ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Gifu ๑.๐ : กว่าจะถึงทาคะยะมะ ...
Alone in Gifu ๑.๑ : ตะลุย หมู่บ้านชาวฮิดะ Hida no sato
Alone in Gifu ๑.๒ : มรดกโลก Shirakawa go
Alone in Gifu ๑.๓ : Sanmachi เขาว่าที่นี่ Little Kyoto
Alone in Chubu : ข้าวหน้าทะเล สุดอลัง!! ที่ Kanazawa
Alone in Kyoto ๒.๐ : Nishi hongan ji วัดนี้ไม่ธรรมดา
Alone in Kyoto ๒.๑ : Nijo castle ที่นี่(เคย)มีปราสาท?
Alone in Kyoto ๒.๒ : ศาลเจ้า สำหรับสาวที่อยากสวย?
Alone in Gifu ๑.๔ : บุกปราสาทกิฟุ - ไหว้พระใหญ่ที่สุดในเมือง
Alone in Aichi ๑.๐ : ซากุระยามค่ำ ที่ปราสาทนาโกย่า
Alone in Aichi ๑.๑ : Inuyama jo ปราสาทดั้งเดิมที่ยังเหลือในญี่ปุ่น
Alone in Aichi ๑.๒ : ยล Atsuta Jingu ศาลเจ้าลำดับที่ ๒ ของญี่ปุ่น
๑ เมษายน ๒๕๕๙ : สถานีรถไฟใต้ดิน คากุโอะซัง (Kakuozan) เมืองนาโกย่า จ.ไอจิ
ถ้าพูดถึงวัดในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาแห่งนี้แน่นอนว่าจำนวนวัดล้วนมีมากมายไม่ต่างจากบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่ว่ามีอยู่วัดหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์กับบ้านเราเสียด้วย ที่เอ่ยมานี่ไม่ได้หมายถึงวัดไทยในญี่ปุ่น แต่นี่คือวัดญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่าง ๒ ชาติ นั่นก็คือ “วัดนิตไต” (Nittaiji) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีนี้นี่เอง
วันนี้ฝนค่อยข้างโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ทำให้การเดินทางยากลำบากสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเริ่มชินกับสภาวะเช่นนี้ อันที่จริงแล้ว ผมก็เพิ่งทราบว่า มีวัดสำคัญอย่างนี้อยู่ด้วยก็ตอนที่เริ่มศึกษาข้อมูลเมืองนาโกย่าอย่างจริงจัง และมันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมต้องดั้นด้นมาให้ได้ เราเดินจากปากซอยเข้ามาประมาณเกือบ ๑ กิโล ก็ถึงบริเวณหน้าวัด ที่ดูค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร

วัดนิตไต หรือ วัดคากุโอะซัง นิตไต สร้างขึ้นแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ เดิมชื่อ นิสเซนจิ เพื่อแสดงถึงสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่น กับ สยาม ส่วนชื่อใหม่นั้นเพิ่งมาเปลี่ยนหลังจากที่สยามเปลี่ยนชื่อประเทศ โดยมูลเหตุที่สร้างวัดนั้นเกิดมาจากเมื่อคราวที่สยามได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ในครานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปันพระบรมสารีริกธาตุไปยังประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
เมื่อทางรัฐบาลญี่ปุ่นทราบข่าว จึงได้ขอพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนด้วย โดยพระองค์ทรงเสด็จพระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง ในวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมพระราชทานพระพุทธรูปสำริดสมบัติชาติอายุกว่าพันปี และพระราชทรัพย์เพื่อสร้างวัดใหม่ด้วย โดยคณะสมณทูตได้กราบบังคมทูลว่า จะสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการรวมนิกายต่างๆ และเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อคณะสมณทูตญี่ปุ่นกลับมาจากสยาม จึงได้ปรึกษาหารือระหว่างนิกาย แล้วตกลงเลือกสร้างวัดที่เมืองนาโงยา เพราะชาวเมืองเรียกร้องต้องการมากที่สุด
วัดนี้จึงกลายเป็นวัดที่ไม่ขึ้นตรงกับนิกายใด โดยให้แต่ละนิกายสลับสับเปลี่ยนกันดูแลทุกๆ สามปี

ขณะที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนที่วัดแห่งนี้ โดย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จพระราชดำเนินในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่นเมื่อพ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในปี ๒๕๐๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินที่วัดนี้เช่นกัน และเมื่อปี ๒๕๓๐ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาทรงเปิดแพรคลุม “พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ที่ทางวัดได้จัดสร้างเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ด้วย
ถือว่าเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระบรมราชานุสาวรีย์ ของพระมหากษัตริย์ไทย แห่งเดียวในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

ในส่วนของสิ่งสำคัญอย่างพระบรมสารีริกธาตุนั้นบรรจุอยู่ในสถูปความสูงราว ๑๕ เมตร ออกแบบและสร้างศาสตราจารย์จุตะ อิโตะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว น่าเสียดายมากที่ผมไม่ได้เข้าไปสักการะเพราะหาไม่เจอ และเพิ่งทราบภายหลังว่าไม่ได้อยู่ภายในอาณาเขตเดียวกัน โดยประดิษฐานอยู่บนถนนอีกฝั่งหนึ่งทางด้านหลังของวัด
วัดนี้ถ้ามองผิวเผินนี่แทบจะไม่รู้เลยว่าเกี่ยวข้องกับเมืองไทยตรงไหน เพราะสถาปัตยกรรมต่างๆ ล้วนไปในทางญี่ปุ่นทั้งนั้น แต่เมื่อเข้ามาภายใน ตั้งแต่ซุ้มประตูที่มีพระพุทธรูปห่มผ้าแบบเถรวาทบ้านเรายืนอยู่ด้านหน้า พอมาถึงบริเวณวิหาร ด้านซ้ายมือจะเห็นเสา ๒ ต้น มีพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.ของรัชกาลที่ ๙ สลักไว้พร้อมจารึกภาษาญี่ปุ่น ส่วนด้านขวามีพระบรมราชนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ ประดิษฐานอยู่

ทางด้านพระวิหารใหม่นี้ เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธรูป ภปร. เพิ่มมาอีกหนึ่งองค์ พร้อมทั้งทรงเขียนลายพระราชหัตถ์เพื่อให้ช่างจารึกลงบนป้ายไม้ด้วยลายจำหลักทองชื่อ “พระพุทธศากยมุนี” โดยมีพระปรมาภิไธยย่อของพระองค์ และของรัชกาลที่ ๕ ประกอบอยู่ ๒ ด้านของแผ่นป้าย

ถือว่าโชคดีนิดๆ ตอนที่ผมเข้ามาได้มีโอกาสเห็นการทำพิธีของพระที่นี่พอดี เลยได้อยู่ฟังสวดในช่วงท้าย ซึ่งภายในวิหารก็ดูคล้ายกับวัดญี่ปุ่นทั่วไป เพียงแต่สิ่งสักการะเป็นพระพุทธรูปแบบสยาม ก็ดูแปลกจากที่อื่นดี ขณะที่ภายนอกของวิหาร ก็มีหอระฆัง ที่ระฆังสลักลายพระราชหัตถ์คำว่าพระพุทธศากยมุนี ของรัชกาลที่ ๙ พร้อมพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และ จปร.ประกบด้วย

