xs
xsm
sm
md
lg

Alone in Aichi ๑.๐ : ซากุระยามค่ำ ที่ปราสาทนาโกย่า

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Gifu ๑.๐ : กว่าจะถึงทาคะยะมะ ...
Alone in Gifu ๑.๑ : ตะลุย หมู่บ้านชาวฮิดะ Hida no sato
Alone in Gifu ๑.๒ : มรดกโลก Shirakawa go
Alone in Gifu ๑.๓ : Sanmachi เขาว่าที่นี่ Little Kyoto
Alone in Chubu : ข้าวหน้าทะเล สุดอลัง!! ที่ Kanazawa
Alone in Kyoto ๒.๐ : Nishi hongan ji วัดนี้ไม่ธรรมดา
Alone in Kyoto ๒.๑ : Nijo castle ที่นี่(เคย)มีปราสาท?
Alone in Kyoto ๒.๒ : ศาลเจ้า สำหรับสาวที่อยากสวย?
Alone in Gifu ๑.๔ : บุกปราสาทกิฟุ - ไหว้พระใหญ่ที่สุดในเมือง

๓๐ มีนาคม ๒๕๕๙ : สถานีรถไฟเจอาร์กิฟุ จ.กิฟุ

คุณเคยขึ้นรถไฟผิดขบวนมั้ย? ...

จั่วหัวถามขึ้นแบบนี้ หลายคนคงเดาได้ว่า .......... นั่นล่ะครับท่านผู้ชม ... ผมขึ้นรถไฟผิดขบวนจริงๆ

อย่างที่ผมเกริ่นไว้เมื่อฉบับที่แล้วว่า ผมจะเดินทางไปยังปราสาทอินุยะมะ และแผนที่ผมวางไว้ก็คือนั่งรถไฟสายทะคะยะมะ – มิโนะ โอตะ เพื่อไปลงที่สถานีอุนุมะ แต่ด้วยความชิลมากไปจึงทำให้ผมตกรถขบวนนี้ และเผอิญผมก็สังเกตที่ป้ายเขียนกำกับว่า มีรถไฟด่วนพิเศษสาย ฮิดะ ไวด์วิว สามารถไปถึงได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลารถไฟมา ผมก็เลยโดดขึ้นอย่างเร่งรีบ ขึ้นไปโดยที่ไม่รู้ว่าที่นั่งแบบธรรมดาอยู่ที่ไหน ต้องเดินหาทีละตู้ๆ จนเจอเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปสอบถาม เขาก็ชี้ทาง และเราก็ถามประโยคนึงขึ้นมาว่า รถคันนี้ไปสถานีอุนุมะ ด้วยใช่มั้ย? เขาก็ตอบว่า มันผ่านแต่ไม่จอด ... ไม่จอด ก็หมายความว่า ลงไม่ได้ ซวยแล้วววววววววววววววววววววววววววววว

ผมเลยกลับมานั่งย้อนดูภาพตารางรถไฟที่ผมถ่ายเก็บไว้ ก็พบว่า ตรงสถานีอุนุมะมันทำสัญลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ต่างกับสถานีอื่นที่ทำสัญลักษณ์เป็นวงกลม อาจจะหมายถึงจอดเป็นบางขบวนหรืออย่างไรผมไม่แน่ใจนัก แต่ที่ชัวร์คือตอนนี้ปลายทางมันไม่ใช่สถานีนั้นอีกแล้ว ... และที่มันน่าแค้นใจก็คือ ... ระหว่างที่นั่งอยู่ก็มีเสียงตามสายประกาศบอกว่า ท่านผู้โดยสารกรุณามองทางซ้ายมือของท่าน ท่านจะเห็นปราสาทอินุยะมะ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา!! โอ้โห ... แล้วผมก็นั่งมองภาพปราสาทผ่านไปอย่างช้าๆ T-T

รถไฟจอดให้ผมลงที่สถานีมิโนะ โอะตะ ซึ่งห่างจากสถานีอุนุมะ ๒ ป้าย ถ้าเป็นป้ายรถเมล์ก็คงมีให้โบกขึ้นหรือเดินไปก็คงไม่ไกลนัก แต่นี่มันคนละเรื่องเลย ผมเดินข้ามมาอีกฝั่งเพื่อรอรถไฟกลับด้วยความเซ็งในความเขลาของตัวเอง แล้วจะไปไหนต่อละ นี่คือสิ่งที่ต้องคิดตามมาหลังแผนล่ม ถ้าจะไปยังที่เดิมก็คงไม่ทันเวลาทำการแล้ว ไปไหนดีล่ะ ... ไปตั้งต้นที่นาโกย่า ก่อนแล้วกัน

ระหว่างนั่งรถไฟกลับมายังเมืองศูนย์กลางของ จ.ไอจิ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ที่ปราสาทนาโกย่าช่วงนี้เขาเปิดให้ชมรอบเย็นเป็นพิเศษจนถึงสองทุ่ม ไปตอนนี้ก็น่าจะทันกาล โอเคสรุปตามนี้ (คิดเองเออเอง ไปคนเดียวจะถามใครได้เล่า ฮ่าๆๆ)

จากสถานีรถไฟเจอาร์นาโกย่า ผมเดินต่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน นั่งรถสายซะกุระโดะริ (Sakuradori Line) ไปที่สถานี ฮิซะยะโอะโดะริ (Hisayaodori) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย เมย์โจะ (ตามเข็มนาฬิกา) (Meijo Line(Clockwise)) ไปลงที่สถานีชิยะกุโชะ (Shiyakusho) เดินมาไม่ไกลนักก็ถึงสวนสาธารณะด้านนอกของปราสาท โดยปกติแล้วที่นี่จะเปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา ๙ โมงเช้า – ๔ โมงครึ่ง ตัวปราสาทเปิดถึงแค่ ๔ โมงเย็น แต่อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นการเปิดกรณีพิเศษ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาเที่ยวในเทศกาลชมดอกซากุระในยามเย็นที่เขาจัดขึ้นภายในนั้น

พอเราจ่ายค่าบัตรผ่านประตูในราคา ๕๐๐ เยนเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเล่นกัน แต่ทว่า สำหรับผมคงต้องรีบไปขึ้นชมภายในปราสาทเป็นสิ่งแรก เพราะเขาจะปิดไม่ให้เข้าชมหลังเวลา ๑๙.๓๐ น.และตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่ทว่า ... บรรยากาศตอนนี้กลับไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ชาวญี่ปุ่นยังคงเดินชมดอกไม้ พลางแวะเข้าซุ้มอาหารและเบียร์ที่จัดจำหน่ายไว้ให้ได้นั่งดื่มด่ำกับความงามของซากุระและสังสรรค์กับพวกพ้อง



ซึ่งแถวนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะพบอนุสาวรีย์ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหิน มือข้างหนึ่งถือหอกอีกข้างถือพัดเหมือนกำลังให้สัญญาณ เขาคือ คิโยะมะสะ คาโตะ (Kato Kiyomasa) ไดเมียวแห่งคุมะโมะโตะ ผู้คุมกำลังแรงงานขนย้ายหินมาสร้างปราสาทหลังนี้

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนข้ามสะพานเข้าประตูชั้นในเขตปราสาท ตรงนี้มีพระราชวังฮมมะรุ (Hommaru Palace) เป็นด่านแรก ซึ่งที่นี่ก็เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี ๒๕๕๒ และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๖๑ แต่ตอนนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมบางส่วน ผมกะว่าเดี๋ยวลงจากปราสาทค่อยแวะมาดูดีกว่า พอเดินเลาะไปเรื่อยๆ ก็มาถึงทางเข้าตัวปราสาทแล้วครับ

