กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ชิมช้อปใช้” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ นับตั้งแต่ลงทะเบียนวันแรก 23 กันยายน 2562 ได้หมดเขตใช้สิทธิ์ไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา แม้การแจกเงินคนละ 1,000 บาท จะมีเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม แต่พบปัญหาเงินชดเชย (Cashback) 15-20% พบว่าประชาชนหลายคนยังไม่ได้รับเงินคืนงวดที่ 2 และ 3 แม้แต่บาทเดียว
เงินคืนที่ว่านี้มาจากเมนู “เป๋าตัง ช่อง 2” ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ประชาชนเติมเงินแล้วนำไปซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” โดยยอดซื้อไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับเงินคืน 15% ตั้งแต่บาทแรกที่ใช้ และยอดซื้อตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท จะได้รับเงินคืน 20% ซึ่งแต่ละคนจะได้รับเงินคืนสูงสุด 8,500 บาทเลยทีเดียว
เดิมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” สิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 และจะได้รับเงินคืน 15% ผ่านแอปฯ เป๋าตังในวันที่ 15 ธันวาคม 2562 แต่ได้ขยายมาตรการและเพิ่มเงินชดเชยเป็น 15-20% ไปถึงวันที่ 31 มกราคม 2563 โดยจะคำนวณยอดซื้อเฉพาะเดือนนั้น แล้วจะจ่ายเงินคืนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งเงินคืนจำนวนนี้สามารถโอนเข้าบัญชีเพื่อถอนออกมาเป็นเงินสดได้
ยอดใช้จ่ายงวดแรก ตั้งแต่เริ่มโครงการ ถึง 30 พฤศจิกายน 2562 ได้รับเงินคืน 15% ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2562 ตามปกติ แต่เดือนต่อมาปรากฎว่า ยอดซื้อวันที่ 1-31 ธันวาคม 2562 ที่จะต้องได้รับเงินคืนในวันที่ 15 มกราคม 2563 และยอดซื้อวันที่ 1-31 มกราคม 2563 ที่จะต้องได้รับเงินคืนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันนี้ยังไม่ได้รับเงินคืนแม้แต่บาทเดียว!
18 มกราคม 2563 มี SMS ระบุชื่อผู้ส่ง “PAOTANG” ระบุว่า “กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องการใช้สิทธิมาตรการ “ชิมช้อปใช้” และเงินคืน (cash back) ท่านจะได้รับเงินคืนทันทีเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น” ซึ่งระหว่างนี้ก็ยังไม่มีการจ่ายเงินคืนเข้าแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เหมือนเดือนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ต่อมา วันที่ 20 มกราคม 2563 กระทรวงการคลังให้ข่าวระบุว่า พบร้านค้ากว่า 1,000 แห่ง ต้องสงสัยว่าจะ “ทุจริตชิมช้อปใช้” ทำให้ต้องชะลอจ่ายเงินคืนสำหรับยอดซื้อสินค้ากระเป๋าที่ 2 จากร้านค้าดังกล่าว จนกว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จ โดยอ้างว่ามีร้านค้าบางแห่งโอนเงินไปให้ผู้ซื้อเพื่อทำทีมาซื้อสินค้าที่ร้าน แล้วเมื่อได้รับเงินคืนจากรัฐจะนำมาแบ่งกัน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราว “ทุจริตชิมช้อปใช้” หายไปกับสายลม พร้อมกับ “เงินคืนงวดที่ 2” ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้คืน
มาถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งจะต้องได้รับ “เงินคืนงวดที่ 3” สำหรับยอดซื้อวันที่ 1-31 มกราคม 2563 ปรากฎว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับเงินคืน เช่นเดียวกับงวดที่ 2 ขณะที่ข่าวคราวการตรวจสอบทุจริตชิมช้อปใช้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ท่ามกลางความสงสัยของคนในสังคม เพราะร้านค้าที่ใช้จ่ายหลายร้านก็มีชื่อเสียงโด่งดัง
ร้านที่เข้าร่วมโครงการชิมช้อปใช้ หนึ่งในนั้นคือ “ร้านวีทีแหนมเนือง” จังหวัดอุดรธานี เป็นร้านที่บรรพบุรุษเป็นชาวเวียดนามอพยพหนีสงครามอินโดจีน หาบแนมเนืองมาขายจนมีลูกค้าติดใจมากมายกลายเป็นร้านดัง เวลาคนจะซื้อแหนมเนืองเขาไม่ได้ซื้อกันแบบบาทสองบาท เขาซื้อกันเป็นกล่อง แบ่งเป็นชุดเล็ก 180 บาท ชุดใหญ่ 260 บาท
อีกร้านหนึ่ง คือ “ร้านไร่กำนันจุล” จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้นกำเนิดมาจากคนกรุงเทพฯ ขึ้นมาทำการเกษตรที่สามแยกวังชมภู เริ่มจากปลูกส้มเขียวหวาน ก่อนชวนชาวบ้านมาทำการเกษตร สร้างงานสร้างรายได้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เป็นร้านขายของฝากชื่อดังติดแอร์อย่างดีราวซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้คนนิยมซื้อปลาส้ม ผลไม้สด และของฝากก่อนกลับกรุงเทพฯ
ร้านที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ คงไม่เอาธุรกิจของตัวเอง “เข้าแลก” กับการทุจริตชิมช้อปใช้ ตามที่กระทรวงการคลังกล่าวหาแบบเหมารวมว่ามีอยู่นับพันร้านค้า เหมือน “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หรือ “เผาแบงก์พันเพื่อหาเหรียญสลึง” กันเปล่าๆ ก็น่าคิดว่าที่ออกข่าว “ทุจริตชิมช้อปใช้” เพื่อประวิงเวลาในการจ่ายเงินชดเชยออกไปอีกหรือไม่?