ไม่ไกลกันนั้นเป็นเจดีย์ ๕ ชั้น ตรงนี้มีต้นซากุระจำนวนหนึ่งกำลังออกดอกให้ได้ชื่นชม แม้จะมีไม่มากแต่ก็ทำให้ชื่นใจในความงามไม่น้อย จะว่าไปหากเราไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์นี่ก็แทบไม่รู้เรื่องเลยว่าสยามกับญี่ปุ่นเรามีความสัมพันธ์เช่นนี้กันอยู่ด้วย และก็เชื่อว่านักท่องเที่ยวไทยหลายคนก็มิได้ทราบในสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้เช่นกัน... โดยทุกวันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปี ทางการไทยจะทำพิธีวางพวงมาลาเนื่งในวันปิยะมหาราช ขณะที่ทุกวันที่ ๒๑ เขาจะมีการจัดตลาดนัดกันที่บริเวณภายในวัดด้วย

พอพูดถึงดอกซากุระ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปตามล่าหาจุดชมดอกไม้ที่เขาว่าสวยอีกแห่งในนาโกย่า อยู่ริมคลองซะด้วย และนั่นคือจุดหมายต่อไปของเราในวันนี้ครับ
แต่ก่อนอื่นเผอิญทราบว่าแถวนี้มีร้านขนมอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง ชื่อว่า “เชส ชิบะตะ” (Chez Shibata) อยู่ห่างจากปากซอยทางเข้าวัดมาประมาณ ๑๐๐ เมตรได้ เป็นร้านขนมสไตล์ฝรั่งเศส พอเข้ามาภายในร้านนี่ดูไฮโซโก้หรูราวกับอยู่ร้านเค้กในสยามพารากอน ยังไงอย่างงั้น โต๊ะ เก้าอี้ ตกแต่งได้ไม่เหมาะสมกับคนอย่างผมเลย ฮ่าๆๆ แต่ก็ต้องลองกันดูครับ

ผมสั่งเค้กมา ๒ ก้อน อันแรกรูปทรงหัวใจสีแดง ชื่อว่า Coeur des bois. เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าอะไรไม่รู้แฮะ แต่มันเป็นเค้กสอดไส้แยมราสเบอร์รี่ ผสมลูกบลูเบอร์รี่ เนื้อที่หุ้มเป็นครีมเนื้อเนียน หอมมัน ไม่หวานเท่าไหร่ ส่วนฐานล่างเป็นเนื้อเค้กแน่นๆ รองรับ เออ ก็อร่อยดี อีกชิ้นนึงเป็นเค้กช็อกโกแลต ชื่อว่า Gaultier ดูเนียนๆ ข้างในเป็นช๊อคโกแลตหุ้มครีมรัมเรซิ่นที่อยู่ใจกลาง ส่วนฐานเป็นเค้กช๊อกโกแลตผสมข้าวพองและรองด้วยช๊อกโกแลตอยู่ด้านล่างสุด ส่วนยอดบนเป็นลูกเกดผสมเหล้า กลิ่นเหล้าแรงมาก ใครแพ้แอลกอฮอล์ไม่แนะนำ แต่รวมๆ ก็ขมๆ รสช๊อคโกแลตนมชัด บวกกับรสเหล้าก็อร่อยดี ค่าเสียหายชิ้นละ ๔๖๐ เยนครับ

จากร้านเค้กมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วนั่งต่อไปลงที่สถานีมิซุโฮะ อันโจะ นิชิ (Mizuho Undojo Nishi) ออกไปถนนยามะเตะกรีน แล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ ราวๆ ๑ กิโลเมตร ก็จะถึงจุดหมาย “เส้นทางชมซากุระริมคลองยามะซะกิงะวะ” (Yamazakigawa) อันที่จริงเส้นทางนี้มีความยาวน่าจะราว ๑ กิโลเมตร มีต้นทางอยู่ที่นี่ ส่วนปลายทางอยู่ที่สะพานอิชิคะวะ ซึ่งตรงนั้นสามารถเดินไปขึ้นสถานีรถไฟใต้ดินมิซุโฮะ คุยะกุโช (Mizuho Kuyakusho) ได้

โดยตลอดริมคลองสองฝากฝั่งนี้มีต้นซากุระหลายร้อยต้นเรียงรายเบ่งบานรอผู้คนให้มาชื่นชม แม้น้ำในคลองจะมีไม่มาก แถมฝนก็ยังพร่ำๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของดอกไม้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงนี้ยังมีบันไดที่สามารถลงไปเก็บบรรยากาศริมทางเดินภายในคลองได้อีกด้วย ผมเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานมิซุโฮะ หน้าสนามฟุตบอลปาโลมา มิซุโฮะ ก็เหลือบมองนาฬิกา โอ้ตายละ เวลาของผมเหลือน้อยลงเต็มที หากยังมัวอ้อยอิ่งจะไม่ทันได้ไปที่อื่นกันพอดี จึงหยุดอยู่เพียงแค่ตรงนี้ แค่ ๑ ใน ๓ ของพื้นที่ทั้งหมด และยังไปไม่ถึงจุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญอย่างสะพานไม้คานะเอะโกะ ที่เขาว่าเป็น ๑ ใน ๑๐๐ จุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นเลยด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ สำหรับผมแค่นี้ก็มีความสุขเพียงพอแล้ว


ผมกลับมาที่รถไฟใต้ดินสายเดิม มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดินโอสุ คันนง แน่นอนว่ามาที่นี่ก็คงต้องมาสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ “วัดโอสุ คันนง” (Osu Kannon) แลนด์มาร์กสำคัญของย่าน ซึ่งวัดนี้ตามประวัติว่าเดิมสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๘๖๗ ที่ย่านคุวะบะระ หรือ ฮาชิมะ ใน จ.กิฟุ ปัจจุบัน ก่อนที่จะย้ายมายังพื้นที่นี้เมื่อปี ๒๑๕๕ ในสมัยเอะโดะ โดยคำสั่งของโชกุนอิเอะยะสุ โทกุงะวะ หลังจากวัดแห่งเดิมได้ถูกน้ำท่วมทำลายเสียหาย

ความสำคัญของวัดนี้อีกอย่างก็คือ ภายในวิหารหลักนั้นเป็นแหล่งเก็บเอกสารโบราณทั้งภาษาญี่ปุ่นและจีนกว่า ๑๕,๐๐๐ ชิ้น ภายในหอสมุดชินปุกุจิ (Shinpukuji) ซึ่งหลายๆ ชิ้นก็เป็นทั้งสมบัติของชาติ และ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม หนึ่งในนั้นก็คือเอกสารฉบับคัดลอกของพงศาวดารโคจิกิ พงศาวดารญี่ปุ่นยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกด้วย

โดยวัดนี้ในช่วงยุคเมจิ ราวปี ๒๔๑๑ – ๒๔๕๕ ก็เคยถูกเพลิงไหม้ครั้งใหญ่จนได้รับความเสียหายอย่างหนักมาแล้ว ขณะที่ตัวอาคารของวัดในปัจจุบันนั้น เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๑๓

ที่นี่เปรียบเสมือนอีกแลนด์มาร์กหนึ่งของเมืองนาโกย่า แต่สำหรับผมที่มาเพราะสิ่งเดียวเลยครับ ภาพที่ใช้โฆษณางานคอสเพลย์ เวิร์ลด์ ซัมมิท ที่จัดในช่วงหน้าร้อนของทุกปี เขาใช้ที่นี่เป็นโลเคชั่นในภาพ ผมก็เลยอยากมาดู (ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวเลยนะ) ซึ่งภายในวัดเวลานี้ตอนเย็นแล้ว และฝนก็โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาสักการะรูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอิมภายในวิหารแบบไม่ขาดสาย

