xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ตัดสัญญาณ... รีโมทชีวิต ก่อนชีวิตพัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“พึงสงบปาก สงบคำ...
เพื่อความสุขสงบสันติภายใน”


คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เราต้องอวตารตัวเองกลายเป็นพระอิฐพระปูน ที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใด ไม่ว่าใครจะมาปฏิบัติต่อเราอย่างไร ก็ได้แต่นั่งยิ้มทำเป็นเมตตา ไม่ตอบโต้ต่อต้าน ทั้งที่แท้จริงแล้ว ภายในเดือดปุดๆ อยากจะปะทุออกมาให้เหมือนดั่งภูเขาไฟระเบิด

เรื่องอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกนั้น หากปล่อยให้มันถูกควบคุมด้วยสิ่งเร้าภายนอก เราก็ไม่ต่างจาก “หุ่นเชิด”ที่ถูกสถานการณ์ต่างๆ กดรีโมทคอนโทรลควบคุม ทั้งที่ความจริงแล้ว อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ มันอยู่ในตัวเรา และเราควรอยู่เหนือพวกมัน แต่การที่หลงเอาตนเองไปผูกติดกับมันนั่นแหละคือ “ปัญหา”

เคยไหม...ที่ จู่ๆเราโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เช่น พอเห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านไป แต่จำได้ว่า เขาเคยพูดไม่ดีกับเรา ทันใดนั้นรีโมทคอนโทรลก็ถูกกดโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้เราโกรธ หรืออารมณ์เสียขึ้นมาทันที

ในทางกลับกัน สมมติว่ามีผู้ร้ายคนหนึ่ง แอบเอาระเบิดเวลามาไว้ในตัวอาคารที่เราเป็นเจ้าของ แต่เราเกิดรู้ทันก่อนจึงโทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ เขารีบบอกวิธีการถอดชนวนระเบิดก่อนที่ผู้ร้ายคนนั้นจะได้ทันกดรีโมท

แต่เมื่อกดแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะระเบิดไม่ทำงาน ตึกไม่ระเบิด มันเกิดอะไรขึ้น...สัญญาณรีโมทไม่ทำงาน? ไม่ว่ามันจะกระหน่ำกดแค่ไหน ระเบิดก็ไม่ทำงาน และตึกไม่มีทางระเบิดอีกต่อไป นั่นเพราะสัญญาณจากรีโมทถูกตัดออกแล้วนั่นเอง

ร่างกายของเราก็ไม่ต่างจากตึกหลังนี้ และวิธีถอดชนวนไม่ให้รีโมทของโจรร้ายทำงานได้ก็คือ “สติปัญญา” สติจะเข้าสกัด แต่ปัญญาจะทำหน้าที่สืบค้นว่า ระเบิดถูกเก็บอยู่ตรงไหน ดังนั้น กุญแจก็คือ เราต้องหาให้พบว่า ระเบิดถูกซ่อนไว้ที่ใด?

ดร.เวย์น ไดเออร์
ปราชญ์ชาวตะวันตกแนะนำว่า “ถ้าคุณต้องการให้ส้มหนึ่งกิโลกับเพื่อนบ้าน เพื่อแสดงความรัก นั่นแสดงว่าคุณต้องเป็นเจ้าของส้มหนึ่งกิโลนั้นก่อน คุณถึงจะให้ออกไปได้ เช่นเดียวกัน คุณก็ไม่สามารถส่งความเกลียดโกรธออกไปได้ ถ้าคุณไม่มีความเกลียดโกรธอยู่ภายในตัวเอง จำไว้ว่าคุณไม่สามารถให้ผู้อื่นได้ถ้าคุณไม่มี

เปรียบเหมือนวิธีการคั้นน้ำส้ม เมื่อคุณบีบผลส้ม คุณก็จะได้น้ำส้มออกมาเสมอ ไม่ว่าใครจะเป็นคนคั้น หรือคั้นวันไหน หรือใช้เครื่องมืออะไร หรือเหตุการณ์รอบๆ ตัวตอนที่คั้นน้ำส้มเป็นอย่างไร สิ่งที่ออกมาก็คือสิ่งที่อยู่ภายในผลส้ม

เช่นเดียวกันเมื่อมีคนมาบีบตัวคุณ มากดดันคุณด้วยวิธีต่างๆ หรือพูดจาไม่ดี พูดเสียดสี แล้วคุณก็แสดงความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ออกไป นั่นเป็นเพราะ สิ่งเหล่านี้ยังอยู่ในตัวคุณ”


นี่คือ “กฎ” ที่เป็นจริงเสมอ หากเราเป็นส้มเน่า ถูกบีบออกมา ก็จะเป็นน้ำส้มที่กินไม่ได้ แต่ถ้าเราเป็นส้มดี ใครจะบีบจะคั้นอย่างไร มันก็จะมีแต่น้ำส้มดีๆ ที่คั้นออกมา ใครก็ดื่มกินได้เสมอ รวมทั้งตัวเราเองด้วย

ทางพุทธศาสนาไม่ต้องการให้เราเป็นส้มเน่า แต่ต้องการให้เราเป็นส้มดี ในยามที่ถูกสถานการณ์ต่างๆ บีบคั้นในทุกที่ทุกเวลา จึงแนะนำให้สงบกาย สงบวาจา เพื่อนำไปสู่ความสงบใจ

เพราะการที่เรานิ่งสงบ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ “สติปัญญา” ภายในหาวิธีการที่เหมาะสม มาจัดการกับปมความรู้สึกนี้


ดังเรื่องราวที่หยิบยกกันขึ้นมาเล่าเสมอก็คือ...