“ปราสาทนาโกย่า” (Nagoya jo) หลังที่เห็นนี่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จนเสร็จเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๐๒ หลังถูกกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดโจมตีจนไฟไหม้ปราสาทเสียหายในสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ.๒๔๘๘ ซึ่งปราสาทเดิมนั้นสร้างโดยคำสั่งของโชกุนอิเอะยะสุ โทะกุงะวะ เสร็จสิ้นในปี ๒๑๕๕ เพื่อรักษาจุดยุทธศาสตร์บนเส้นทางโทะไคโดะ และป้องกันการถูกโจมตีจากทางโอซาก้า แต่ว่า ปราสาทนี้ก็ไม่ใช่หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่นี้ครับ ก่อนหน้านี้ไดเมียว อุจิจิกะ อิมะงะวะ ( Imagawa Ujichika) ได้เป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทหลังแรกในปี ๒๐๖๘ ก่อนจะเสียชีวิตในปีถัดไป จากนั้นโนบุฮิเดะ โอดะ (Oda Nobuhide) ได้นำกองทัพเข้ายึดปราสาทจากลูกของอุจิจิกะจนสำเร็จ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ที่นี่เขาได้ให้กำเนิดทายาทที่ชื่อ โนบุนะงะ โอดะ ด้วย ต่อมาโนบุนะงะ ได้ย้ายไปยังปราสาทคิโยะสุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้ หลังจัดการปราบปรามน้องชายของตนสำเร็จ และราวปี ๒๑๒๕ ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างลง จนกระทั่งอิเอะยะสุมาสร้างหลังใหม่นั่นล่ะ


จุดแรกที่เราจะเข้าไปภายในปราสาท เราต้องเดินทะลุปราสาทหลังน้อยที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเสียก่อน ซึ่งปราสาทนี้มีทั้งหมด ๓ ชั้น โดยด้านข้างอาคารมีทางเดินล้อมที่ด้วยกำแพงยาวประมาณ ๓๐ เมตรเชื่อมระหว่างปราสาทหลังเล็กและหลังใหญ่ ผมคาดว่าน่าจะทำไว้เพื่อให้ศัตรูบุกเข้าถึงยากกระมัง แต่หลังจากสร้างเสร็จถ้าไม่นับสงครามโลกที่นี่ก็ไม่เคยถูกข้าศึกบุกมาทำลายเลย

ตัวปราสาทนี้อยู่ติดริมคูน้ำ มีทั้งหมด ๗ ชั้น ไม่รวมชั้นล่างสุดนะ ซึ่งชั้นนี้จัดแสดงหุ่นปั้นรูปปลาโลมาหัวมังกรสีทองที่เรียกว่า คินชะจิ (Kinshachi) ที่อยู่บนยอดจั่วของหลังคาปราสาทชั้นบนสุด แบบจำลองให้ได้ชมกัน รวมทั้งแบบจำลองของบ่อน้ำโอะงนสุย (Ogonsui Well) ด้วย ส่วนชั้นแรกและชั้นที่ ๒ เป็นนิทรรศการภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังของพระราชวังฮมมะรุ แบบจำลองโครงสร้างปราสาทที่ทำด้วยไม้ และโมเดลจำลองอาณาเขตปราสาทและเมืองนาโกย่า ภาพวาดโบราณ แผนผังปราสาท รวมทั้งเศษซากความเสียหายของปราสาทที่เกิดผลงานการทิ้งระเบิดของอเมริกา



ชั้นที่ ๓ จำลองห้อง ร้านค้า ร้านหนังสือ ร้านขายอาวุธ ของเมืองรอบปราสาท ซึ่งก็ทำออกมาได้น่าสนใจ ราวกับเราหลุดไปอยู่ในยุคเอโดะเลยทีเดียว ส่วนชั้น ๔ จัดแสดงอาวุธอย่างดาบ ปืน และชุดเกราะโบราณ ชั้น ๕ นี่เด็กๆ คงชอบกันนัก เพราะมีหุ่นจำลองปลาคินชะจิให้ได้ขึ้นไปปีนเล่นถ่ายรูป และยังได้ให้ออกแรงเป็นแรงงานลากหินไปสร้างปราสาทอีกด้วย ข้ามจากชั้น ๖ ที่ถูกปิดห้ามเข้าขึ้นสู่ชั้น ๗ ยอดปราสาท เป็นร้านขายของที่ระลึกและจุดชมวิวเมืองนาโกย่ายามค่ำคืน