ขณะที่ภายในบริเวณวัดนั้น ก็มีบางสิ่งซ่อนอยู่ด้วยครับ ... ภายในอาณาเขตของย่านโอสุนี้ ได้มีการจัดการแสดงหุ่นกระบอกคาระกุริ (Karakuri ningyo) ที่ใส่เครื่องกลแสดงท่าทางประกอบกับเพลงและเสียงบรรยายตามจุดต่างๆ รวม ๓ จุด ระยะเวลาประมาณ ๓ นาที โดยเรื่องราวนั้นก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งที่วัดนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่มีการแสดงในชื่อชุด “Muneharu in Full Glory at Osu Kannon” บอกเล่าเรื่องราวของไดเมียวรุ่นที่ ๗ แห่งแคว้นโอวะริ มุเนะฮะรุ โทกุงะวะ ส่วนอีก ๒ จุดก็มีที่วัดบันโชะ (Bansho ji) เป็นเรื่องราวของไดเมียวโนบุนะงะ โอะดะ กระทำการขว้างปาเครื่องธูปบูชากลางงานศพของพ่อตนเองภายในวัด และที่สุดท้าย อยู่บริเวณเกาะกลางสี่แยกใต้สะพานทางด่วน เป็นเรื่องของ ๓ ขุนพลผู้มีความสัมพันธ์กับเมืองนาโกย่า นั่นก็คือ โนะบุนะงะ ,ฮิเดะโยะชิ โทะโยะโทะมิ และ อิเอะยะสุ โดยแต่ละแห่งนั้นก็มีเวลาทำการแสดงไม่พร้อมกันประมาณ ๔ – ๕ รอบต่อวัน
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ... ผมไม่ได้ไปดูหรอกครับ กะเวลาไม่ทัน และถ้าไม่ได้อินจริงๆ ก็หาชมในยูทูบเอาได้
มาถึงส่วนนี้ดีกว่า แน่นอนว่าพอมีวัดใหญ่ก็ต้องมีตลาดใหญ่ อย่างที่นี่ย่านการค้าโอสุ ก็เคยมีความเจริญอย่างมากในยุคเอะโดะ จนเวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ปัจจุบันย่านการค้าเก่าได้แปรสภาพมาเป็นแหล่งช้อปปิ้งแบบใหม่ มีร้านค้ามากมาย ให้เลือกจับจ่ายกัน แต่ที่เคืองไม่น้อยก็คือ เขาโฆษณาว่าที่นี่คือย่านอากิฮะบะระแบบย่อมๆ ของนาโกย่าเลยนะ ไอ้เราก็เดินดู ไม่ยักกะเหมือนเลย แทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนให้ผมได้เลือกชมเลยแฮะ



โดยสัญลักษณ์ของที่นี่ก็คือ “เจ้าแมวกวัก มาเนะกิ” (maneki neko) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนที่เรียกว่า ฟุเระอะอิ พลาซ่า ผมลองเดินสำรวจแบบคร่าวๆ ในหลายจุด ที่นี่นอกจากร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ของฝาก ของที่ระลึก แล้วยังมีห้างขายเสื้อผ้ามือ ๒ ที่ชื่อ โคเมะเฮียว อยู่ด้วย รวมทั้งร้านรองเท้ายี่ห้อดังๆ ราคาถูกก็มีให้เลือกชมกัน แต่ที่น่าแปลกก็คือ แถวนี้ดูไม่คึกคักแบบที่ควรจะเป็นเลยครับ ไม่เหมือนกับย่านการค้าในแถบอื่นที่จะมีคนเดินกันให้ขวัก ก็เป็นอีกประสบการณ์นึงที่ได้เห็น

ผมเดินดูของจนเพลินๆ เดินเลอะเทอะไปเรื่อย จนได้ไปซื้อของฝาก อาทิ เครื่องสำอาง โฟมล้างหน้า และขนม ที่ร้านขายยาแห่งหนึ่งนอกย่านนี้ อย่างที่คนเคยเที่ยวญี่ปุ่นจะทราบดีกว่า ร้านพวกนี้จะขายของค่อนข้างถูก ก็เลยได้ของหิ้วกลับมา ๑ ถุงใหญ่เป็นภาระให้แบกไปกับเราอีกหลายชั่วโมง

ว่าแล้วก็ไปหาอะไรกินดีกว่าครับ ร้านแรกที่ผมจะไปลอง อยู่แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดินฟุชิมิ ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า ร้านนี้ชื่อว่า “ชิมะโชะ” (島正) เปิดมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๒ แล้ว ขายอาหารที่ต้มจากซุปมิโสะเข้มข้น โดยใช้ ฮัตโจะ มิโสะ (八丁味噌) ถั่วเหลืองหมักสูตรเฉพาะของจังหวัดเป็นตัวปรุง ภายในร้านเป็นบาร์เล็กๆ นั่งได้ประมาณ ๙ คน โชคดีเป็นของผมที่มีเก้าอี้ว่างพอดี เลยได้สั่ง

ตอนแรกเขาให้มาเป็นเซ็ต แต่ผมอยากกินแค่ไม่กี่อย่าง เลยพยายามสื่อสาร แต่ก็ค่อนข้างยากพอสมควรเพราะคนที่ร้านพูดอังกฤษไม่ได้เลย เคราะห์ดีที่เจ๊ข้างๆ ดันพูดอังกฤษได้ ก็เลยให้เขาช่วยอธิบายให้ สรุปก็คือได้ทาน เนื้อตุ๋นมิโสะ กับ ก้อนบุกตุ๋นมิโสะ สมใจ คราวนี้มาลองชิมกัน บุกค่อนข้างเป็นก้อนแข็งกัดให้ความรู้สึกกรึบๆ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรนะ น้ำตุ๋นออกเค็มกับมีรสขมนิดๆ ส่วนเนื้อนี่ไม่เค็มมาก แต่เคี้ยวง่ายดีอร่อยจริง ก็สมตำนานเขาล่ะ

แต่อย่างว่า สำหรับผมแค่นี้มันจะไปอิ่มอะไร เลยต้องตระเวนไปกินอีกร้านนึงครับ ที่นี่ก็ขายอาหารถิ่นเช่นกัน กับร้านที่ชื่อว่า “ยะมะโมะโตะยะ ฮนเต็ง” (山本屋本店) สาขาใหญ่ ที่นี่มีเมนูเด็ดอย่าง “อุด้ง มิโสะ” (味噌煮込みうどん) ของดีเมืองนาโกย่าให้ได้ลิ้มลองกัน เห็นว่าร้านนี้เปิดมานานหลายสิบปีแล้วด้วย ก็น่าจะดังพอสมควรเลยทีเดียว สภาพภายในร้านเป็นลักษณะคล้ายภัตตาคาร มีหลายโต๊ะรองรับลูกค้าอยู่ และแน่นอนว่า ราคาก็ต้องสูงตามไปด้วย

อย่างเช่นเมนูที่ผมสั่งนี้ โดนไปตั้ง ๙๕๐ เยน ยังไม่รวมภาษีอีกร้อยละ ๘ นะครับ ซึ่งใช้เวลารอไม่นานก๋วยเตี๋ยวอุด้งมิโสะแบบธรรมดาก็มาเสิร์ฟให้ได้ทานในชามดินเผาร้อนๆ ดูน่าทาน น้ำซุปสีน้ำตาลข้นขลั่กเสมือนใส่มิโสะเข้มข้นลงไป มีไข่ดิบตอกลงมากลางชามบนเส้นอุด้ง นอกจากนี้ก็มีต้นหอมญี่ปุ่น ฟองเต้าหู้ หอมหัวใหญ่ ชิมคำแรกนี่อื้อหือ.... ร้อนครับ ฮ่าๆๆ ต้องเป่าก่อนทาน น้ำซุปเป็นมิโสะที่ถูกเคี้ยวมาจนข้นและเค็มโคตรๆ ใครไม่ชอบอาหารเค็มคงมีเซ็งกันแน่ๆ ส่วนเส้นอุด้งร้านนี้แข็งแบบเหมือนเพิ่งเอาเส้นใส่ลงไปแล้วเสิร์ฟเลย หรือเขาอาจจะรอให้มันซึมซับน้ำไปเองก็ไม่น่าจะใส่ เพราะทานอยู่นานมันก็ยังคงแข็งอยู่เหมือนเดิม ... หรือเขากินกันแบบนี้??? แต่เอาเป็นว่าไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไหร่นัก

