้องทำสืบสวนข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าตกลงใครผิด ถึงจะมาตั้งคณะกรรมการสอบสวน ไม่ใช่ว่าพอมีคนร้องแล้วก็เอาคนที่เป็นหัวหน้าตำรวจก่อนเลย อย่างนี้ไม่ใช่ ส่วนคนร้องก็ต้องดูว่าเป็นใครเป็นคนดี เกี่ยวข้องกับการเช่ารถอะไรต่างๆ เหล่านี้หรือเปล่าหรือถ้าโจรมาร้องก็เชื่อโจร ที่ผ่านมาที่ฟังเหมือนให้โจรมาร้อง เพราะมันจะติดคุกหรือจะตายยังไงก็ได้ ก็ให้เซ็นชื่อแล้วอ้างว่ามีคนร้องแล้ว
เมื่อถามว่านอกจากเรื่องเช่ารถแล้วยังมั่นใจการชี้แจงในเรื่องที่เหลือหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า “ผมมั่นใจทุกเรื่องแหละ ทำไมผมด่าลูกน้องควาย แล้วผิดตรงไหน ถ้าผมไปด่าคุณก็ไปอย่าง เวลาพวกคุณถูกด่า สมองมีแค่นี้หรือ ปัญญามีแค่นี้หรือ เมื่อวานคุณไปเสพเมถุนกับใคร คุณไม่เห็นทำอะไรสักอย่างเลย พวกคุณก็ไม่ได้ฟ้องนี่ พวกคุณก็มีความรู้สึกสบายๆ ที่มีคนเขาด่าคุณอย่างนั้นใช่ไหม”
และเมื่อถามต่อว่าจะมีการนำไปเปรียบเทียบกับที่นายสมัครใช้คำพูดเหล่านี้กับผู้สื่อข่าวต่อคณะกรรมการฯ ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ต้องเทียบ อย่างนั้นไม่ผิด แล้วอย่างนี้จะผิดได้อย่างไร แค่ผมพูดกับลูกน้องแค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย ลูกน้องรักเราเสียอีก”
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าเพื่อนเสรีฯ มาร่วมในเวทีของพันธมิตรฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 28 มีนาคม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า “คุณก็มาหาเรื่องใส่ผมอีกแล้ว ผมจะไปยืนยันอะไรไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ใครจะเป็นพันธมิตรฯ ใครจะเป็นฝ่ายไหนมันก็เรื่องของเขา มันไม่เกี่ยวกับผม ผมก็มีแต่ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อย พยายามสมานฉันท์ ประนีประนอม”
ด้าน นายชัยเกษม ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนฯ กล่าวว่า ขณะนี้การสอบสวนอยู่ระหว่างการเรียกเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สตช. เลขาธิการ ครม.รวมทั้งจะเชิญพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ ซึ่งเป็นขั้นตอนทั่วไปของการสอบสวนไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ อย่างไรก็ดี สำหรับพยานที่จะเชิญมาให้การนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร จากหน่วยงานใดบ้าง เพราะขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานพยานที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมา มีเพียงเอกสารคำสั่ง ดังนั้น คณะกรรมการฯจึงต้องเริ่มสอบสวนจากเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่กำลังจะได้มา โดยหลักฐานส่วนใหญ่ที่จะได้มาเป็นพยานเอกสารซึ่งคณะกรรมการฯ จะสอบพยานบุคคลประกอบพยานเอกสาร
“เวลานี้ คณะกรรมการฯ กำลังจะรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะเดิมทีนายกรัฐมนตรีพิจารณาในเบื้องต้นแล้วว่ามีมูลที่จะสอบวินัยจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ โดยกรอบเวลาสอบสวนนั้นก็เป็นไปตามกฎของ ก.ตร. ซึ่งหลักในการสอบสวนก็จะเน้นที่พยานเอกสารเป็นหลัก เพราะกรณีสอบสวนการเสนอเรื่องอนุมัติเช่ารถตู้คณะกรรมการฯก็ต้องกลับไปตรวจสอบว่าการเสนอมีขั้นตอนอย่างไร ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะต้องเรียกบริษัทเอกชนผู้ให้เช่ารถมาให้การด้วยหรือไม่ เพราะเราต้องดูว่าเกี่ยวพันกันแค่ไหนอย่างไร ซึ่งเรื่องที่จะให้มีการสอบสวนวินัย ผบ.ตร.นั้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ ดังนั้น จึงต้องดูเอกสารหลักฐานจากส่วนราชการเป็นหลักก่อน แต่ยืนยันว่าคณะกรรมการฯ จะต้องเรียกสอบพยานเอกสารหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง” นายชัยเกษม กล่าว
นายชัยเกษม ชี้แจงขั้นตอนการสอบสวนด้วยว่า หลังจากคณะกรรมการฯรวบรวมหลักฐานแล้วก็จะต้องสรุปผลการสอบสวนว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่กล่าวหาหรือไม่ โดยภายในสัปดาห์หน้าจะเริ่มเรียกพยานมาให้การซึ่งจะทำไปพร้อมกับการเรียกเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานต่างๆมาสอบ อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าคณะกรรมการสอบสวนจะดำเนินการสอบให้เสร็จตามกรอบกติกาคือภายใน 60 วัน หรือหากไม่ทันตามกำหนดก็สามารถออกไปได้แต่ไม่เกิน 240 วัน
“การทำหน้าที่สอบสวนจะไม่มีการแบ่งหน้าที่ แต่ทุกคนจะร่วมกันทำในรูปแบบของคณะกรรมการสอบสวนฯ และจนถึงวันนี้ผมยืนยันว่ายังไม่เคยเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานหรือหารือในเรื่องนี้เลย” ประธานคณะกรรมการฯ กล่าว
ส่วนที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงของนายกรัฐมนตรีว่าชอบหรือไม่ เพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่จะต้อง มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อน นายชัยเกษม กล่าวว่า เรื่องนี้คณะกรรมการได้พิจารณากันแล้ว ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีอยู่ 2 กรณีที่ผู้บังคับบัญชาจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงได้ คือ การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาก่อน หรือหากผู้บังคับบัญชาพิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่ามีเหตุที่จะสอบสวนวินัยร้ายแรงก็สามารถดำเนินการได้ ซึ่งกรณีนี้นายกรัฐมนตรีพิจารณาในเบื้องต้นแล้วว่ามีมูลที่จะสอบสวนจึงสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย