กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
เมื่อวันก่อนมีโอกาสแวะผ่านจังหวัดพิษณุโลก ศูนย์กลางภาคเหนือตอนล่าง ที่ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างแพงกว่ากรุงเทพฯ และสถานีขนส่งห่างไกลจากตัวเมืองกว่า 6 กิโลเมตร เพราะตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า “สี่แยกอินโดจีน”
คนที่เคยขับรถไปยังภาคเหนือตอนล่าง จากนครสวรรค์ไปทางพิษณุโลก มุ่งหน้าอุตรดิตถ์ ส่วนหนึ่งจะผ่านสี่แยกอินโดจีน ที่สมัยก่อนมีหลักกิโลเมตรยักษ์ และป้ายบอกทางไปยังเมืองสำคัญ ได้แก่ คุณหมิง ย่างกุ้ง ดานัง และกัวลาลัมเปอร์
ปัจจุบันป้ายเหล่านี้ถูกรื้อถอน เนื่องจากมีการก่อสร้างทางแยกต่างระดับอินโดจีน โดยเป็นสะพานบนถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก ส่วนด้านล่างออกแบบเป็นวงเวียนเพื่อลดจุดตัดสัญญาณไฟ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้
เดิมสี่แยกตรงนี้ไม่ได้ชื่ออินโดจีนมาตั้งแต่ต้น แต่เรียกว่า “สามแยกร้องโพธิ์” เป็นจุดตัดระหว่างถนนมิตรภาพ พิษณุโลก-หล่มสัก (ทางหลวงหมายเลข 12) กับถนนพิษณุโลก-เด่นชัย (ทางหลวงหมายเลข 11) ด้านทิศเหนือ
ต่อมา กรมทางหลวงก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองพิษณุโลกด้านทิศใต้ จากถนนพิษณุโลก-บางระกำ ผ่านถนนนครสวรรค์-พิษณุโลก (ทางหลวงหมายเลข 117) มาเชื่อมต่อที่สามแยกร้องโพธิ์แห่งนี้ จึงกลายเป็นสี่แยก
ในยุคนั้นมีความพยายามผลักดันโครงการแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) ระหว่างพม่าถึงเวียดนาม กับแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (NSEC) ระหว่างคุณหมิง ประเทศจีนถึงกรุงเทพฯ มีจุดตัดอยู่ที่พิษณุโลกพอดี
กระทั่งรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จัดประชุม ครม.ส่วนภูมิภาคที่เชียงราย เมื่อปี 2540 เห็นชอบให้จังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ใกล้เคียง (พิจิตร เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร) เป็นพื้นที่พัฒนา “สี่แยกอินโดจีน”
“สี่แยกร้องโพธิ์” ที่มีอยู่เดิม จึงกลายเป็น “สี่แยกอินโดจีน” มาถึงปัจจุบัน
ที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันโครงการต่างๆ ผ่านแนวคิดของข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อไม่ให้สี่แยกอินโดจีนเป็นเพียงแค่ “ป้ายบอกทาง” เท่านั้น ตั้งแต่จัดตั้งจุดพักครึ่งทาง (Truck Terminal) เพื่อขนถ่ายสินค้าและผู้โดยสาร
รวมทั้งโครงการพัฒนาพื้นที่สี่แยกอินโดจีนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่จังหวัดพิษณุโลกไปขออนุญาตใช้ที่ดินจากกรมทางหลวง 9 ไร่ บริเวณฝั่งถนนพิษณุโลก-เด่นชัย ก่อสร้างแลนด์มาร์คคล้ายเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สูง 6 เมตร
สุดท้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิษณุโลก ทำได้เพียงแค่สร้างบ้าน 5 หลัง หลักกิโลเมตรยักษ์ และซุ้มสุ่มไก่ ด้วยงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท แต่สภาพโดยรวมเป็นเพิงขายของริมทางหลังผ่านสี่แยกเท่านั้น
ภายหลังกรมทางหลวงขอคืนที่ดิน 9 ไร่ เพื่อทำทางแยกต่างระดับและวงเวียนสี่แยกอินโดจีน ทำให้ต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไป โครงการบูมสี่แยกอินโดจีนของจังหวัดพิษณุโลก และ อบจ.พิษณุโลก ก็ต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