จุดสุดท้ายที่ผมจะไปตามหาของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็คือแลนด์มาร์กอีกแห่งของเมือง อย่าง “หอคอยนาโกย่าทีวี” (Nagoya Terebi to) โดยหอคอยนี้ถือว่าเป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างเสร็จเมื่อพ.ศ.๒๔๙๗ อยู่ใจกลางสวนสาธารณะฮิซะยะ โอะโดะริ มีความสูงรวม ๑๘๐ เมตร มีจุดชมวิว ๒ ชั้นบนความสูง ๑๐๐ เมตร ส่วนอาคารด้านล่างเป็นร้านอาหารและสถานที่แสดงผลงานทางศิลปะ ก็คงคล้ายกับที่โตเกียว หรือ โอซาก้า ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าไปดูอะไร ยืนถ่ายภาพรวมอยู่ข้างนอกดีกว่า ... น่าเสียดายนักที่แบตเตอรี่กล้องดีเอสแอลอาร์ดันหมดตั้งแต่เช้า มิเช่นนั้นคงถ่ายได้สวยกว่านี้แน่

แถวนี้นี่ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งและย่านธุรกิจที่สำคัญของเมือง ผู้คนจึงยังคงเดินกันขวักไขว่แม้จะดึกแล้วก็ตาม ... ส่วนผมนั้น นอกจากจะเดินหาซื้อของฝากแล้ว ก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้ ร้านคาเฟ่โคนันมาเปิดเป็นวันแรกนี่หน่า และที่สำคัญ มันอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ด้วยครับ ต้องแว่บไปเยือนสักหน่อย ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานียาบะโจะ เพื่อเข้าสู่ห้างนาโกย่า ปาร์โก้ (Nagoya Parco) ขึ้นลิฟท์ตรงไปสู่ชั้น ๘ เพื่อพบกับร้านอาหารที่ชื่อว่า “Detective CONAN CAFE” หรือ “คาเฟ่นักสืบโคนัน” การ์ตูนดังที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงตอนจบนั่นเอง
จริงๆ แล้ว ที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่ถาวรนะครับ แต่เขาเปิดขึ้นเฉพาะกิจในหลายเมืองของญี่ปุ่น เพื่อเฉลิมฉลองครบ ๒๐ ปี ของการ์ตูนเรื่องนี้ โดยที่นาโกย่าเขาก็เปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบโคนันได้มาลิ้มรสอาหารกันตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง วันที่ ๘ พฤษภาคม ก็แค่เดือนเดียวเอง นี่ถือเป็นโชคดีของผมที่ได้มาช่วงนี้พอดี ซึ่งด้านหน้าร้านก็ตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนจากเรื่องโคนันยอดนักสืบ มีที่นั่งให้อุ้มตุ๊กตาโคนันถ่ายภาพด้วย ส่วนภายในก็มีการตกแต่งด้วยโปสเตอร์ และฉายการ์ตูนโคนันผ่านจอโปรเจคเตอร์ให้ได้ชมกัน รวมทั้งมีขายของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

ส่วนเมนูอาหารก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ทั้งของคาวและหวาน สมกับเป็นร้านเฉพาะกิจจริงๆ ผมสั่งเมนูเบอร์เกอร์ด๊อกเตอร์อาคะสะ ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ที่อาหารครับ แต่เข้ามากินเพราะอยากได้ของที่ระลึกไปฝากน้องสาวผู้บ้าคลั่งการ์ตูนเรื่องนี้ คือเมื่อซื้อสินค้าภายในร้านจะได้สิทธิ์รับกล่องปริศนา ๑ กล่อง ภายในก็จะมีแผ่นป้ายตั้งโต๊ะอันเล็กๆ เป็นรูปตัวละคร ๑ ชิ้น แต่... เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะได้ตัวไหนครับ ต้องสุ่มจับเอา
แต่จะไม่พูดเรื่องอาหารก็คงไม่ได้สินะ เพราะสิ่งที่สั่งมามันคือเบอร์เกอร์ ยัดไส้ยากิโซบะเบคอน พร้อมเฟรนซ์ฟราย เออ อันนี้แปลกดี ตัวขนมปังประกบโคตรจะธรรมดา ส่วนยากิโซบะก็ตามมาตรฐานแบบญี่ปุ่นครับ แต่ไม่ได้เข้มข้นอะไร รวมๆ ถ้าไม่ติดว่าจะเอาไอ้กล่องปริศนานั่น สำหรับราคา ๑,๑๘๐ เยนไม่รวมภาษีขนาดนี้ คงหาของอร่อยกินได้ดีกว่าเยอะ ... แต่อย่างว่าครับ นี่มันโคนันคาเฟ่นะเฟ้ย ...

ปิดท้ายวันนี้ด้วยการกลับไปย่านซาคะเอะ ตระเวนหาซื้อของฝากอีกรอบหนึ่ง แล้วจึงกลับที่พัก ด้วยความอ่อนล้า อ่อนแรง เรียกได้ว่าอยู่กันจนคุ้มเลยทีเดียว
๒ เมษายน ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติจุบุเซ็นแทร์ เมืองนาโกย่า จ.ไอจิ
ได้เวลาบอกลาญี่ปุ่นอีกครั้งนึงแล้วครับ ...
เอาจริงๆ ผมก็แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะได้กลับมาที่ประเทศนี้อีกภายในเวลาปีกว่าๆ ทั้งที่เคยหมายมั่นว่าอีกสักสอง – สามปีจะมาใหม่ ถือว่าเร็วกว่ากำหนดพอสมควร และการมาครั้งนี้ก็ได้เห็นอะไรอีกเยอะเหมือนกัน ทั้งสภาพชนบท โบราณสถานแปลกใหม่ ความหนาวเย็นภายใต้อุณหภูมิ ๑ องศาที่ทาคะยะมะ ได้ลองแช่ออนเซ็นแก้ผ้าร่วมกับใครก็ไม่รู้ ได้คุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น ที่สำคัญคือ ได้กินของอร่อยมากกว่าเดิม เย่..
แต่สิ่งสำคัญก็คือ การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เราอยู่กับตัวเอง รู้จักตัวเองแล้ว มันทำให้เรากล้าที่จะตัดสินใจมากขึ้น แม้จะผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่อย่างน้อยก็คือทางที่เราเลือกเดิน และบางครั้งก็โชคดีที่ได้พบกับประสบการณ์ที่ดีกว่า ...
และยอมรับว่า ความงามของ ดอกซากุระ มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะกลับมาชื่นชมมันในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้อีกครั้ง ... แต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้สินะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ทนอ่านจนถึงประโยคนี้ และขอบคุณมากๆ สำหรับท่านที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้น ผมหวังว่าเรื่องเล่าไร้สาระของผมจะพอเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านได้บ้าง อย่างน้อยได้ความเพลิดเพลินก็ยังดี ^ ^ ส่วนการเดินทางครั้งต่อไปจะเป็นแห่งหนตำบลใดนั้น อีกไม่นานคงทราบกันครับ
ありがとうございます

