เมื่อวานผมเริ่มกระบวนการซ่อมบ้าน เมื่อเราใช้งานบ้านมาเกินสิบปี มันก็ต้องมีจุดเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะยามฝนมาเยือน หลังคาจะรั่ว กำแพงจะซึม ประตูหน้าต่างมีจุดเปราะบางที่โน่นที่นี่ให้ลมพาฝนรั่วเข้าบ้าน และส่วนใหญ่ผมก็มักจะต้องซ่อมช่วงหน้าฝนนี่แหละ ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนเรื่องตลก อ้าว ทำไมไม่ป้องกันไว้ก่อน แหม ก็แบบว่า ถ้าฝนไม่ตกมันก็ไม่รู้ว่าบ้านเรามันมีจุดอ่อนตรงไหน
เรื่องของเรื่องก็คือ มันก็ไม่รู้จะตรวจสอบอะไรอย่างไร ต่อให้ลองไล่ฉีดน้ำทั่วบ้านก็ไม่รู้ เพราะฝนนี่มาพร้อมลม และลมก็พัดไปเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนแถวทหาร บางทีพัดทางโน้น บางทีพัดย้อนทางนี้ พาน้ำฝนรั่วเข้าบ้านอย่างไร้ระเบียบไร้ทิศทาง อยู่เมืองไทยก็อย่างนี้ มันเลี่ยงไม่ได้หล่ะครับ ยังดีที่เมืองไทยเราไม่มีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
ผมจึงต้องมีผู้รับเหมาคู่ใจเตรียมพร้อมไว้เสมอ ก็ด้วยสถานการณ์เช่นที่ว่ามานี้ เมื่อวานก็ได้ฤกษ์เจอกันกับผู้รับเหมาอีกรอบ หลังจากห่างหายกันมาหลายปี โชคดีที่ผู้รับเหมาของผมไม่เปลี่ยนเบอร์มือถือ
พอเจอหน้า ประโยคแรกที่ผู้รับเหมาตอบมาหลังจากที่ผมเอ่ยทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ แกตอบว่า “อ๋อ ก็ยังจนอยู่เหมือนเดิมหล่ะครับ ถ้าผมรวยแล้วคุณเพชรคงไม่ได้เจอผม” แล้วแกก็หัวเราะฮ่าๆ
แกเล่าด้วยว่า นอกจากรับเหมาก่อสร้างตามอาชีพเดิม เวลาช่วงว่างๆ แกก็จะไปทำนาทำสวน ช่วงนี้เล่าด้วยว่ากำลังทดลองปลูกข้าวไรซ์เบอรี่เสียด้วย พร้อมกับอวดว่าปลอดสารเคมีเสียด้วย หากเกี่ยวเมื่อไรจะเอามาฝากผม แกพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ แกบอกด้วยว่า “เกษตรกรรมเนี่ยแหละครับอาชีพที่ยั่งยืนสุด แต่ต้องอดทนนะครับ ตอนแรกจะลำบากหน่อย แต่ถ้าอยู่ตัวแล้วจะสบาย ไม่เหมือนงานผู้รับเหมานี่หรอก รวยจนลำบากมากน้อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ คาดการณ์ไม่ได้หรอกครับ” ฟังดูแล้วก็ผมก็เห็นจริงเห็นงามตามแกไปด้วย
ผู้รับเหมาผมคนนี้แกเป็นคนน่ารัก ผมรู้จักมานาน แกนิสัยดี รับผิดชอบแม้งานเล็กๆ เวลาคุยกับแกแล้วแกชอบมีความคิดอะไรแบบที่ผมทึ่งได้เสมอ เมื่อวานนี้ก็นั่งรถไปกับแกเพื่อไปซื้อของที่ร้านขายวัสดุก่อสร้าง เราก็นั่งคุยไปตลอดทาง ได้คุยกันเยอะมาก มีข้อคิดอะไรต่างๆ มากมาย เพราะแกบ่นให้ฟังหลายเรื่อง ท่าทางจะไม่มีคนคุยด้วยนาน แกบ่นไม่หยุดไปตลอดทาง
เมื่อวานที่คุยกันมีเรื่องที่น่าสนใจก็คือ เรื่องที่แกต้องคอยอุ้มชูญาติต่างจังหวัด ช่วยเหลือเรื่องเงินๆ ทองๆ เวลากลับบ้าน แกบอกว่าแกไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างของคนสมัยนี้ แกเล่าว่า ญาติของแกไม่ยอมทำมาหากินเอง แกมีที่ให้ปลูกพืชเกษตร จะลงทุนเมล็ดพันธุ์และเครื่องมือให้ก็ไม่เอา แกบอกจะซื้อฝูงเป็ดไข่ไปให้พันตัวเพื่อไปเลี้ยงขายไข่ จะได้มีอาชีพหาเงินได้ ก็ไม่เอา ขนาดแกไปปลูกผักทิ้งไว้ บอกให้เก็บไปขายในตลาดสิ จะได้มีเงินใช้จ่าย ก็ไม่เอา ชีวิตประจำวันคือกินเหล้าและรอขอเงิน ได้เงินก็ไปกินเหล้า เมาตั้งแต่เช้าถึงเย็น
ผู้รับเหมาของผมแกเล่าว่า เวลาแกกลับบ้านในช่วงสิบปีหลังนี่ เห็นคนเป็นกันอย่างนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ หลายคนไม่ชอบทำงาน แต่ใช้วิธี “นั่งรอและขอเอา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่งรอขอนักการเมืองในพื้นที่นั่นแหละ ฟังแล้วก็กลุ้มแทน
แกบ่นต่อว่า อยู่เมืองไทยนี่เป็นคนจนที่ขยันทำงานนี่ซวยเหลือเกิน เพราะนอกจากจะต้องคอยดูแลญาติพี่น้องที่ส่วนใหญ่เป็นคนจนที่ไม่ชอบทำงานแล้ว ยังมีความยากลำบากในการทำความเข้าใจกับภาครัฐอีกต่างหาก ติดต่ออะไรก็ดูยุ่งยากไปหมดถ้าไม่มีเส้น
แกบ่นด้วยว่าแกของภาษีคืนเป็นปีแล้วยังไม่ได้เลย "แค่หมื่นกว่าบาทครับ มานั่งถามนู่นถามนี่ โธ่ ผมอยากจะบอกว่า คนจนที่เค้าทำงานเสียภาษีนี่เค้าไม่โกงหรอกครับ เค้าโกงไม่เป็น พวกเลี่ยงภาษีนี่มันคนรวยทั้งนั้น..." แกพูดแล้วก็หัวเราะขำ
คนจนที่ขยันทำงานอยู่ยาก เออ ...อาจจะจริงของแก
แต่คนชั้นกลางธรรมดาที่ไม่รวยอย่างผม ...ก็อยู่ไม่ง่ายเหมือนกัน นึกแล้วก็อดหัวเราะไปพร้อมกับแกเสียไม่ได้