ท่านผู้อ่านมีอาการเหมือนผมบ้างไหมครับ ช่วงนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ มีอาการเบื่อข่าว ไม่ใช่เบื่อข้าวนะครับ เบื่อข่าวนี่แหละ ทั้งที่ตัวเองทำงานเกี่ยวข้องกับข่าวโดยตรง ด้วยหน้าที่การงาน ผมต้องอยู่กับข่าวแทบทุกวัน แทบทุกเวลา
โดยส่วนตัวแล้วผมว่าอาจจะมีเหตุผลมาจากช่วงนี้ ข่าวประเภทที่ฟู่ขึ้นมาเหมือนไฟลุกพรึ่บขึ้นแรงๆเร็วๆมาจากโซเชียลมีเดีย หรือประเภทที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าคลิปฉาว มีคนเข้ามาดู เข้ามาโพสต์ข้อความหรือคอมเมนท์เป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคนในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ดราม่ากันไป อีกไม่กี่วันต่อมาก็วูบผ่านไปเมื่อมีข่าวใหม่โผล่ขึ้นมาแทน
บางคนก็เรียกข่าวแบบนี้ว่าข่าวดราม่า ดราม่าหมายถึงละคร แต่เวลานี้คำว่าคราม่าที่พูดกันกลายเป็นคำสแลง หมายถึงการสร้างภาพ เสแสร้าง ทำอะไรเว่อร์ๆ เกินจริง หรือ มโนคิดเอาเอง ฯลฯ ออกอาการประมาณละครทีวีบ้านเราส่วนใหญ่ที่เวอรร์ๆเกินจริง
ในชีวิตจริงต้องขอสารภาพเลยว่าผมดูละครน้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ชอบการเขียนบทแบบน้ำเน่า ตบจูบ อะไรทำนองนี้ เรื่องดีๆมีสาระนานๆจะมีที เมื่อเจอเหตุการณ์ดราม่าหรือข่าวประเภทดราม่า ซึ่งเกิดขึ้นเข้ามาเป็นกระแสเป็นระลอกตลอดเวลา ผมถึงเซ็งๆและเบื่อหน่ายไม่ถูกจริตเสียจริงๆ
ก็ท่านผู้อ่านลองดูสิครับในรอบสัปดาห์หนึ่งจะมีเรื่องดราม่าเข้ามากี่เรื่อง อย่างช่วงนี้ก็มีอย่างน้อยสามสี่เรื่องเข้าไปแล้ว เริ่มจาก กราบรถกู ตามด้วยคอนดักเตอร์บนเครื่องบิน และล่าสุดก็นักพูดวีซ่าไม่ผ่าน ต่อมาด้วยการ์ดรุมกระทืบลูกนายพล.....
แต่ละเรื่องผมเชื่อว่าทุกคนคงได้อ่านได้ดูคลิป และได้ฟังคำอธิบายของแต่ละฝ่ายแต่ละคนในแต่ละเหตุการณ์กันไปแล้วนะครับ ผมคงไม่ต้องเล่าซ้ำว่าเรื่องไหนเกิดอะไรขึ้น จบอย่างไร ที่จริงผมเห็นใจคนที่ถูกทำร้าย คนที่เสียหาย แต่ผมว่า สังคมไทยกำลังป่วยขาดภูมิคุ้มกัน คนจำนวนมากเชื่ออะไรง่ายๆ ถูกชักจูงไปทางไหนได้ง่ายๆ ด่วนตัดสิน ด่วนสรุป รีบออกความเห็น ยังไม่ทันพินิจพิเคราะห์ เรื่องจริงเท็จเป็นอย่างไร หลายคนเสพติดดราม่าราวกับยาเสพติด บางคนอ่านไปก็ด่าไป บางคนอ่านไปเม้าท์ต่อกันอย่างสนุกปากกันไป จนบางเรื่องนี่กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปเลย ชนิดที่ว่าใครไม่รู้นี่เชยสุดๆ
ความดราม่านี่ผมว่ายกให้สังคมไทยจริงๆ ไม่ว่าใครจะทำดีทำชั่ว คนไทยเราหยิบมาเป็นเรื่องได้หมด บางเรื่องนอกจากจะไม่ควรดราม่ากันแล้ว ยังจบลงแบบโอละพ่อ หักมุมสุดๆก็มี รวมถึงประเภทพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนก็เยอะ บางเรื่องนี่เล่นเอาคนบางคนไม่มีที่ยืนในสังคม เจอเหยียบซะจมดิน ไม่ได้ลืมตาอ้าปากอีกเลย การแซงชั่นทางสังคม หรือการประจาน การลงโทษทางสังคม ถ้าลงโทษคนที่ผิดจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การลงโทษผิดคน ลงโทษคนไม่ผิด ไม่รู้ความจริงทั้งหมด ด่วนสรุปด่วนตัดสิน ผมว่าอันตรายมาก