ข้อมูลบางส่วน : http://www.nittaiji.jp/kakuouzan/index_en.html , http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=article&id=458&Itemid=60 , http://chez-shibata.com/ , http://kikuko-nagoya.com/html-map/map-yamazaki-gawa-hanami.html , http://inbound.nagoya-osu.com/en/ , http://www.japan-guide.com/e/e3306.html , http://www.ohsu.co.jp/kan_e.html, https://tabelog.com/aichi/A2301/A230102/23001853/ , http://yamamotoyahonten.co.jp/ , http://www.conancafe.jp/en/ ,วิกิพิเดีย
Alone in Gifu ๑.๐ : กว่าจะถึงทาคะยะมะ ...
Alone in Gifu ๑.๑ : ตะลุย หมู่บ้านชาวฮิดะ Hida no sato
Alone in Gifu ๑.๒ : มรดกโลก Shirakawa go
Alone in Gifu ๑.๓ : Sanmachi เขาว่าที่นี่ Little Kyoto
Alone in Chubu : ข้าวหน้าทะเล สุดอลัง!! ที่ Kanazawa
Alone in Kyoto ๒.๐ : Nishi hongan ji วัดนี้ไม่ธรรมดา
Alone in Kyoto ๒.๑ : Nijo castle ที่นี่(เคย)มีปราสาท?
Alone in Kyoto ๒.๒ : ศาลเจ้า สำหรับสาวที่อยากสวย?
Alone in Gifu ๑.๔ : บุกปราสาทกิฟุ - ไหว้พระใหญ่ที่สุดในเมือง
Alone in Aichi ๑.๐ : ซากุระยามค่ำ ที่ปราสาทนาโกย่า
Alone in Aichi ๑.๑ : Inuyama jo ปราสาทดั้งเดิมที่ยังเหลือในญี่ปุ่น
Alone in Aichi ๑.๒ : ยล Atsuta Jingu ศาลเจ้าลำดับที่ ๒ ของญี่ปุ่น
๑ เมษายน ๒๕๕๙ : สถานีรถไฟใต้ดิน คากุโอะซัง (Kakuozan) เมืองนาโกย่า จ.ไอจิ
ถ้าพูดถึงวัดในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาแห่งนี้แน่นอนว่าจำนวนวัดล้วนมีมากมายไม่ต่างจากบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่ว่ามีอยู่วัดหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์กับบ้านเราเสียด้วย ที่เอ่ยมานี่ไม่ได้หมายถึงวัดไทยในญี่ปุ่น แต่นี่คือวัดญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่าง ๒ ชาติ นั่นก็คือ “วัดนิตไต” (Nittaiji) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีนี้นี่เอง
วันนี้ฝนค่อยข้างโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ทำให้การเดินทางยากลำบากสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเริ่มชินกับสภาวะเช่นนี้ อันที่จริงแล้ว ผมก็เพิ่งทราบว่า มีวัดสำคัญอย่างนี้อยู่ด้วยก็ตอนที่เริ่มศึกษาข้อมูลเมืองนาโกย่าอย่างจริงจัง และมันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมต้องดั้นด้นมาให้ได้ เราเดินจากปากซอยเข้ามาประมาณเกือบ ๑ กิโล ก็ถึงบริเวณหน้าวัด ที่ดูค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร
วัดนิตไต หรือ วัดคากุโอะซัง นิตไต สร้างขึ้นแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ เดิมชื่อ นิสเซนจิ เพื่อแสดงถึงสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่น กับ สยาม ส่วนชื่อใหม่นั้นเพิ่งมาเปลี่ยนหลังจากที่สยามเปลี่ยนชื่อประเทศ โดยมูลเหตุที่สร้างวัดนั้นเกิดมาจากเมื่อคราวที่สยามได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ในครานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปันพระบรมสารีริกธาตุไปยังประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
เมื่อทางรัฐบาลญี่ปุ่นทราบข่าว จึงได้ขอพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนด้วย โดยพระองค์ทรงเสด็จพระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง ในวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมพระราชทานพระพุทธรูปสำริดสมบัติชาติอายุกว่าพันปี และพระราชทรัพย์เพื่อสร้างวัดใหม่ด้วย โดยคณะสมณทูตได้กราบบังคมทูลว่า จะสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการรวมนิกายต่างๆ และเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อคณะสมณทูตญี่ปุ่นกลับมาจากสยาม จึงได้ปรึกษาหารือระหว่างนิกาย แล้วตกลงเลือกสร้างวัดที่เมืองนาโงยา เพราะชาวเมืองเรียกร้องต้องการมากที่สุด
วัดนี้จึงกลายเป็นวัดที่ไม่ขึ้นตรงกับนิกายใด โดยให้แต่ละนิกายสลับสับเปลี่ยนกันดูแลทุกๆ สามปี
ขณะที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนที่วัดแห่งนี้ โดย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จพระราชดำเนินในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่นเมื่อพ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในปี ๒๕๐๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินที่วัดนี้เช่นกัน และเมื่อปี ๒๕๓๐ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาทรงเปิดแพรคลุม “พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ที่ทางวัดได้จัดสร้างเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ด้วย
ถือว่าเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระบรมราชานุสาวรีย์ ของพระมหากษัตริย์ไทย แห่งเดียวในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ในส่วนของสิ่งสำคัญอย่างพระบรมสารีริกธาตุนั้นบรรจุอยู่ในสถูปความสูงราว ๑๕ เมตร ออกแบบและสร้างศาสตราจารย์จุตะ อิโตะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว น่าเสียดายมากที่ผมไม่ได้เข้าไปสักการะเพราะหาไม่เจอ และเพิ่งทราบภายหลังว่าไม่ได้อยู่ภายในอาณาเขตเดียวกัน โดยประดิษฐานอยู่บนถนนอีกฝั่งหนึ่งทางด้านหลังของวัด
วัดนี้ถ้ามองผิวเผินนี่แทบจะไม่รู้เลยว่าเกี่ยวข้องกับเมืองไทยตรงไหน เพราะสถาปัตยกรรมต่างๆ ล้วนไปในทางญี่ปุ่นทั้งนั้น แต่เมื่อเข้ามาภายใน ตั้งแต่ซุ้มประตูที่มีพระพุทธรูปห่มผ้าแบบเถรวาทบ้านเรายืนอยู่ด้านหน้า พอมาถึงบริเวณวิหาร ด้านซ้ายมือจะเห็นเสา ๒ ต้น มีพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.ของรัชกาลที่ ๙ สลักไว้พร้อมจารึกภาษาญี่ปุ่น ส่วนด้านขวามีพระบรมราชนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ ประดิษฐานอยู่
