มันกลับมาอีกแล้วครับ ...
ซีรี่ย์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของผม ในหัวข้อ Alone in ... (ตามด้วยชื่อจังหวัด) นี่ไม่ใช่ของค้างเติ่งจากงวดก่อน แต่เป็นการเดินทางครั้งใหม่ กับประเทศแรกที่ผมได้ไปเยือนเป็นครั้งที่ ๒ แน่นอนว่า หลายคนตั้งคำถาม ทำไมผมถึงกลับไปที่นี่ทั้งๆ ที่เพิ่งไปมาเมื่อปีกว่าๆ นี้เอง ... คุณดรงค์ ต้องติดใจอะไรแน่ๆ ... ธรรมชาติ สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ความทันสมัย อัธยาศัยของผู้คน หรือ ความงามของสตรี อะไรกันนะ
เอาจริงๆ ก็คือ ... เผอิญจองตั๋วได้ถูกครับ นี่เป็นเหตุผลแรกในการเดินทางครั้งนี้...
และอย่างที่เคยบอกก่อนที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่าน ทั้งหมดที่เขียนไม่ใช่เพื่อมารีวิว หรือเป็นกูรูเพราะมีผู้รู้เรื่องญี่ปุ่นมากกว่าผมเยอะ (ในยุคที่ใครๆ ก็ไปกันง่าย) แต่เป็นการเล่าถึงสิ่งที่ได้พบ เห็น สัมผัส จริงๆ ตลอดช่วงเวลาการเดินทางทั้งหมด ทั้งเรื่องโชคดี และความผิดหวัง ตามประสามนุษย์คนนึงที่ออกไปเที่ยวคนเดียว กับภาษาอังกฤษง่อยๆ ทั้งพลาดและผ่านเพื่อการเรียนรู้ใหม่ๆ อย่างที่ผมเขียนเหตุผลในใบลาพักร้อนว่า "ไปสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต"
สำหรับใครที่ว่าง หรือไม่ว่างแต่อยากอ่านซีรี่ย์ Alone in Japan ภาค ๑ ก็ไปตามอ่านได้ตามลิ้งก์ที่ปรากฏ
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
Alone in Osaka ๑.๐ : ของดีที่ ปราสาทโอซาก้า!!
Alone in Osaka ๑.๑ : สึเทนคะคุ หอคอยแห่งกาลเวลา
Alone in Osaka จบภาค ๑ : แล้วผมจะกลับมาใหม่ ... ณ ญี่ปุ่น
และต่อจากนี้ ... คือเรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ ....
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมได้มาเหยียบสนามบินอันดับ ๑ ของประเทศที่กว้างใหญ่แห่งนี้ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์พาผมมาถึงที่หมายราวๆ บ่าย สี่โมงเย็น ... ต้องขอบคุณน้องฮาวา ผู้สื่อข่าวประจำกองบรรณาธิการข่าวออนไลน์ ที่ให้อาศัยรถติดมาส่งลงที่สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งก์พญาไท ก่อนจะขึ้นรถไฟไปถึงสนามบิน
เออ... เดี๋ยวนะ แล้วผมมาทำบ้าอะไรตั้งแต่สี่โมงเย็นวะ!! เครื่องบินออกตั้งทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ? ...
คือเมื่อไม่กี่วันมานี้มันเพิ่งมาข่าวรถไฟเสีย ไอ้เราก็กลัวจะซ้ำรอย เลยมารอตั้งแต่ไก่โห่ กันไว้ดีกว่าแก้ ฉลาดล้ำโลกมาก ... สุดท้ายก็เดินแก่วแบกเป้สัมภาระเป็นไอ้บ้าหอบฟางเดินไปมาอยู่ภายในสนามบิน จนกว่าเขาจะเรียกให้ไปเช็กอินแล้วนำกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องได้
งวดที่แล้วผมโดยสารไปกับสายการบินไทยแอร์เชียเอ็กซ์ ส่วนงวดนี้ผมจองจากเว็บเอ็กซ์พีเดียเมื่อราวๆ เดือนธันวาคม เดินทางไปกลับกรุงเทพฯ - ญี่ปุ่น กับสายการบิน "เวียดนามแอร์ไลน์" ในราคาประมาณ ๘,๓๐๐ บาท แม้ราคาสูงกว่าเที่ยวบินงวดก่อนราวพันกว่าบาท แต่ก็ยังน่าสนใจอยู่เพราะเป็นการให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส รวมน้ำหนักกระเป๋า ๓๐ กิโลกรัม และอาหาร น้ำดื่มมีให้ ดูเหมือนจะคุ้มกว่าด้วยซ้ำ ... แต่ข้อเสียคือ มันต้องไปรอต่อเครื่องที่เวียดนามนั่นล่ะ ..
