xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อโลกสวิงขวา

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วหลังจากชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งการประท้วงในเมืองต่างๆ ก็มีอยู่ พร้อมทั้งรายงานของการละเมิดคนต่างชาติและมุสลิมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากผลการเลือกตั้งออกมาดังที่เห็น

ยิ่งนายทรัมป์ เลือกนายสตีเฟน แบนนอน เข้ามาเป็นทีมที่ปรึกษา ซึ่งคนนี้มีแนวโน้มไปทางขวาจัดชาตินิยมจ๋า จนกระทั่งข่าวการตั้งนายแบนนอนนี้ทำให้กลุ่มคู คลักซ์ แคลน ซึ่งเป็นขบวนการเหยียดผิวโดยคนขาวที่โด่งดังที่สุดถึงกับออกมาแสดงความยินดี

และพร้อมกับที่มีข่าวว่านายทรัมป์ได้ส่งคำขอให้ทีมที่ปรึกษาและลูกสาวลูกเขยของเขานั้นมีสิทธิเข้าถึงความลับชั้นสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย แม้จะมีการออกมาปฏิเสธกันภายหลัง แต่ทั้งหมดก็เป็นสัญญาณว่าต่อไปนี้การเมืองสหรัฐฯ เห็นจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ใครๆ ก็คาดเดาได้ยาก ซึ่งก็จะเป็น “บทเรียน” ไปพร้อมกับความหวาดหวั่นสั่นประสาทของชาวโลกต่อไปว่าประชาธิปไตยแบบอเมริกันชนจะพาประเทศของพวกเขา และคนทั้งโลกไปในทิศทางไหน

คือความเป็น “ขวา” ของทรัมป์จะขับเคลื่อนประเทศที่หลายคนเปรียบว่าเป็นหม้อต้มที่ผสมผสานของคนหลายเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อในเรื่องคุณค่าต่างๆ หลากหลายมากที่สุดได้อย่างไร

จากที่ได้เขียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตอนนี้แนวทางแบบขวาจัดกำลังมาแรงทั่วโลก ก็อยากจะขยายความต่อไปอีกหน่อย

ภาพของ “ฝ่ายขวา” อาจจะถูกมองว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมคร่ำครึ คลั่งชาติ หัวรุนแรง ไม่ยอมรับเรื่องความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตยอะไรไปบ้าง หรือแม้แต่ไม่ยอมรับใน “คุณค่า” ทางจริยธรรมแบบใหม่ๆ ของฝ่ายเสรีนิยม เช่น การทำแท้งแบบเสรีของฝ่ายเชื่อในทางเลือก (Pro-Choice) หรือการแต่งงานของชาวเพศเดียวกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นจุดแข็งหรือข้อดีของนโยบายแบบพวกขวานี้ก็คือ นโยบายแบบชาตินิยม และยึดถือการจัดการภายในประเทศเป็นหลัก มากกว่าแนวคิดที่ถือว่าประชาชนในโลกเป็นประชากรชาวโลกเช่นเดียวกันหมด มีคุณค่าบางอย่างที่ต้องรักษาไว้ร่วมกันคือค่านิยมแบบเสรีประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และโลกาภิวัตน์ที่สามารถเคลื่อนย้ายทุนและคนได้อย่างเสรีเหมือนโลกไม่มีพรมแดน

แนวความคิดแบบขวานั้นให้คุณค่ากับความเป็น “รัฐชาติ” มากกว่า และจะดำเนินนโยบายหรืออะไรก็ได้เพื่อประโยชน์และความเจริญของ “ชาติ” ตัวเองที่เป็นรูปธรรมมาก่อนคุณค่าเชิงนามธรรมประการอื่นๆ เช่นถ้าหากจะลงทุน ก็ต้องลงทุนในประเทศ ไม่เปิดเสรีรับคนต่างชาติเข้ามาง่ายๆ ซึ่งแนวคิดแบบนี้ก็คือจุดแข็ง คือผู้นำแบบขวาจัด จะมีภาพลักษณ์ออกมาเป็นคนรักชาติ รักแผ่นดิน รักคนในเชื้อชาติเดียวกันที่เป็นเจ้าของประเทศมากกว่าคนต่างชาติ ซึ่งประเด็นหลังนี้ออกจะเป็นเรื่องแบบดาบสองคม