ขณะเดียวกัน ยังมีภาคเอกชนเข้ามาลงทุนบริเวณสี่แยกอินโดจีน เช่น กลุ่มเซ็นทรัลก่อสร้างห้างไทวัสดุ สาขาพิษณุโลก เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 เป็นสาขาแรกในต่างจังหวัด และเป็นสาขาที่ 4 ของไทวัสดุ
แต่ถึงกระนั้น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พิษณุโลก กลับเลือกทำเลบริเวณถนนสิงหวัฒน์ (พิษณุโลก-สุโขทัย) ต.พลายชุมพล ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับสี่แยกอินโดจีนแทน เนื่องจากอยู่ใกล้ตัวเมืองพิษณุโลกมากกว่า
ส่วน นายเรวัตร พนาอุดมสิน เจ้าของกลุ่มคิงด้อมทัวร์ ที่ถือสัมปทานรถทัวร์ภาคเหนือและแท็กซี่ในจังหวัดพิษณุโลก ก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดพิษณุโลก แห่งที่ 2 (บขส.ใหม่) ใกล้สี่แยกอินโดจีนเช่นกัน
สถานีขนส่งแห่งใหม่ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2554 บนถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลก เนื้อที่ 10 ไร่ 12 ตารางวา โดยมี บริษัท ไทยอินโดจีนก่อสร้าง จำกัด ของนายเรวัตร เป็นผู้บริหารโครงการ ใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท
ตัวอาคารรองรับรถทัวร์สายเหนือที่ผ่านจังหวัดพิษณุโลก ราว 20 เส้นทาง หลังสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งเดิมเริ่มคับแคบ ก่อสร้างแล้วเสร็จเละเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2556
ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารพิษณุโลกเดิม ถูกถ่ายโอนเป็นของเทศบาลนครพิษณุโลก เมื่อมีข่าวจะย้ายเที่ยวรถทั้งหมดไปสถานีขนส่งแห่งใหม่ ผู้ประกอบการที่ค้าขาย เปิดห้องพักรายวัน และรถรับจ้างต่างๆ ไม่พอใจ ร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม
กระทั่งเดือนมกราคม 2557 สำนักงานขนส่งจังหวัดพิษณุโลก มีคำสั่งให้ย้ายรถโดยสารที่วิ่งทั้งภายในจังหวัดและระหว่างจังหวัดออกไปที่สถานีขนส่งแห่งใหม่ทั้งหมด ผู้ประกอบการจึงพากันขึ้นป้ายขาวดำประท้วงทั้งหมด
ภายหลังทางการจึงยอมให้ผู้ประกอบการเดินรถ ให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารได้ทั้งสถานีขนส่งเดิม และสถานีขนส่งแห่งใหม่ ซึ่งมีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่จอดเฉพาะสถานีขนส่งแห่งใหม่ เพราะสถานีขนส่งเดิมการจราจรติดขัด
สี่แยกอินโดจีนในวันนี้กำลังเปลี่ยนไป หลังกรมทางหลวงก่อสร้างทางแยกต่างระดับอินโดจีน โดยสร้างสะพานข้ามแยกตามแนวถนนพิษณุโลก-หล่มสัก และพัฒนาพื้นที่ว่างให้เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ เพื่อลดจุดตัดสัญญาณไฟจราจร
ก่อสร้างโดย บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) ใช้งบประมาณ 849.95 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา 16 กุมภาพันธ์ 2560 ได้รับการต่อสัญญาไปถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2562 คาดว่าปลายปี 2562 วงเวียนแยกอินโดจีนจะเสร็จสมบูรณ์
ทีแรกนักธุรกิจ-เจ้าของที่ดินแปลงใหญ่บริเวณสี่แยกอินโดจีน พร้อมพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้องศาลปกครองให้ระงับโครงการ ไม่เอาสะพานข้ามแยก แต่ต้องการอุโมงค์ทางลอด ออกแบบให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเมืองพิษณุโลก
แต่กรมทางหลวงชี้แจงว่า ถ้าจะให้ทำเป็นอุโมงค์ต้องใช้งบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท อีกทั้งออกแบบและเปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว สรุปว่ารูปแบบสะพานและวงเวียนเหมาะสมที่สุด เพราะไม่ต้องเวนคืนที่ดินและค่าก่อสร้างต่ำกว่า
ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ ที่ดินสี่แยกอินโดจีน ล้วนแล้วแต่ถูกครอบครองโดยนักธุรกิจในตัวเมืองพิษณุโลก และนักการเมืองท้องถิ่น ที่ผ่านมามีข่าวปั่นราคาที่ดิน โดยอ้างว่าจะมีทุนจีนแผ่นดินใหญ่มากว้านซื้อ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
สิ่งที่น่ารันทดก็คือ มีบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินตรงนี้ไปหลอกลวงชาวบ้าน
ปี 2552 นายโกวิท ยมนา อดีตสมาชิกสภา อบจ.ลพบุรี ทำตลาดสี่แยกอินโดจีน สร้างอาคารพาณิชย์ เนื้อที่กว่า 30 ไร่ แบ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 170 ห้อง ราคาห้องละ 3 ล้านบาท กับแผงลอย 4x6 เมตร 2,000 ล็อก ขายล็อกละ 3 แสนบาท
อ้างว่าโอนโฉนดได้ แบ่งกรรมสิทธิ์บนที่ดินแก่ผู้ซื้อได้แน่นอน วางเป้าพัฒนาเป็นตลาดผลไม้ ตลาดกลาง จุดพักรถ แถมยังอ้างว่าจะติดต่อรถทัวร์ชื่อดังมาแวะพัก จัดพื้นที่ไว้ 3 ไร่รองรับรถทัวร์ เชื่อมั่นว่าสี่แยกอินโดจีนเป็นทำเลทอง
ในตอนนั้น อบจ.พิษณุโลก กำลังบูมสี่แยกอินโดจันร่วมกับทางจังหวัด นำนักมวยชิงแชมป์โลกขึ้นเวทีเพื่อเรียกความสนใจ รวมทั้งเปิดตลาดสี่ภาค และร่วมกับหอการค้า-ภาคธุรกิจชาติต่างๆ เช่น ลาว จีน พม่า มาร่วมเปิดบูธ
พ่อค้าแม่ขาย-นักธุรกิจรายย่อยทั้งใน-นอกพื้นที่ เห็นโอกาสทองก็เลยตัดสินใจเข้าจับจอง-ผ่อนซื้ออาคารพาณิชย์ และแผงลอยกว่า 70 ราย แต่หลายรายจ่ายเงินครบตามสัญญาแล้ว กลับไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้
มารู้ภายหลังว่า ส.จ. คนนี้ ไม่ได้ยื่นขอจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน และไม่ยื่นแบ่งโฉนดตั้งแต่ต้น แถมยังนำที่ดิน อาคารพาณิชย์ แผงลอย ไปขายต่ออีกสอง-สามช่วง ความเสียหายรวมกันกว่า 100 ล้านบาท
ตำรวจกองปราบปราม เพิ่งจะจับกุม ส.จ.โกวิท ได้ที่ร้านตัดผมตลาดท่าหลวง อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 หลังศาลจังหวัดพิษณุโลกออกหมายจับไปเมื่อปี 2559 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
ส.จ.โกวิท อ้างว่า ไปซื้อที่ดินบริเวณสี่แยกอินโดจีน 30 ไร่ ในราคา 180 ล้านบาท โดยรวมหุ้นกันหลายคน นำมาแบ่งเป็นล็อกเพื่อทำตลาด ที่ดินบางส่วนโอนแล้ว แต่บางส่วนเป็นของหุ้นส่วนรายอื่น ไม่สามารถโอนมาให้ได้
แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ ตรวจสอบประวัติพบว่ามีหมายจับในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนอีกกว่า 10 คดี
ปัจจุบันอาคารพาณิชย์และอาคารเอนกประสงค์กว่า 30 ไร่ ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานนับสิบปี นอกจากจะเป็นทัศนอุจาดที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ยังเป็นบทเรียนถึงการสร้างกระแสเพื่อปั่นราคาที่ดินบริเวณสี่แยกแห่งนี้
บริเวณโดยรอบสี่แยกอินโดจีน ส่วนใหญ่ยังคงเป็นที่ดินว่างเปล่า ขณะที่เส้นทางคมนาคมพิษณุโลกเปลี่ยนไป มีถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลกด้านทิศเหนือ เป็นถนนวงแหวนไปยังจังหวัดอุตรดิตถ์ และ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ได้เช่นกัน
บางทีก็นึกคำถามในใจว่า เราจะมีสี่แยกอินโดจีนไว้ทำไม แม้อาจจะเป็นสัญลักษณ์ในการพัฒนาจังหวัดพิษณุโลกโดยรวมก็ตาม
แต่เมื่อดูสภาพพื้นที่สี่แยกจริงๆ มีเพียงเจ้าของที่ดินและบุคคลเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ส่วนประชาชนเป็นเพียงผลพลอยได้ ที่จะได้เห็น “แลนด์มาร์ค” แห่งใหม่เท่านั้น