ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เลือกแล้ว 9 ผู้พิพากษา พิจารณาคดีหวยบนดิน “รองประธานศาลฎีกา-อดีตรองประธานศาลฎีกา-ประธานแผนกคดีในศาลฎีกา” ได้รับเลือกถ้วนหน้า
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เวลา 09.30 น. นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาในศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโส จำนวน 9 คน เป็นองค์คณะผู้พิพากษา พิจารณาคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) คดีดำหมายเลขที่ อม.1/2551 ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 47 คน เป็นจำเลย
โดยการคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษา ที่ประชุมใช้วิธีลงคะแนนลับ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 13 ซึ่งผลการลงคะแนนปรากฏว่าผู้พิพากษาจำนวน 9 คนที่ได้รับเลือกเรียงตามลำดับคะแนน มีดังนี้
1.นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
2.นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองในศาลฎีกา ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของอดีตนายกรัฐมนตรี
3.นายวิธวิทย์ หิรัญรุจิพงษ์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครองครัวในศาลฎีกา
4.นายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 6
5.นายกำพล ภู่สุดแสวง อดีตรองประธานศาลฎีกา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
6.นายองอาจ โรจนสุพจน์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา
7.นายฐานันท์ วรรณโกวิท ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
8.นายวีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา และ
9.นายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ในศาลฎีกา
นายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองในศาลฎีกา กล่าวว่า จากนี้องค์คณะฯ ทั้ง 9 จะประชุมภายในเพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวัน เวลา แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการประชุมเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก่อนที่จะถึงกำหนดวันนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ในวันที่ 14 พ.ค.เวลา 10.00 น. ซึ่งศาลฎีกาจะปิดประกาศรายชื่อองค์คณะทั้งเก้าไว้ที่หน้าศาลฎีกาให้คู่ความทราบ เพื่อยื่นคำร้องคัดค้านตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 4 ต่อไป ซึ่งยื่นการยื่นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกเป็นองค์คณะนั้นให้ดำเนินการก่อนที่ศาลเริ่มการไต่สวนพยานหลักฐาน
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เวลา 09.30 น. นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาในศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโส จำนวน 9 คน เป็นองค์คณะผู้พิพากษา พิจารณาคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) คดีดำหมายเลขที่ อม.1/2551 ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 47 คน เป็นจำเลย
โดยการคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษา ที่ประชุมใช้วิธีลงคะแนนลับ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 13 ซึ่งผลการลงคะแนนปรากฏว่าผู้พิพากษาจำนวน 9 คนที่ได้รับเลือกเรียงตามลำดับคะแนน มีดังนี้
1.นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
2.นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองในศาลฎีกา ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของอดีตนายกรัฐมนตรี
3.นายวิธวิทย์ หิรัญรุจิพงษ์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครองครัวในศาลฎีกา
4.นายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 6
5.นายกำพล ภู่สุดแสวง อดีตรองประธานศาลฎีกา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
6.นายองอาจ โรจนสุพจน์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา
7.นายฐานันท์ วรรณโกวิท ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
8.นายวีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา และ
9.นายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ในศาลฎีกา
นายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองในศาลฎีกา กล่าวว่า จากนี้องค์คณะฯ ทั้ง 9 จะประชุมภายในเพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวัน เวลา แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการประชุมเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก่อนที่จะถึงกำหนดวันนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ในวันที่ 14 พ.ค.เวลา 10.00 น. ซึ่งศาลฎีกาจะปิดประกาศรายชื่อองค์คณะทั้งเก้าไว้ที่หน้าศาลฎีกาให้คู่ความทราบ เพื่อยื่นคำร้องคัดค้านตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 4 ต่อไป ซึ่งยื่นการยื่นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกเป็นองค์คณะนั้นให้ดำเนินการก่อนที่ศาลเริ่มการไต่สวนพยานหลักฐาน