เรื่องทำนองนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วง อย่างกรณีน้องที่ใส่รองเท้าผ้าใบขาดๆขึ้นรถไฟฟ้า แล้วคนเอาไปคิดว่าน้องติดกระจกหรือกล้องไปแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวๆ คนโพสต์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่การโพสต์อย่างไม่ยั้งคิดและไม่เช็คอะไรให้ดีก่อน ก็ทำให้น้องผู้ชายที่ถูกกล่าวหาและภาพถูกแชร์และส่งต่อๆไป เขากลายเป็นไอ้โรคจิตในสายตาคนมากมายโดยไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคนโพสต์ก็ดังสิเหมือนเป็นคนดีออกมาเตือนคนอื่น แต่สุดท้ายเป็นไงครับ จบหักมุมแบบนี้ ถามว่าน้องที่ถูกกล่าวหาเขาจะอยู่ในสังคมอย่างไร เมื่อเขาโดนตีตราคำว่าโรคจิตไปแล้ว
นอกจากคนที่ตกเป็นเหยื่อแบบนี้ ยังมีอีกพวกที่ชอบแถ แถจนสีข้างไม่เหลือเลยเช่นกัน อย่างดีเจที่ถอยรถชนเขาแล้วมาพูดโกหกหน้ากล้องว่าถูกเขาชน จนสุดท้ายก็โดนยึดใบขับขี่และโดนไล่ออกจากการเป็นดีเจ กรณีดีเจคนนี้คล้ายกับกรณีกราบรถกู ซึ่งอ้างว่าคู่กรณีชนแล้วหนี ไปกระชากคอเสื้อและชกเขาอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว หลักฐานจากคลิปที่ผู้เห็นเหตุการณ์ถ่ายไว้ ชี้ชัดว่าพูดจริงหรือโกหก จะกลบเกลื่อนสร้างภาพอย่างไรก็รอดยากละครับ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิ่งที่อยากพูดอยากเห็นคือ คนไทยที่เข้มแข็ง หรือคำที่พูดกันจนคุ้นเคย คือ สตรอง และสตรองทูเกทเธอร์ สังคมไทยจะเข้มแข็งได้ คนไทยต้องคิดเป็นวิเคราะห์เป็น ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ มีภูมิต้านทานต่อพิษภัยทางสังคม ทุกคนต้องมีสติให้มากๆครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ บางเรื่องอย่าด่วนตัดสินใจ ปักใจเชื่อ ว่าฝ่ายไหนผิด พิจารณาข้อมูลพยานหลักฐานกันให้รอบด้าน วิเคราะห์เหตุผลให้ชัดเจนก่อน ค่อยตัดสินใจดีกว่าครับ
พลังของเทคโนโลยียุคนี้สำคัญมาก ทุกคนมีกล้อง ทุกคนอัดคลิป ได้ถ่ายภาพได้ หากนำมาใช้ในทางที่ดี สร้างสรรค์เรื่องดีๆ ถ่ายทอดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มันก็ดีไปครับ แต่ถ้าเอามาใช้ในทางไม่ดี มันก็ส่งผลเป็นดาบสองคม ยิ่งสำหรับเหล่าคนดัง เซเลบ ไฮโซ ดารานักแสดง นักร้อง นักกีฬา ฯลฯที่สาธารณชนสนใจ การใช้สื่อโซเซี่ยลหรือเทคโนโลยี่เหล่านี้ต้องระมัดระวังรอบคอบ เพราะไม่ว่าคุณจะทำอะไรสังคมจับตาดูคุณอยู่ครับ มันทำให้คุณดังได้ มันก็ทำให้คุณดับได้ง่ายๆเหมือนกัน
ข่าวดราม่าเป็นอะไรที่มาไวไปไว ดราม่าหนึ่งเกิดขึ้น อีกดราม่าหนึ่งเกิดก็กลบดราม่าเรื่องเก่า วนไปแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด หลายเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็หายไปกับกาลเวลา บางเรื่องเกิดขึ้นและมีผลกระทบมากมาย บางเรื่องก็มีผลลัพท์ที่ดี ทำให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง แก้ไขให้ดีขึ้นก็มีเหมือนกัน
เนื่องจากช่วงนี้ยังคงอยู่ในช่วงถวายความอาลัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กันอยู่ แม้รายการทีวีและวิทยุเริ่มกลับมาปรกติแล้ว แต่พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ยังคงไว้ทุกข์สวมใส่ชุดดำ แทบทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าจะเดินตามรอยเท้าพ่อจะเป็นคนดี แต่หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แตกต่างจากปณิธานที่พูดกันทุกวัน จะเป็นคนดี อย่าดีแต่พูดอย่างเดียว ต้องทำด้วยสิครับ