เพราะ “ข้อดี” ของคุณค่าแบบโลกสมัยใหม่บางอย่าง เช่น เรื่องโลกาภิวัตน์หรือสิทธิมนุษยชนถ้าไม่มากเกินไปหรือถูกอ้างพร่ำเพรื่อก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่

การละเลยสิทธิมนุษยชนไปทั้งหมด ก็อาจจะก่อให้เกิดภาพอย่างที่เห็นในฟิลิปปินส์ขณะนี้หรือประเทศไทยในสมัยนายทักษิณ ชินวัตรที่มีการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดด้วยวิธีฆ่าตัดตอน ซึ่งแม้ว่าอาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลเร็ว แต่ก็เป็นอันตรายต่อผู้บริสุทธิ์ที่อาจจะถูกลูกหลงไปด้วย

แต่ก็ด้วยเหตุนี้แหละ เมื่อไรก็ตามที่สถานการณ์ในประเทศใดๆ เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือกำลังเสียเปรียบเพราะกระแสโลกหรือชาวต่างชาติ เช่น การย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ การที่ผู้อพยพเข้าเมืองก่อปัญหาหรือเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพ หรือเข้ามาแย่งเอาสวัสดิการที่ควรเป็นของคนในชาติมาแชร์เอาไป จนเกิดความรู้สึกว่าเจ้าของประเทศต้อง “ทำงานหาเลี้ยง” คนต่างด้าวหรือผู้อพยพ

สภาพความกดดันของคนในชาติที่รู้สึกว่าตัวเองควรจะเป็น “เจ้าของประเทศ” แบบนี้หากเกิดมากขึ้น และเป็นจังหวะที่มีการเลือกตั้ง พรรคที่ดำเนินนโยบายแบบขวาจัดชาตินิยมที่ถือโอกาสชูนโยบายขวาๆ จึงมีโอกาสรับชัยชนะได้ง่ายในสภาวการณ์เช่นนั้น เพราะคนที่คิดว่า “ชาติเราต้องมาก่อน” นั้นก็จะไปเทคะแนนเลือกให้พรรคนั้นคนนั้น

รวมทั้งบางครั้งความเคลื่อนไหวของฝ่าย “เสรีนิยมสมัยใหม่” จ๋ามากๆ จนกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกเชิงจริยธรรมและวัฒนธรรมของคนในประเทศที่อาจจะยังเป็นคน “หัวเก่า” อยู่ เช่น การออกมาเรียกร้องสิทธิของคนรักเพศเดียวกัน (ที่ในความรู้สึกทางวัฒนธรรมหรือศาสนาของคนส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนใหญ่ยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิด) หรือการอ้างสิทธิมนุษยชนจนทำอะไรแทบไม่ได้กับการแก้ปัญหาอาชญากรรม จนบางคนมองว่าสิทธิมนุษยชนมีไว้ปกป้องคนร้ายมากกว่าผู้บริสุทธิ์หรือประโยชน์ของประเทศชาติ

หรือการที่ในยุคหลังๆ กระแสโลกในการควบคุมการแสดงออกมีสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกต้องทางการเมือง” หรือ Political Correctness ที่ทำไปทำมาเหมือนเป็นข้อจำกัดในการแสดงออกถึงความรู้สึก เช่น การพูดว่าคนเชื้อชาติหรือสีผิวนี้มักจะก่อปัญหาทางอาชญากรรมก็เป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ (แม้ว่าในทางความเป็นจริงนั้นหลายคนก็ยอมรับ)