ทางด้านพระวิหารใหม่นี้ เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธรูป ภปร. เพิ่มมาอีกหนึ่งองค์ พร้อมทั้งทรงเขียนลายพระราชหัตถ์เพื่อให้ช่างจารึกลงบนป้ายไม้ด้วยลายจำหลักทองชื่อ “พระพุทธศากยมุนี” โดยมีพระปรมาภิไธยย่อของพระองค์ และของรัชกาลที่ ๕ ประกอบอยู่ ๒ ด้านของแผ่นป้าย
ถือว่าโชคดีนิดๆ ตอนที่ผมเข้ามาได้มีโอกาสเห็นการทำพิธีของพระที่นี่พอดี เลยได้อยู่ฟังสวดในช่วงท้าย ซึ่งภายในวิหารก็ดูคล้ายกับวัดญี่ปุ่นทั่วไป เพียงแต่สิ่งสักการะเป็นพระพุทธรูปแบบสยาม ก็ดูแปลกจากที่อื่นดี ขณะที่ภายนอกของวิหาร ก็มีหอระฆัง ที่ระฆังสลักลายพระราชหัตถ์คำว่าพระพุทธศากยมุนี ของรัชกาลที่ ๙ พร้อมพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และ จปร.ประกบด้วย
ไม่ไกลกันนั้นเป็นเจดีย์ ๕ ชั้น ตรงนี้มีต้นซากุระจำนวนหนึ่งกำลังออกดอกให้ได้ชื่นชม แม้จะมีไม่มากแต่ก็ทำให้ชื่นใจในความงามไม่น้อย จะว่าไปหากเราไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์นี่ก็แทบไม่รู้เรื่องเลยว่าสยามกับญี่ปุ่นเรามีความสัมพันธ์เช่นนี้กันอยู่ด้วย และก็เชื่อว่านักท่องเที่ยวไทยหลายคนก็มิได้ทราบในสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้เช่นกัน... โดยทุกวันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปี ทางการไทยจะทำพิธีวางพวงมาลาเนื่งในวันปิยะมหาราช ขณะที่ทุกวันที่ ๒๑ เขาจะมีการจัดตลาดนัดกันที่บริเวณภายในวัดด้วย
พอพูดถึงดอกซากุระ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปตามล่าหาจุดชมดอกไม้ที่เขาว่าสวยอีกแห่งในนาโกย่า อยู่ริมคลองซะด้วย และนั่นคือจุดหมายต่อไปของเราในวันนี้ครับ
แต่ก่อนอื่นเผอิญทราบว่าแถวนี้มีร้านขนมอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง ชื่อว่า “เชส ชิบะตะ” (Chez Shibata) อยู่ห่างจากปากซอยทางเข้าวัดมาประมาณ ๑๐๐ เมตรได้ เป็นร้านขนมสไตล์ฝรั่งเศส พอเข้ามาภายในร้านนี่ดูไฮโซโก้หรูราวกับอยู่ร้านเค้กในสยามพารากอน ยังไงอย่างงั้น โต๊ะ เก้าอี้ ตกแต่งได้ไม่เหมาะสมกับคนอย่างผมเลย ฮ่าๆๆ แต่ก็ต้องลองกันดูครับ
ผมสั่งเค้กมา ๒ ก้อน อันแรกรูปทรงหัวใจสีแดง ชื่อว่า Coeur des bois. เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าอะไรไม่รู้แฮะ แต่มันเป็นเค้กสอดไส้แยมราสเบอร์รี่ ผสมลูกบลูเบอร์รี่ เนื้อที่หุ้มเป็นครีมเนื้อเนียน หอมมัน ไม่หวานเท่าไหร่ ส่วนฐานล่างเป็นเนื้อเค้กแน่นๆ รองรับ เออ ก็อร่อยดี อีกชิ้นนึงเป็นเค้กช็อกโกแลต ชื่อว่า Gaultier ดูเนียนๆ ข้างในเป็นช๊อคโกแลตหุ้มครีมรัมเรซิ่นที่อยู่ใจกลาง ส่วนฐานเป็นเค้กช๊อกโกแลตผสมข้าวพองและรองด้วยช๊อกโกแลตอยู่ด้านล่างสุด ส่วนยอดบนเป็นลูกเกดผสมเหล้า กลิ่นเหล้าแรงมาก ใครแพ้แอลกอฮอล์ไม่แนะนำ แต่รวมๆ ก็ขมๆ รสช๊อคโกแลตนมชัด บวกกับรสเหล้าก็อร่อยดี ค่าเสียหายชิ้นละ ๔๖๐ เยนครับ
จากร้านเค้กมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วนั่งต่อไปลงที่สถานีมิซุโฮะ อันโจะ นิชิ (Mizuho Undojo Nishi) ออกไปถนนยามะเตะกรีน แล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ ราวๆ ๑ กิโลเมตร ก็จะถึงจุดหมาย “เส้นทางชมซากุระริมคลองยามะซะกิงะวะ” (Yamazakigawa) อันที่จริงเส้นทางนี้มีความยาวน่าจะราว ๑ กิโลเมตร มีต้นทางอยู่ที่นี่ ส่วนปลายทางอยู่ที่สะพานอิชิคะวะ ซึ่งตรงนั้นสามารถเดินไปขึ้นสถานีรถไฟใต้ดินมิซุโฮะ คุยะกุโช (Mizuho Kuyakusho) ได้
โดยตลอดริมคลองสองฝากฝั่งนี้มีต้นซากุระหลายร้อยต้นเรียงรายเบ่งบานรอผู้คนให้มาชื่นชม แม้น้ำในคลองจะมีไม่มาก แถมฝนก็ยังพร่ำๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของดอกไม้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงนี้ยังมีบันไดที่สามารถลงไปเก็บบรรยากาศริมทางเดินภายในคลองได้อีกด้วย ผมเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานมิซุโฮะ หน้าสนามฟุตบอลปาโลมา มิซุโฮะ ก็เหลือบมองนาฬิกา โอ้ตายละ เวลาของผมเหลือน้อยลงเต็มที หากยังมัวอ้อยอิ่งจะไม่ทันได้ไปที่อื่นกันพอดี จึงหยุดอยู่เพียงแค่ตรงนี้ แค่ ๑ ใน ๓ ของพื้นที่ทั้งหมด และยังไปไม่ถึงจุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญอย่างสะพานไม้คานะเอะโกะ ที่เขาว่าเป็น ๑ ใน ๑๐๐ จุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นเลยด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ สำหรับผมแค่นี้ก็มีความสุขเพียงพอแล้ว
ผมกลับมาที่รถไฟใต้ดินสายเดิม มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดินโอสุ คันนง แน่นอนว่ามาที่นี่ก็คงต้องมาสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ “วัดโอสุ คันนง” (Osu Kannon) แลนด์มาร์กสำคัญของย่าน ซึ่งวัดนี้ตามประวัติว่าเดิมสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๘๖๗ ที่ย่านคุวะบะระ หรือ ฮาชิมะ ใน จ.กิฟุ ปัจจุบัน ก่อนที่จะย้ายมายังพื้นที่นี้เมื่อปี ๒๑๕๕ ในสมัยเอะโดะ โดยคำสั่งของโชกุนอิเอะยะสุ โทกุงะวะ หลังจากวัดแห่งเดิมได้ถูกน้ำท่วมทำลายเสียหาย
ความสำคัญของวัดนี้อีกอย่างก็คือ ภายในวิหารหลักนั้นเป็นแหล่งเก็บเอกสารโบราณทั้งภาษาญี่ปุ่นและจีนกว่า ๑๕,๐๐๐ ชิ้น ภายในหอสมุดชินปุกุจิ (Shinpukuji) ซึ่งหลายๆ ชิ้นก็เป็นทั้งสมบัติของชาติ และ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม หนึ่งในนั้นก็คือเอกสารฉบับคัดลอกของพงศาวดารโคจิกิ พงศาวดารญี่ปุ่นยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกด้วย
โดยวัดนี้ในช่วงยุคเมจิ ราวปี ๒๔๑๑ – ๒๔๕๕ ก็เคยถูกเพลิงไหม้ครั้งใหญ่จนได้รับความเสียหายอย่างหนักมาแล้ว ขณะที่ตัวอาคารของวัดในปัจจุบันนั้น เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๑๓