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยดี ขี้โกรธ พ่อของเขาจึงให้ตะปูมา 1 ถุง และบอกว่า “ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี หงุดหงิดอารมณ์เสีย หรือโกรธใครก็ตาม ให้ตอกตะปูหนึ่งตัวลงไปที่รั้วหลังบ้าน” เด็กชายทำหน้ามุ่ยพยักหน้ารับคำ

วันแรกผ่านไป เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 47 ตัว วันที่ 2, 3, 4 และแต่ละวันที่ผ่านไป จำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง เพราะเด็กน้อยเริ่มรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ มันง่ายกว่าการออกแรงตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว ใจก็เย็นมากขึ้น เด็กน้อยจึงเดินไปหาพ่อด้วยความดีใจ แล้วพูดว่า “พ่อครับ ผมคิดว่าตอนนี้คงไม่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะผมควบคุมตัวเองได้แล้ว”

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายจอมวีนว่า “ถ้าเป็นจริง ไหนลองพิสูจน์ให้พ่อดูหน่อย ทุกครั้งที่ลูกควบคุมตัวเองได้ ให้ถอนตะปูจากรั้วหลังบ้านออกทีละตัว” เด็กน้อยพยักหน้ารับคำ

วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัวๆ ในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนเกลี้ยง เด็กน้อยดีใจมากรีบแจ้นไปหาพ่อแล้วรายงานอย่างละเอียด

พ่อฟังจบไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกชายตรงไปที่รั้วนั้น แล้วบอก “ลูกทำได้ดีมากก็จริง แต่มองดูที่รั้วดีๆสิ เห็นมั้ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม มันมีรูพรุนเต็มไปหมดเลย จำไว้นะลูกรัก ก่อนที่เราจะระเบิดอารมณ์ออกไป ขอให้รู้ไว้ว่า มันเหมือนกับการเอามีดไปกรีด หรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า ขอโทษ..สักกี่ร้อยหน ร่องรอยแผลเป็น และความทรงจำ ก็ไม่อาจถูกลบเลือนไปจากเขาคนนั้นได้ วิธีที่ใช้ได้ผลสำหรับพ่อก็คือ เนื้อเพลงท่อนฮุค ที่ศิลปินสี่เต่าทอง The Beatles ร้องไว้ว่า Let it be”

“แปลว่าอะไรครับพ่อ?”

“ช่างมันเถอะ...ปล่อยมันไป”


ใน “จูฬราหุโลวาทสูตร” พระพุทธเจ้าตรัสสอนสามเณรราหุล ผู้เป็นโอรส ความโดยย่อว่า

“พิจารณาก่อนแล้วจึงกล่าว ถ้าวจีกรรมนี้ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น และเป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายนั้น วจีกรรมนี้จัดเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นผล เป็นวิบาก กรรมทางวาจานี้ เธออย่ากล่าวโดยเด็ดขาด เธอพึงละวจีกรรมนั้นเสีย

ในทางกลับกัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่า วจีกรรมนี้ กล่าวแล้วไม่ได้เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น วจีกรรมนี้จัดเป็นกุศล เธอพึงกล่าว พึงเพิ่มพูนวจีกรรมนี้ให้มาก”


ฉะนั้น ก่อนสถานการณ์ต่างๆที่บีบคั้นจะกดรีโมท เราควรมีสติควบคุมตัวเอง ให้อยู่ในความสงบ สำรวม ปิดปาก ปิดวาจาให้ดี คำหยาบคำใดที่ไม่เป็นมงคล อย่าปล่อยให้หลุดจากปากออกไป กัดลิ้นตัวเองไว้

เพราะข้อแรก กัดลิ้นตัวเอง เจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย แต่กล่าวคำร้ายออกไป จะสร้างศัตรูรอบทิศ ทำให้คนอื่นเกลียดโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญเขาจะคิดหาทางแก้แค้นเอาคืนอยู่ตลอด และเจ้าความคิดของเขานี่เอง มันเป็น“พลังงานลบ” อีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ส่งผลดีใดๆ กับความเจริญของชีวิตเรา

ข้อต่อมา มันมีโทษคือ สิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม อันเป็นอัปมงคล เป็นเสนียดจัญไร ความชั่วร้ายต่างๆ จะไหลถ่ายเทพลังงานลบมาสู่ผู้ที่กล่าวคำร้ายอยู่เป็นนิจ ดุจน้ำตกจากที่สูง ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ ฉันใดก็ฉันนั้น

เหตุนี้เอง พระพุทธองค์จึงแนะนำให้เรารักษาศีล ๕ ในขั้นพื้นฐานเป็นอย่างน้อย เพราะศีลห้าในข้อที่สี่ “มุสาวาท” คือ ไม่กล่าวคำหยาบ หรือคำโกหก ก็เพื่ออาศัยอำนาจของศีล ให้ช่วยคุ้มครอง เป็นเกราะคุ้มภัย เป็นปราการป้องกันพลังงานลบ หรือสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้ถ่ายเทพลังงานที่ไม่ดีเข้ามาสู่ตัวเราได้

พระท่านจึงกล่าวว่า “ศีลเป็นเกราะ เป็นกำแพง” คือเป็นเครื่องป้องกันกายใจเราให้ปลอดภัยจากสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคลนั่นเอง

ฉะนั้น ดังที่บอกข้างต้นแล้วว่า พึงสงบปาก สงบคำ ไม่กล่าวคำหยาบว่าร้ายแก่ใคร เพราะการกระทำเช่นนี้ ย่อมนำไปสู่ความสุขสงบสันติภายในอย่างยั่งยืนนั่นเอง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 189 กันยายน 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)
กำลังโหลดความคิดเห็น