โดยส่วนตัวแล้วผมว่าอาจจะมีเหตุผลมาจากช่วงนี้ ข่าวประเภทที่ฟู่ขึ้นมาเหมือนไฟลุกพรึ่บขึ้นแรงๆเร็วๆมาจากโซเชียลมีเดีย หรือประเภทที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าคลิปฉาว มีคนเข้ามาดู เข้ามาโพสต์ข้อความหรือคอมเมนท์เป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคนในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ดราม่ากันไป อีกไม่กี่วันต่อมาก็วูบผ่านไปเมื่อมีข่าวใหม่โผล่ขึ้นมาแทน
บางคนก็เรียกข่าวแบบนี้ว่าข่าวดราม่า ดราม่าหมายถึงละคร แต่เวลานี้คำว่าคราม่าที่พูดกันกลายเป็นคำสแลง หมายถึงการสร้างภาพ เสแสร้าง ทำอะไรเว่อร์ๆ เกินจริง หรือ มโนคิดเอาเอง ฯลฯ ออกอาการประมาณละครทีวีบ้านเราส่วนใหญ่ที่เวอรร์ๆเกินจริง
ในชีวิตจริงต้องขอสารภาพเลยว่าผมดูละครน้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ชอบการเขียนบทแบบน้ำเน่า ตบจูบ อะไรทำนองนี้ เรื่องดีๆมีสาระนานๆจะมีที เมื่อเจอเหตุการณ์ดราม่าหรือข่าวประเภทดราม่า ซึ่งเกิดขึ้นเข้ามาเป็นกระแสเป็นระลอกตลอดเวลา ผมถึงเซ็งๆและเบื่อหน่ายไม่ถูกจริตเสียจริงๆ
ก็ท่านผู้อ่านลองดูสิครับในรอบสัปดาห์หนึ่งจะมีเรื่องดราม่าเข้ามากี่เรื่อง อย่างช่วงนี้ก็มีอย่างน้อยสามสี่เรื่องเข้าไปแล้ว เริ่มจาก กราบรถกู ตามด้วยคอนดักเตอร์บนเครื่องบิน และล่าสุดก็นักพูดวีซ่าไม่ผ่าน ต่อมาด้วยการ์ดรุมกระทืบลูกนายพล.....
แต่ละเรื่องผมเชื่อว่าทุกคนคงได้อ่านได้ดูคลิป และได้ฟังคำอธิบายของแต่ละฝ่ายแต่ละคนในแต่ละเหตุการณ์กันไปแล้วนะครับ ผมคงไม่ต้องเล่าซ้ำว่าเรื่องไหนเกิดอะไรขึ้น จบอย่างไร ที่จริงผมเห็นใจคนที่ถูกทำร้าย คนที่เสียหาย แต่ผมว่า สังคมไทยกำลังป่วยขาดภูมิคุ้มกัน คนจำนวนมากเชื่ออะไรง่ายๆ ถูกชักจูงไปทางไหนได้ง่ายๆ ด่วนตัดสิน ด่วนสรุป รีบออกความเห็น ยังไม่ทันพินิจพิเคราะห์ เรื่องจริงเท็จเป็นอย่างไร หลายคนเสพติดดราม่าราวกับยาเสพติด บางคนอ่านไปก็ด่าไป บางคนอ่านไปเม้าท์ต่อกันอย่างสนุกปากกันไป จนบางเรื่องนี่กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปเลย ชนิดที่ว่าใครไม่รู้นี่เชยสุดๆ
ความดราม่านี่ผมว่ายกให้สังคมไทยจริงๆ ไม่ว่าใครจะทำดีทำชั่ว คนไทยเราหยิบมาเป็นเรื่องได้หมด บางเรื่องนอกจากจะไม่ควรดราม่ากันแล้ว ยังจบลงแบบโอละพ่อ หักมุมสุดๆก็มี รวมถึงประเภทพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนก็เยอะ บางเรื่องนี่เล่นเอาคนบางคนไม่มีที่ยืนในสังคม เจอเหยียบซะจมดิน ไม่ได้ลืมตาอ้าปากอีกเลย การแซงชั่นทางสังคม หรือการประจาน การลงโทษทางสังคม ถ้าลงโทษคนที่ผิดจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การลงโทษผิดคน ลงโทษคนไม่ผิด ไม่รู้ความจริงทั้งหมด ด่วนสรุปด่วนตัดสิน ผมว่าอันตรายมาก