หลังจากชมภายในปราสาทเสร็จสิ้น ก็เดินออกมาสู่ภายนอกมาทางด้านหลังของปราสาท เป็นลานหินที่มีการส่องไฟไปยังต้นซากุระ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมดอกของมันที่กำลังเบ่งบานในบรรยากาศยามค่ำคืน มันก็ดูสวยไปอีกแบบ แต่แค่รู้สึกว่าทำให้ได้ภาพถ่ายอันประทับใจนี้ยากจัง ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงมีชาวญี่ปุ่นเดินชมกันอยู่จำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มานั่งดื่มสังสรรค์กันใต้ต้นซากุระ ส่งเสียงเฮฮากันให้พอรู้ว่าขณะนี้สุราได้เข้าสู่ร่างกายของพวกเราในระดับนึงแล้ว




ผมเดินเลาะคูน้ำไปเรื่อยๆ จนถึงประตูทางเข้าอาณาเขตปราสาท ตอนนี้ร้านค้าที่ตั้งขายอาหารเริ่มเก็บหมดแล้ว ผู้คนก็ทยอยออกจากพื้นที่ ผมรีบจ้ำอ้าวข้ามสะพานกลับเข้าไปอีกครั้ง เพื่อหวังจะได้เข้าชมพระราชวังฮมมะรุ แต่ทว่าต้องพลาดหวัง เจ้าหน้าที่เหลือบดูนาฬิกา ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา ๑ ทุ่มเกือบจะครึ่ง แล้วก็หันมาบอกผมว่า ปิดแล้วค่ะ ... - -"

ไม่เป็นไรครับ ไว้รอให้เขาทำเสร็จสมบูรณ์แล้วค่อยเข้ามาดูก็ได้ (มั้ง) อันที่จริงในบริเวณปราสาทก็มีหลายสิ่งที่ไม่ได้ถูกเพลิงสงครามเผาทำลายและถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม อาทิ ซุ้มประตูทางเข้าเขตชั้นใน โอะโมะเตะ นิโนะมง (Omote ninomon) ,หอคอยด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นต้น แต่ระหว่างนี้ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ซึมซับความทรงจำกับปราสาทนาโกย่ายามค่ำที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมบ่อยครั้ง ต้องบอกว่า เสียดายไม่น้อยที่มาซะเย็น ถ้ามาเร็วกว่านี้คงได้สัมผัสบรรยากาศชมซากุระแบบชาวบ้านเขาได้มากกว่านี้ เดิน จนกระทั่งมีเสียงตามสายประกาศเป็นภาษาท้องถิ่น เหมือนจะบอกว่าหมดเวลาเยี่ยมชมแล้ว ผมจึงเดินออกมา

(แหม่.. พูดซะหล่อ จริงๆ คือ ... ผมหาทางออกทางเดิมไม่เจอครับ เดินมั่วเกือบจะไปออกประตูหลัก แล้วก็เอะใจ เลยมานั่งดูแผนที่พลางเปิดรูปย้อนหลังแล้วจึงนึกได้ว่า เฮ้ย ตรงนี้เราไม่ได้ผ่านมานิ จึงต้องเดินย้อนกลับไป เดินไป เดินมาจนเขาปิดปราสาทพอดี...)

ผมเดินอยู่บนถนนโอสึ (Otsu dori) ลงไปทางทิศใต้ มาเรื่อยๆ จนถึงย่านซาคะเอะ แหล่งช๊อปปิ้งที่โด่งดังของเมืองและสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน ระยะทางที่เดินมาก็เกือบ ๒ กิโลเมตรได้ และตอนนี้ก็เริ่มหิวเข้าแล้ว ซึ่งแถวนี้ก็มีร้านอาหารมากมายให้ได้เลือกชิม ผมไล่ดูร้านที่น่าสนใจในไกด์บุ๊กที่ผมทำขึ้นมาเอง แล้วก็เลือกทานร้านนี้ครับ ชื่อว่า “อุด้ง นิชิกิ” (うどん錦) อยู่บนถนนอิเซะ-มาจิ (ise-machi dori) ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่าขายอุด้ง แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ มันเป็น “อุด้งกะหรี่” ครับ