ที่นี่เปรียบเสมือนอีกแลนด์มาร์กหนึ่งของเมืองนาโกย่า แต่สำหรับผมที่มาเพราะสิ่งเดียวเลยครับ ภาพที่ใช้โฆษณางานคอสเพลย์ เวิร์ลด์ ซัมมิท ที่จัดในช่วงหน้าร้อนของทุกปี เขาใช้ที่นี่เป็นโลเคชั่นในภาพ ผมก็เลยอยากมาดู (ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวเลยนะ) ซึ่งภายในวัดเวลานี้ตอนเย็นแล้ว และฝนก็โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาสักการะรูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอิมภายในวิหารแบบไม่ขาดสาย
ขณะที่ภายในบริเวณวัดนั้น ก็มีบางสิ่งซ่อนอยู่ด้วยครับ ... ภายในอาณาเขตของย่านโอสุนี้ ได้มีการจัดการแสดงหุ่นกระบอกคาระกุริ (Karakuri ningyo) ที่ใส่เครื่องกลแสดงท่าทางประกอบกับเพลงและเสียงบรรยายตามจุดต่างๆ รวม ๓ จุด ระยะเวลาประมาณ ๓ นาที โดยเรื่องราวนั้นก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งที่วัดนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่มีการแสดงในชื่อชุด “Muneharu in Full Glory at Osu Kannon” บอกเล่าเรื่องราวของไดเมียวรุ่นที่ ๗ แห่งแคว้นโอวะริ มุเนะฮะรุ โทกุงะวะ ส่วนอีก ๒ จุดก็มีที่วัดบันโชะ (Bansho ji) เป็นเรื่องราวของไดเมียวโนบุนะงะ โอะดะ กระทำการขว้างปาเครื่องธูปบูชากลางงานศพของพ่อตนเองภายในวัด และที่สุดท้าย อยู่บริเวณเกาะกลางสี่แยกใต้สะพานทางด่วน เป็นเรื่องของ ๓ ขุนพลผู้มีความสัมพันธ์กับเมืองนาโกย่า นั่นก็คือ โนะบุนะงะ ,ฮิเดะโยะชิ โทะโยะโทะมิ และ อิเอะยะสุ โดยแต่ละแห่งนั้นก็มีเวลาทำการแสดงไม่พร้อมกันประมาณ ๔ – ๕ รอบต่อวัน
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ... ผมไม่ได้ไปดูหรอกครับ กะเวลาไม่ทัน และถ้าไม่ได้อินจริงๆ ก็หาชมในยูทูบเอาได้
มาถึงส่วนนี้ดีกว่า แน่นอนว่าพอมีวัดใหญ่ก็ต้องมีตลาดใหญ่ อย่างที่นี่ย่านการค้าโอสุ ก็เคยมีความเจริญอย่างมากในยุคเอะโดะ จนเวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ปัจจุบันย่านการค้าเก่าได้แปรสภาพมาเป็นแหล่งช้อปปิ้งแบบใหม่ มีร้านค้ามากมาย ให้เลือกจับจ่ายกัน แต่ที่เคืองไม่น้อยก็คือ เขาโฆษณาว่าที่นี่คือย่านอากิฮะบะระแบบย่อมๆ ของนาโกย่าเลยนะ ไอ้เราก็เดินดู ไม่ยักกะเหมือนเลย แทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนให้ผมได้เลือกชมเลยแฮะ
โดยสัญลักษณ์ของที่นี่ก็คือ “เจ้าแมวกวัก มาเนะกิ” (maneki neko) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนที่เรียกว่า ฟุเระอะอิ พลาซ่า ผมลองเดินสำรวจแบบคร่าวๆ ในหลายจุด ที่นี่นอกจากร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ของฝาก ของที่ระลึก แล้วยังมีห้างขายเสื้อผ้ามือ ๒ ที่ชื่อ โคเมะเฮียว อยู่ด้วย รวมทั้งร้านรองเท้ายี่ห้อดังๆ ราคาถูกก็มีให้เลือกชมกัน แต่ที่น่าแปลกก็คือ แถวนี้ดูไม่คึกคักแบบที่ควรจะเป็นเลยครับ ไม่เหมือนกับย่านการค้าในแถบอื่นที่จะมีคนเดินกันให้ขวัก ก็เป็นอีกประสบการณ์นึงที่ได้เห็น
ผมเดินดูของจนเพลินๆ เดินเลอะเทอะไปเรื่อย จนได้ไปซื้อของฝาก อาทิ เครื่องสำอาง โฟมล้างหน้า และขนม ที่ร้านขายยาแห่งหนึ่งนอกย่านนี้ อย่างที่คนเคยเที่ยวญี่ปุ่นจะทราบดีกว่า ร้านพวกนี้จะขายของค่อนข้างถูก ก็เลยได้ของหิ้วกลับมา ๑ ถุงใหญ่เป็นภาระให้แบกไปกับเราอีกหลายชั่วโมง
ว่าแล้วก็ไปหาอะไรกินดีกว่าครับ ร้านแรกที่ผมจะไปลอง อยู่แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดินฟุชิมิ ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า ร้านนี้ชื่อว่า “ชิมะโชะ” (島正) เปิดมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๒ แล้ว ขายอาหารที่ต้มจากซุปมิโสะเข้มข้น โดยใช้ ฮัตโจะ มิโสะ (八丁味噌) ถั่วเหลืองหมักสูตรเฉพาะของจังหวัดเป็นตัวปรุง ภายในร้านเป็นบาร์เล็กๆ นั่งได้ประมาณ ๙ คน โชคดีเป็นของผมที่มีเก้าอี้ว่างพอดี เลยได้สั่ง
ตอนแรกเขาให้มาเป็นเซ็ต แต่ผมอยากกินแค่ไม่กี่อย่าง เลยพยายามสื่อสาร แต่ก็ค่อนข้างยากพอสมควรเพราะคนที่ร้านพูดอังกฤษไม่ได้เลย เคราะห์ดีที่เจ๊ข้างๆ ดันพูดอังกฤษได้ ก็เลยให้เขาช่วยอธิบายให้ สรุปก็คือได้ทาน เนื้อตุ๋นมิโสะ กับ ก้อนบุกตุ๋นมิโสะ สมใจ คราวนี้มาลองชิมกัน บุกค่อนข้างเป็นก้อนแข็งกัดให้ความรู้สึกกรึบๆ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรนะ น้ำตุ๋นออกเค็มกับมีรสขมนิดๆ ส่วนเนื้อนี่ไม่เค็มมาก แต่เคี้ยวง่ายดีอร่อยจริง ก็สมตำนานเขาล่ะ
แต่อย่างว่า สำหรับผมแค่นี้มันจะไปอิ่มอะไร เลยต้องตระเวนไปกินอีกร้านนึงครับ ที่นี่ก็ขายอาหารถิ่นเช่นกัน กับร้านที่ชื่อว่า “ยะมะโมะโตะยะ ฮนเต็ง” (山本屋本店) สาขาใหญ่ ที่นี่มีเมนูเด็ดอย่าง “อุด้ง มิโสะ” (味噌煮込みうどん) ของดีเมืองนาโกย่าให้ได้ลิ้มลองกัน เห็นว่าร้านนี้เปิดมานานหลายสิบปีแล้วด้วย ก็น่าจะดังพอสมควรเลยทีเดียว สภาพภายในร้านเป็นลักษณะคล้ายภัตตาคาร มีหลายโต๊ะรองรับลูกค้าอยู่ และแน่นอนว่า ราคาก็ต้องสูงตามไปด้วย
อย่างเช่นเมนูที่ผมสั่งนี้ โดนไปตั้ง ๙๕๐ เยน ยังไม่รวมภาษีอีกร้อยละ ๘ นะครับ ซึ่งใช้เวลารอไม่นานก๋วยเตี๋ยวอุด้งมิโสะแบบธรรมดาก็มาเสิร์ฟให้ได้ทานในชามดินเผาร้อนๆ ดูน่าทาน น้ำซุปสีน้ำตาลข้นขลั่กเสมือนใส่มิโสะเข้มข้นลงไป มีไข่ดิบตอกลงมากลางชามบนเส้นอุด้ง นอกจากนี้ก็มีต้นหอมญี่ปุ่น ฟองเต้าหู้ หอมหัวใหญ่ ชิมคำแรกนี่อื้อหือ.... ร้อนครับ ฮ่าๆๆ ต้องเป่าก่อนทาน น้ำซุปเป็นมิโสะที่ถูกเคี้ยวมาจนข้นและเค็มโคตรๆ ใครไม่ชอบอาหารเค็มคงมีเซ็งกันแน่ๆ ส่วนเส้นอุด้งร้านนี้แข็งแบบเหมือนเพิ่งเอาเส้นใส่ลงไปแล้วเสิร์ฟเลย หรือเขาอาจจะรอให้มันซึมซับน้ำไปเองก็ไม่น่าจะใส่ เพราะทานอยู่นานมันก็ยังคงแข็งอยู่เหมือนเดิม ... หรือเขากินกันแบบนี้??? แต่เอาเป็นว่าไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไหร่นัก