เรื่องทำนองนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วง อย่างกรณีน้องที่ใส่รองเท้าผ้าใบขาดๆขึ้นรถไฟฟ้า แล้วคนเอาไปคิดว่าน้องติดกระจกหรือกล้องไปแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวๆ คนโพสต์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่การโพสต์อย่างไม่ยั้งคิดและไม่เช็คอะไรให้ดีก่อน ก็ทำให้น้องผู้ชายที่ถูกกล่าวหาและภาพถูกแชร์และส่งต่อๆไป เขากลายเป็นไอ้โรคจิตในสายตาคนมากมายโดยไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคนโพสต์ก็ดังสิเหมือนเป็นคนดีออกมาเตือนคนอื่น แต่สุดท้ายเป็นไงครับ จบหักมุมแบบนี้ ถามว่าน้องที่ถูกกล่าวหาเขาจะอยู่ในสังคมอย่างไร เมื่อเขาโดนตีตราคำว่าโรคจิตไปแล้ว
นอกจากคนที่ตกเป็นเหยื่อแบบนี้ ยังมีอีกพวกที่ชอบแถ แถจนสีข้างไม่เหลือเลยเช่นกัน อย่างดีเจที่ถอยรถชนเขาแล้วมาพูดโกหกหน้ากล้องว่าถูกเขาชน จนสุดท้ายก็โดนยึดใบขับขี่และโดนไล่ออกจากการเป็นดีเจ กรณีดีเจคนนี้คล้ายกับกรณีกราบรถกู ซึ่งอ้างว่าคู่กรณีชนแล้วหนี ไปกระชากคอเสื้อและชกเขาอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว หลักฐานจากคลิปที่ผู้เห็นเหตุการณ์ถ่ายไว้ ชี้ชัดว่าพูดจริงหรือโกหก จะกลบเกลื่อนสร้างภาพอย่างไรก็รอดยากละครับ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิ่งที่อยากพูดอยากเห็นคือ คนไทยที่เข้มแข็ง หรือคำที่พูดกันจนคุ้นเคย คือ สตรอง และสตรองทูเกทเธอร์ สังคมไทยจะเข้มแข็งได้ คนไทยต้องคิดเป็นวิเคราะห์เป็น ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ มีภูมิต้านทานต่อพิษภัยทางสังคม ทุกคนต้องมีสติให้มากๆครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ บางเรื่องอย่าด่วนตัดสินใจ ปักใจเชื่อ ว่าฝ่ายไหนผิด พิจารณาข้อมูลพยานหลักฐานกันให้รอบด้าน วิเคราะห์เหตุผลให้ชัดเจนก่อน ค่อยตัดสินใจดีกว่าครับ
พลังของเทคโนโลยียุคนี้สำคัญมาก ทุกคนมีกล้อง ทุกคนอัดคลิป ได้ถ่ายภาพได้ หากนำมาใช้ในทางที่ดี สร้างสรรค์เรื่องดีๆ ถ่ายทอดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มันก็ดีไปครับ แต่ถ้าเอามาใช้ในทางไม่ดี มันก็ส่งผลเป็นดาบสองคม ยิ่งสำหรับเหล่าคนดัง เซเลบ ไฮโซ ดารานักแสดง นักร้อง นักกีฬา ฯลฯที่สาธารณชนสนใจ การใช้สื่อโซเซี่ยลหรือเทคโนโลยี่เหล่านี้ต้องระมัดระวังรอบคอบ เพราะไม่ว่าคุณจะทำอะไรสังคมจับตาดูคุณอยู่ครับ มันทำให้คุณดังได้ มันก็ทำให้คุณดับได้ง่ายๆเหมือนกัน
ข่าวดราม่าเป็นอะไรที่มาไวไปไว ดราม่าหนึ่งเกิดขึ้น อีกดราม่าหนึ่งเกิดก็กลบดราม่าเรื่องเก่า วนไปแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด หลายเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็หายไปกับกาลเวลา บางเรื่องเกิดขึ้นและมีผลกระทบมากมาย บางเรื่องก็มีผลลัพท์ที่ดี ทำให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง แก้ไขให้ดีขึ้นก็มีเหมือนกัน
เนื่องจากช่วงนี้ยังคงอยู่ในช่วงถวายความอาลัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กันอยู่ แม้รายการทีวีและวิทยุเริ่มกลับมาปรกติแล้ว แต่พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ยังคงไว้ทุกข์สวมใส่ชุดดำ แทบทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าจะเดินตามรอยเท้าพ่อจะเป็นคนดี แต่หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แตกต่างจากปณิธานที่พูดกันทุกวัน จะเป็นคนดี อย่าดีแต่พูดอย่างเดียว ต้องทำด้วยสิครับ