ทั้งร้านมีที่นั่งเพียงแค่หน้าบาร์ ซึ่งก็น่าจะบ่งบอกถึงความแคบของสถานที่ได้ และถ้าพูดถึงแกงกะหรี่ มาญี่ปุ่นก็ต้องนึกถึงกะหรี่สีน้ำตาลข้นๆ ใช่ไหมล่ะครับ แต่ของร้านนี้เป็นแกงกะหรี่สีเหลืองผงกะหรี่มากๆ เสิร์ฟมาแบบร้อนๆ เต็มชาม จนกลบเส้นอุด้งไปหมด พอตักขึ้นมาน้ำแกงข้นคลั่กเลยทีเดียว มีกลิ่นผงกะหรี่ฉุนแรงดี รสชาติเผ็ดร้อน เหมาะกับอากาศตอนนี้ที่ค่อนข้างเย็น นอกจากเส้นและน้ำในชามยังมีเต้าหู้ทอด กับ ต้นหอมญี่ปุ่นอยู่ด้วย ปกติผมจะไม่ชอบทานเต้าหู้ แต่สำหรับที่นี่มันอร่อยมาก โดยรวมสำหรับชามนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก ซัดซะจนน้ำแกงเกลี้ยงเลยทีเดียว (หรือเราหิวจัดก็เป็นได้)

ทานของคาวแล้ว ก็ต้องต่อด้วยของหวาน เอาจริงๆ ตั้งแต่มาที่นี่ผมมักจะเลือกทานไอศกรีมแท่งตามร้านสะดวกซื้อ อย่างแฟมิลี่มาร์ท เซเว่นอิเลฟเว่น หรือลอว์สัน เป็นส่วนใหญ่ เพราะบางชนิดเราไม่เคยเห็นในไทย หรือบางอย่างที่นี่ก็ถูกกว่าพอสมควร เช่นยี่ห้อ ฮาเกนดาส แต่คราวนี้เราจะไปกินอะไรกันล่ะ? ในลิสต์ของผมมันก็มีแต่อาหารคาวทั้งนั้น ผมเดินเล่นมาเรื่อยๆ จนถึงห้างดองกี้โฮเต้ (Don Quijote) อยู่หัวมุมสี่แยกตรงข้ามห้างซันไซน์ ซาคะเอะ ที่มีชิงช้าสวรรค์อยู่ด้านข้าง ซึ่งห้างสรรพสินค้านี้เขาก็มีสาขาอยู่หลายเมือง และดูจะเป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยวไทยอย่างยิ่ง เพราะสินค้าต่างราคาถูกและยังสามารถใช้สิทธิ์ซื้อในราคาปลอดภาษีได้ด้วย

แต่วันนี้ผมยังไม่ได้มาช๊อปปิ้งครับ จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่ชั้น ๖ ของอาคาร ที่นั่นมีสิ่งที่ผมอยากเข้าไปลองตั้งแต่ที่มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกแต่ไม่มีโอกาส มาคราวนี้ต้องไม่พลาด ... นั่นก็คือ การเข้าเมดคาเฟ่ครับ เมดคาเฟ่ก็คือร้านอาหารแบบที่มีสาวๆ วัยรุ่นหน้าตาน่ารักแต่งกายคอสเพลย์ในชุดคนรับใช้แบบฝรั่งเศส คอยเอาใจพูดคุยกับลูกค้า จุดเริ่มต้นของร้านประเภทนี้อยู่ที่เขตอากิฮะบะระ ในกรุงโตเกียว ซึ่งในเมืองไทยสมัยก่อนก็มีร้านที่ตึกไทม์ สแควร์ แถวอโศก น่าจะเป็นร้านแรกๆ เลยมั้งที่ทำธุรกิจนี้ ผมเคยแวะเข้าไปกินน้ำแข็งไสด้วย จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะไม่มีแล้วครับ มีแต่ของญี่ปุ่นที่มาเปิดสาขาในไทย นั่นก็คือร้าน “เมดดรีมอิน” (Maidreamin) เมดคาเฟ่เจ้าใหญ่ มีสาขามากมายในญี่ปุ่น ซึ่งร้านที่ผมจะเข้าไปก็เป็นหนึ่งในสาขาของเจ้านี้ครับ