บางทีเรื่องมันก็อาจจะมาจากความสะใจง่ายๆ ที่ผู้คนจำนวนหนึ่งถูกห้ามพูดห้ามแสดงออกหรือต้องยอมรับในเรื่องความถูกต้องทางการเมืองต่างๆ นานาที่ตนก็ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น พอมีคนที่เป็นแนวเดียวกันมาพูดแทนแบบตรงไปตรงมาไม่สนใจเรื่องความถูกต้องทางการเมืองอะไรที่ว่า (เช่นที่ทรัมป์มทำบ่อยๆ บนเวทีการหาเสียงเลือกตั้งของเขา) ผู้คนที่รู้สึกว่ามีคนพูดแทนสิ่งที่ถูกกดไว้ด้วยค่านิยมดังกล่าวก็อาจจะสะใจและเทคะแนนให้

อีกประการที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทยเรา คือแนวคิดและการจัดการแบบฝ่ายขวาอีกอย่างหนึ่ง คือการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ของชาติตัวเอง

ดังนั้น เมื่อนายทรัมป์ซึ่งมีแนวทางดังกล่าวมาเป็นประธานาธิบดี จากการประเมินของหลายฝ่ายก็เชื่อว่า บทบาทของอเมริกันที่ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนไปทั่วโลก ก็คงจะค่อยๆ ลดลงไป และดำเนินนโยบายแบบเน้นการจัดการกิจการของประเทศตัวเองเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะทำให้ “ท่าที” ของทูตหรือเจ้าหน้าที่การต่างประเทศของสหรัฐฯ นั้นยุติหรือลดการ “แทรกแซง” เรื่องกิจการภายในของประเทศต่างๆ เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนแทนคนในประเทศนั้น

หรือพูดง่ายๆ ตรงๆ อีกทีก็คือว่า อเมริกาคงจะไม่เป็น “คุณพ่อ” ที่คอยหนุนหลังให้บรรดานักสิทธิมนุษยชนจ๋า ที่มีอะไรก็คาบไปฟ้องอีกแล้ว

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นักสิทธิมนุษยชนแบบไทยๆ จะต้องปรับตัวกันไป ในยุคของทรัมป์.
InClips:ทำเนียบขาวสารภาพเพิ่งรับ “เอกสาร MOU เปลี่ยนผ่านอำนาจ” จากทรัมป์ ล่าช้าจัด หลังลูกเขยทรัมป์ไล่ออก “คริส คริสตี” อดีตหน.ทีมทรัมป์ ล้างแค้น หลังเคยจับพ่อติดคุก
InClips:ทำเนียบขาวสารภาพเพิ่งรับ “เอกสาร MOU เปลี่ยนผ่านอำนาจ” จากทรัมป์ ล่าช้าจัด หลังลูกเขยทรัมป์ไล่ออก “คริส คริสตี” อดีตหน.ทีมทรัมป์ ล้างแค้น หลังเคยจับพ่อติดคุก
ทำเนียบขาวแถลงยอมรับเมื่อวานนี้(15 พ.ย) เพิ่งได้รับเอกสาร MOU เปลี่ยนผ่านอำนาจจากทีมของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ค่ำวันอังคาร(15 พ.ย) หลังจากล่าช้าหยุดดำเนินการขั้นตอนเปลี่ยนผ่านอำนาจใหม่ถึง 4 วัน สุดอึ้งเลือดสาดล้างแค้นคาทีมรับผิดชอบ จาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner)ลูกเขยทรัมป์ เชือดอดีตหัวหน้าทีม คริส คริสตี ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ถูกปลดฟ้าผ่าวันศุกร์(11 พ.ย)โยกว่าทีรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ ขึ้นแทน เบื้องหลังพบ พ่อคุชเนอร์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อเมริกัน ชาร์ลส์ คุชเนอร์(Charles Kushner) ถูกคริสตีสั่งฟ้องข้อหาเลี่ยงภาษีจนต้องติดคุก 2 ปี แต่กลับกลายเป็นว่าคริสตีเป็นคนลงนามร่วมกับทำเนียบขาวเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนผ่านก่อนถูกไล่ออก
กำลังโหลดความคิดเห็น