คืนเดียวกันนี้เอง มี SMS ระบุชื่อผู้ส่ง “PAOTANG” ระบุว่า “ท่านมีสิทธิได้รับเงินคืนตามมาตรการชิมช้อปใช้ซึ่งจะพิจารณาโอนเงินให้ตามลำดับต่อไป” หลังจากนั้น เงินคืนสำหรับยอดซื้อทั้งเดือนธันวาคม 2562 และมกราคม 2563 รวมกันแล้วสองเดือนเต็ม ก็เงียบหายไปกับสายลมเช่นเคย
กลายเป็นปริศนาว่า ทำไมรัฐบาลถึงยังไม่จ่ายเงินชดเชยเสียที บางฝ่ายวิจารณ์ว่ารัฐบาล “ถังแตก” หรือเปล่า?
แต่แล้วก็ถึงบางอ้อ ... เพราะกรมบัญชีกลางชี้แจงว่า เนื่องจาก ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ยังไม่เรียบร้อย จึงยังไม่มีเงินคืนเข้ามา แล้วต้องรอดูว่ากฎหมายจะผ่านได้เมื่อไหร่ ที่ผ่านมาจึงทำได้แค่นำงบประมาณที่เหลือจ่ายเงินชดเชยแก่ประชาชนที่ใช้ “เป๋าตัง ช่อง 2” ตามลำดับก่อนหลังไปบางส่วน
ฟังดูแล้วถึงอ้างว่า “ไม่ถังแตก” ก็รู้สึกเหมือน “ถังแตก” อยู่ดี!
ที่ผ่านมา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 เห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา แต่เจอปัญหามีคนจับได้ว่ามี ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเสียบบัตรแทนกันช่วงลงมติในวาระ 2 และ 3 ทำให้มีคนไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นโมฆะหรือไม่ เพราะเคยมีกฎหมาย 2 ฉบับเป็นโมฆะเพราะเสียบบัตรแทนกัน
กระทั่งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เป็นโมฆะ แต่ต้องจัดให้ลงมติวาระ 2 และ 3 ใหม่ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในวาระ 2 และ 3 กระทั่งวันต่อมา ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบอีก
ขณะนี้อยู่ในระหว่างส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน เพื่อรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
นับจากนี้หาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของกรมบัญชีกลางก็คือ เบิกเงินงบประมาณและเร่งจ่ายเงินชดเชยโดยเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงไทยก็เชิญชวนให้ให้ผู้ใช้เปิดแจ้งเตือนยอดเงินคืนเข้า G-Wallet ผ่านไลน์ Krungthai Connext ไปก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อมีเงินคืนเข้ามาจะแจ้งเตือนผ่านไลน์ทันที
ปัญหาการจ่ายเงินคืนตามมาตรการชิมช้อปใช้ 15-20% สูงสุด 8,500 บาทเป็นไปอย่างล่าช้ากว่ากำหนดถึง 2 เดือน สะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่พร้อม” ของรัฐบาลในการดำเนินโครงการ จากเดิมที่มีเสียงทั้งชื่นชมและตำหนิถึงการแจกเงิน 1,000 บาทสนับสนุนให้ประชาชนท่องเที่ยว แต่ก็มีคนที่ออกมาใช้สิทธิ์ด้วยตนเอง เพราะมองว่า “ถ้าเราไม่เอาคนอื่นก็เอา”
กลายเป็นว่าประชาชนที่ยอมเติมเงิน “เป๋าตัง ช่อง 2” เพื่อใช้จ่ายแทนเงินสดหรือช่องทางชำระเงินอื่น ซึ่งเป็นผู้มีกำลังซื้อที่แท้จริงเกิด “เสียความรู้สึก” เพราะรัฐบาลบิดพลิ้ว ไม่ทำตามกติกาที่กำหนดไว้ จากที่ใช้จ่ายภายในเดือนนี้จะได้รับเงินคืนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
เป็นความ “ด่างพร้อย” ของมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 1-3 ที่ผ่านไป 5 เดือน จบลงอย่างไม่สวยนัก
ที่ฮือฮายิ่งกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแนวคิดที่จะทำ “ชิมช้อปใช้อินเตอร์” แจกคูปองเงินสดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ อ้างว่าเพื่อชดเชยเงินบาทที่แข็งค่า กลายเป็นว่าประชาชนพากันคัดค้านกระหึ่มบ้านกระหึ่มเมือง ทำนองว่าเรื่องอะไรที่จะเอาภาษีประชาชนมาแจกให้ต่างชาติ แถมเจอ “โรคโควิด-19” แพร่เชื้อจากจีนไปทั่วโลก สุดท้ายก็ต้องพับแผนออกไป
เมื่อมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังผลักดัน “ชิมช้อปใช้ เฟส 4” เข้า ครม. ในเดือนมีนาคมนี้ น่าเป็นห่วงว่ากระทรวงการคลังมีความพร้อมมากน้อยขนาดไหน เพราะขนาดชิมช้อปใช้ตั้งแต่เฟส 1 ยันเฟส 3 ยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งยังไม่ได้เงินชดเชยจากรัฐบาลครบจำนวน แล้วเฟส 4 แล้วจะเกิดอาการ “ถังแตก” กลับมาอีกรอบหนึ่งหรือไม่?
ก่อนจะดัน “ชิมช้อปใช้เฟส 4” โปรดคืนเงินเฟส 1-3 ให้ครบเสียก่อน ถ้าไม่พร้อมก็อย่าฝืนออกแคมเปญเลย อายเขา!