จุดสุดท้ายที่ผมจะไปตามหาของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็คือแลนด์มาร์กอีกแห่งของเมือง อย่าง “หอคอยนาโกย่าทีวี” (Nagoya Terebi to) โดยหอคอยนี้ถือว่าเป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างเสร็จเมื่อพ.ศ.๒๔๙๗ อยู่ใจกลางสวนสาธารณะฮิซะยะ โอะโดะริ มีความสูงรวม ๑๘๐ เมตร มีจุดชมวิว ๒ ชั้นบนความสูง ๑๐๐ เมตร ส่วนอาคารด้านล่างเป็นร้านอาหารและสถานที่แสดงผลงานทางศิลปะ ก็คงคล้ายกับที่โตเกียว หรือ โอซาก้า ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าไปดูอะไร ยืนถ่ายภาพรวมอยู่ข้างนอกดีกว่า ... น่าเสียดายนักที่แบตเตอรี่กล้องดีเอสแอลอาร์ดันหมดตั้งแต่เช้า มิเช่นนั้นคงถ่ายได้สวยกว่านี้แน่
แถวนี้นี่ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งและย่านธุรกิจที่สำคัญของเมือง ผู้คนจึงยังคงเดินกันขวักไขว่แม้จะดึกแล้วก็ตาม ... ส่วนผมนั้น นอกจากจะเดินหาซื้อของฝากแล้ว ก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้ ร้านคาเฟ่โคนันมาเปิดเป็นวันแรกนี่หน่า และที่สำคัญ มันอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ด้วยครับ ต้องแว่บไปเยือนสักหน่อย ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานียาบะโจะ เพื่อเข้าสู่ห้างนาโกย่า ปาร์โก้ (Nagoya Parco) ขึ้นลิฟท์ตรงไปสู่ชั้น ๘ เพื่อพบกับร้านอาหารที่ชื่อว่า “Detective CONAN CAFE” หรือ “คาเฟ่นักสืบโคนัน” การ์ตูนดังที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงตอนจบนั่นเอง
จริงๆ แล้ว ที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่ถาวรนะครับ แต่เขาเปิดขึ้นเฉพาะกิจในหลายเมืองของญี่ปุ่น เพื่อเฉลิมฉลองครบ ๒๐ ปี ของการ์ตูนเรื่องนี้ โดยที่นาโกย่าเขาก็เปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบโคนันได้มาลิ้มรสอาหารกันตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง วันที่ ๘ พฤษภาคม ก็แค่เดือนเดียวเอง นี่ถือเป็นโชคดีของผมที่ได้มาช่วงนี้พอดี ซึ่งด้านหน้าร้านก็ตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนจากเรื่องโคนันยอดนักสืบ มีที่นั่งให้อุ้มตุ๊กตาโคนันถ่ายภาพด้วย ส่วนภายในก็มีการตกแต่งด้วยโปสเตอร์ และฉายการ์ตูนโคนันผ่านจอโปรเจคเตอร์ให้ได้ชมกัน รวมทั้งมีขายของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
ส่วนเมนูอาหารก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ทั้งของคาวและหวาน สมกับเป็นร้านเฉพาะกิจจริงๆ ผมสั่งเมนูเบอร์เกอร์ด๊อกเตอร์อาคะสะ ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ที่อาหารครับ แต่เข้ามากินเพราะอยากได้ของที่ระลึกไปฝากน้องสาวผู้บ้าคลั่งการ์ตูนเรื่องนี้ คือเมื่อซื้อสินค้าภายในร้านจะได้สิทธิ์รับกล่องปริศนา ๑ กล่อง ภายในก็จะมีแผ่นป้ายตั้งโต๊ะอันเล็กๆ เป็นรูปตัวละคร ๑ ชิ้น แต่... เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะได้ตัวไหนครับ ต้องสุ่มจับเอา
แต่จะไม่พูดเรื่องอาหารก็คงไม่ได้สินะ เพราะสิ่งที่สั่งมามันคือเบอร์เกอร์ ยัดไส้ยากิโซบะเบคอน พร้อมเฟรนซ์ฟราย เออ อันนี้แปลกดี ตัวขนมปังประกบโคตรจะธรรมดา ส่วนยากิโซบะก็ตามมาตรฐานแบบญี่ปุ่นครับ แต่ไม่ได้เข้มข้นอะไร รวมๆ ถ้าไม่ติดว่าจะเอาไอ้กล่องปริศนานั่น สำหรับราคา ๑,๑๘๐ เยนไม่รวมภาษีขนาดนี้ คงหาของอร่อยกินได้ดีกว่าเยอะ ... แต่อย่างว่าครับ นี่มันโคนันคาเฟ่นะเฟ้ย ...
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการกลับไปย่านซาคะเอะ ตระเวนหาซื้อของฝากอีกรอบหนึ่ง แล้วจึงกลับที่พัก ด้วยความอ่อนล้า อ่อนแรง เรียกได้ว่าอยู่กันจนคุ้มเลยทีเดียว
๒ เมษายน ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติจุบุเซ็นแทร์ เมืองนาโกย่า จ.ไอจิ
ได้เวลาบอกลาญี่ปุ่นอีกครั้งนึงแล้วครับ ...
เอาจริงๆ ผมก็แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะได้กลับมาที่ประเทศนี้อีกภายในเวลาปีกว่าๆ ทั้งที่เคยหมายมั่นว่าอีกสักสอง – สามปีจะมาใหม่ ถือว่าเร็วกว่ากำหนดพอสมควร และการมาครั้งนี้ก็ได้เห็นอะไรอีกเยอะเหมือนกัน ทั้งสภาพชนบท โบราณสถานแปลกใหม่ ความหนาวเย็นภายใต้อุณหภูมิ ๑ องศาที่ทาคะยะมะ ได้ลองแช่ออนเซ็นแก้ผ้าร่วมกับใครก็ไม่รู้ ได้คุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น ที่สำคัญคือ ได้กินของอร่อยมากกว่าเดิม เย่..
แต่สิ่งสำคัญก็คือ การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เราอยู่กับตัวเอง รู้จักตัวเองแล้ว มันทำให้เรากล้าที่จะตัดสินใจมากขึ้น แม้จะผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่อย่างน้อยก็คือทางที่เราเลือกเดิน และบางครั้งก็โชคดีที่ได้พบกับประสบการณ์ที่ดีกว่า ...
และยอมรับว่า ความงามของ ดอกซากุระ มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะกลับมาชื่นชมมันในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้อีกครั้ง ... แต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้สินะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ทนอ่านจนถึงประโยคนี้ และขอบคุณมากๆ สำหรับท่านที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้น ผมหวังว่าเรื่องเล่าไร้สาระของผมจะพอเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านได้บ้าง อย่างน้อยได้ความเพลิดเพลินก็ยังดี ^ ^ ส่วนการเดินทางครั้งต่อไปจะเป็นแห่งหนตำบลใดนั้น อีกไม่นานคงทราบกันครับ
ありがとうございます
ข้อมูลบางส่วน : http://www.nittaiji.jp/kakuouzan/index_en.html , http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=article&id=458&Itemid=60 , http://chez-shibata.com/ , http://kikuko-nagoya.com/html-map/map-yamazaki-gawa-hanami.html , http://inbound.nagoya-osu.com/en/ , http://www.japan-guide.com/e/e3306.html , http://www.ohsu.co.jp/kan_e.html, https://tabelog.com/aichi/A2301/A230102/23001853/ , http://yamamotoyahonten.co.jp/ , http://www.conancafe.jp/en/ ,วิกิพิเดีย