แต่ก่อนจะเข้า ผมก็ไปยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้านก่อนครับ คือที่ร้านมีทางเข้าแคบๆ สามารถมองเห็นได้เพียงแค่โต๊ะเสิร์ฟอาหารเท่านั้น และหน้าร้านตอนนี้ก็ไม่มีพนักงานอยู่สักคน ผมยืนจนจะถอดใจสักพักก็มีสาวน้อยในชุดเมดเดินออกมา หน้าตาของเธอดูคาวาอี้ตามฉบับสาวญี่ปุ่น แต่รูปร่างจัดว่าอวบจนผิดจากที่ผมจินตนาการไว้ ไม่เป็นไรครับ อาจจะเป็นสไตล์ของสาขานี้ก็ได้ เธอมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ที่ผอมกว่าเธอ คนนี้หน้าตาคล้ายๆ กับคุณซานิ แชมป์เวทีอะแคเดมี่ แฟนเทเซีย หรือเอเอฟ สมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการ ทั้ง ๒ มาต้อนรับแบบงงๆ เพราะผมเป็นคนต่างชาติ น้องอวบ (นามสมมุติ) มีทักษะด้านภาษาอังกฤษหน่อย จึงพยายามอธิบายให้ทราบถึงกติกาของร้าน

จากการพูดคุยแบบงงๆ ทราบว่า ผมจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเป็นเงิน ๘๐๐ เยน และจะต้องสั่งอาหาร ๑ อย่างด้วย!! โอ้... เอางั้นเลยเหรอ ... แต่ไหนๆ ก็ต้องลองเข้าไปกันหน่อย ผมตอบตกลงเธอจึงพาเข้าไปในร้าน ภายในก็มีโต๊ะ เก้าอี้ ผนังวาดเป็นลายเหมือนหนังสือการ์ตูน มีเวทีเล็กๆ เอาไว้ทำไมไม่ทราบได้ และทั้งร้านมีลูกค้าอยู่โต๊ะเดียว ... ไม่ใช่ผมแน่ๆ ครับ เป็นบรรดาหนุ่มออฟฟิศกลุ่มใหญ่มานั่งสังสรรค์กัน เหมือนหัวหน้าพาลูกน้องมาเปิดหูเปิดตา แต่ดูท่าจะสลับกันมากกว่า เพราะหนุ่มรุ่นใหญ่บางคนดูจะตื่นตากับการกระทำของเด็กสาวไม่น้อย

กลับมาที่โต๊ะผม น้องให้ผมนั่งลง แล้วเอาเมนูอาหารมาให้ จากนั้นเธอก็นั่งคุกเข่า นำเทียนปลอมรูปหัวใจมาถือไว้ แล้วพูดภาษาท้องถิ่นให้นับ ๑ ,๒ ,๓ แล้วเธอก็เป่าเทียนนั้นจนมีไฟขึ้นมา ... โอ้... จากนั้นเธอก็ใส่หูกระต่ายให้ผม แล้วสอนว่าถ้าจะเรียกพวกเธอใช้งานให้กำมือ ๒ ข้าง ยกขึ้นมาขนาบข้างตา แล้วร้องคำว่า “เนี๊ยน เนี๊ยน” เธอก็จะเดินมาหาทันที .... (ขอความกรุณาทุกท่านอย่าคิดภาพหน้าผมทำท่าตาม มันอาจทำให้ทานข้าวไม่ลงได้) คือ .. แบบ นี่กูต้องทำใช่มั้ย? ผมอึ้งไป ๓ วินาที แล้วก็ใช้สุภาษิตที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เอาวะ ไม่มีใครรู้จักเราหรอก

แล้วเธอก็ปล่อยให้ผมเลือกเมนูอาหาร ก็มีทั้งอาหารคาวอย่างพวก ข้าวผัดห่อไข่ สปาเก็ตตี้ และของหวาน แต่ราคานี่ก็ไม่ใช่ว่าถูกเลยครับ พันเยนขึ้นไปทั้งนั้น ... คนอย่างผมก็เลยเลือกเมนูที่ถูกเกือบที่สุด นั่นคือ “ไอศกรีมพาร์เฟต์สตรอเบอร์รี่” (เหมาะกับหน้าตาผมมาก) รอไม่นานพวกเธอก็เอาไอติมมาเสิร์ฟ แต่เดี๋ยวก่อน ... ยังครับ ยังไม่ได้กินง่ายๆ เธอบอกว่า ต้องทำท่าก่อนกินด้วย!! เธอให้ผมยกมือทีละข้างค่อยๆ ประกอบกันเป็นรูปหัวใจ ตามจังหวะที่เธอพูด ก่อนจะให้นำมือรูปหัวใจนั้นส่องไปที่อาหาร เพื่อให้อร่อยขึ้น!! คุณพระ กูกำลังทำอัลลัยอยู่เนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย

จากนั้นเธอก็ไป ทั้งร้านมีเมดอยู่ ๓ คนครับ คอยผลัดเปลี่ยนดูแลลูกค้า คนที่ ๓ เพิ่งจะโผล่ออกมาตอนที่ผมนั่งไปสักพัก เธอหน้าตาและหุ่นดูดีกว่าเพื่อนๆ และดูยังเขินๆ กับสิ่งที่ทำอยู่ (พูดยังกับนายไม่เขินเลยสินะไอ้คุณดรงค์) ผมนั่งทานพลางนั่งขำกับพฤติกรรมที่หนุ่มออฟฟิศวัยดึกใส่หูกระต่ายเล่นกับสาวๆ ราวเหมือนพ่อกับลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแตะตัวกันได้นะครับ กฎสำคัญเลยคือห้ามแขกสัมผัสตัวเมด และอีกอย่างคือ ห้ามถ่ายรูปเมด ถ้าจะถ่ายต้องให้ทางร้านถ่าย และเสียค่าถ่ายรูปด้วยจ้า ...

เธอทั้ง ๓ แวะเวียนมาหาโต๊ะผมพอสมควร ส่วนใหญ่จะมาทำท่าเนี๊ยนๆ แล้วจากไป มีน้องอวบที่เดินมาคุยบ้าง ส่วนน้องคนที่ ๓ ก็ดูเหมือนพยายามอยากจะเข้ามาคุย แต่คงกลัวปัญหาเรื่องภาษาเลยยืนยิ้มให้ผมอย่างเดียว ตอนนี้มีลูกค้าผู้หญิงมาเพิ่มอีก ๑ โต๊ะ ส่วนชาวออฟฟิศได้อพยพออกจากร้านไปเป็นที่เรียบร้อย และกิจกรรมของที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่เสิร์ฟอาหารกับพูดคุยกับลูกค้าเท่านั้น พวกเธอยังมีโชว์ให้ดูด้วย!! ก่อนโชว์น้องซานิ ก็จะเดินขายแท่งไฟให้กับลูกค้า ผมทำเนียนปฏิเสธจนเธอแอบทำหน้านอยเล็กๆ พอขายเสร็จ ก็ควงน้องอวบ พากันขึ้นเวที แล้วเปิดเพลงดนตรีแดนซ์ๆ แนววงเอเคบี ๔๘ เต้นพร้อมร้องตามอย่างเต็มเหนี่ยว ประหนึ่งว่าเธอคือไอดอลสาวแห่งวงการบันเทิงญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ผมนั่งดูจนจบ ก็เช็กบิล ไม่แน่ใจว่าใช้เวลากับที่นี่ไปกี่นาทีกันนะ ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่แปลกใหม่ดีครับ แต่ถ้าให้มาเข้าที่มาบุญครอง ชั้น ๗ ก็คงจะรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนเรื่องรสชาติไอศกรีมนะเหรอ ... ช่างมันเถอะครับ ฮ่าๆๆๆ เหลือบดูเวลาก็คงถึงวาระที่ต้องกลับสู่ที่พักแถวสถานีรถไฟนาโกย่า เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเดินทางครั้งใหม่พรุ่งนี้ ... เจอจะอะไรอีกบ้างน้า?

อ่านต่อฉบับหน้า …

ข้อมูลบางส่วน : http://www.nagoyajo.city.nagoya.jp/13_english/index.html ,วิกิพีเดีย
กำลังโหลดความคิดเห็น