ปัญหาคือ ... ผมไม่เคยนั่งเครื่องบินแล้วไปต่อเครื่องอีกทีนึงเลย ... นี่คือประสบการณ์ใหม่ตั้งแต่เริ่มไปเลยทีเดียว
พอถึงเวลาเช็กอินผมก็ไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินนี้สามารถเช็กล่วงหน้าภายในเว็บไซต์เวียดนามแอร์ไลน์ หรือจะไปจองที่นั่งเอาหน้าตู้ก็ได้ ซึ่งผมพยายามจะทำอย่างแรกกะจะประหยัดเวลา แต่ก็ยังงงๆ สุดท้ายก็เลยต้องมายืนคุยหน้าตู้เหมือนเดิม มีพนักงานต้อนรับภาคพื้นจากสายการบินไทยมาปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกแทนแอร์กราวนด์ของสายการบินนี้ ทั้งถามว่าจะให้เช็กอินรวมไปถึงอีกสนามบินที่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องด้วยหรือไม่ และยังแนะนำที่นั่งที่มองเห็นทิวทัศน์ดีๆ ให้ด้วย
จากนั้นผมก็เดินเล่นไปเรื่อย หาอะไรกินรองท้องจากโรงอาหารราคาถูกชั้นล่างของสนามบิน แล้วเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปนั่งรอหน้าประตูทางขึ้นเครื่อง จนกระทั่งพนักงานเรียกให้เข้าไปซึ่งก็เลื่อนจากกำหนดเวลาเดินทางเดิมราวครึ่งชั่วโมง ลำนี้เป็นเครื่องบินแอร์บัส เอ ๓๒๑ ขนาดไม่ใหญ่นัก แบ่งเป็น ๒ แถว แถวละ ๓ ที่นั่ง พนักงานต้อนรับบนเครื่องใครที่เคยคิดว่า หน้าตาจะต้องประมาณน้องเอลลี่ น้องตุ๊กตา ที่หน้าอินโดจีนของเว็บผู้จัดการชอบนำเสนอนี่ขอให้ลบความทรงจำเช่นนั้นออกให้หมด ... คือ มันไม่ใช่เลยครับ แต่ละคนอายุราวๆ ไม่รุ่นผมก็รุ่นเดอะไปเลย ถ้าเป็นแอร์หนุ่มๆ จะดูเด็กกว่ามาก
เครื่องบินลำนี้พาผมไปสู่จุดหมายแรกนั่นคือ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนเมืองญวน (แต่มาแค่ต่อเครื่องนี่คงพูดไม่ได้เต็มปากว่ามาถึงถิ่นแล้ว) ระหว่างเดินทางก็มีการเสิร์ฟอาหารว่าง ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นแค่ขนมปังกับน้ำ แบบที่สายการบินต้นทุนต่ำบางยี่ห้อแจก แต่นี่ไม่ใช่ครับ จัดเป็นชุดสลัดมีแฮม ซาลามี่ ผลไม้ ขนมปัง เนย พร้อมน้ำมาให้ทาน โอ้... สบายล่ะทีนี้ มีหนังสือพิมพ์ให้อ่านทั้งกรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และหนังสือพิมพ์ภาษอังกฤษของเวียดนาม มีผ้าเย็นที่ไม่เย็นแจกด้วย นั่งไปได้ไม่นานก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติ ตัน ซอน นัท (Tan Son Nhat International Airport) ก็เดินออกไปหาทางเชื่อมเพื่อมุ่งสู่จุดรอเครื่องบิน แล้วก็นั่งนอนแก่ว พอเบื่อๆ ก็ไปเดินสำรวจพื้นที่อีกประมาณ ๓ ชั่วโมง รอเครื่องบินไฟลท์ต่อไป
สนามบินนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงอาหาร แล้วก็ร้านค้าปลอดภาษีนิดหน่อย อารมณ์คล้ายๆ สนามบินเชียงใหม่ได้ เดินจนทั่วจนเบื่อกันไปข้างนึง จนกระทั่งเขาเรียกให้ขึ้นรถรับส่งพาเราไปขึ้นเครื่องบิน ก็ราวๆ เที่ยงคืนกว่า
สภาพภายในเครื่องบินเป็นรุ่นเดียวกับลำที่แล้ว ที่แปลกใจคือแอร์โฮสเตสสายการบินนี้ เขาไม่มีการสาธิตวิธีใช้อุปกรณ์ให้ดูแหะ มีแต่เปิดวีดิโอสาธิตที่ดูภาพย้อนยุคไปราวๆ ปี ๔๐ ต้นๆ ให้ได้ชม แล้วก็มีอาหารเสิร์ฟ เป็นเซ็ทอาหารเช้า!! ตอนตี ๒ !! เขาถามว่าเอาแบบแจเปนนิส หรือ อเมริกัน ผมก็เลือกอาหารญี่ปุ่น สิ่งที่ได้คือ ข้าวราดผัดผักคล้ายถั่วฝักยาวกับกุ้ง เสิร์ฟพร้อมผักดอง ไข่หวาน ผักบุ้งหมัก ผลไม้ และขนมปัง ที่มีแยมสตอเบอร์รี่ นมจืด กับเนยมาให้ได้ .... ก็แปลกดี
กินเสร็จกว่าจะได้งีบก็ปาไปหลายนาทีอยู่ หลับๆ ตื่นๆ ไม่นานก็เช้า ถึงจุดหมายของเราเสียที ...
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติ จุบุ เซ็นแทร์ (Chubu Centrair Internaional Airport) เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น
เครื่องบินลงจอดในเวลาประมาณเกือบ ๘ โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น ผมมุ่งหน้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วพุ่งตรงไปยังจุดรับกระเป๋า รอไม่นานนักก็ได้รับสัมภาระของเราคืนมา ไม่ใช่อะไร เห็นชาวบ้านเขาเคยบ่นเกี่ยวกับการทรานสิทเครื่อง (หลายๆ สายการบิน) แล้วเจอปัญหากระเป๋าหาย ไม่ได้มาพร้อมกับเครื่องบิน กว่าสายการบินจะหามาส่งให้ก็ข้ามวันข้ามคืน แต่ของผมไม่เจอ ก็ถือว่าโชคดีไป
พ้นจากจุดตรวจศุลกากร ก้าวสู่ด้านนอก เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ฝนแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยจิตใจคะนองนึก เพราะเคยมาประเทศนี้แล้วครั้งนึง ก็คิดว่าคงเอาอยู่ ชะล่าใจขนาดเพิ่งได้ฤกษ์เขียนโปรแกรมเดินทางอย่างละเอียดเพียงแค่ ๒ สัปดาห์ก่อนเดินทาง .. เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่านะคุณดรงค์!!
จากสนามบินเรามุ่งหน้าสู่... ร้านสะดวกซื้อ เติมพลังด้วยครัวซองท์ไส้นมกับคัสตาร์ด แล้วเดินต่อไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อนั่งรถไฟด่วนพิเศษสายเมอิเท็ทสึ (Meitetsu Ltd. Exp) มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟเมอิเท็ทสึ นาโกย่า ในราคาค่าโดยสาร ๘๗๐ เยน เฉพาะขบวนที่ไม่ได้สำรองที่นั่ง (non reserved) ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จอดยังสถานีนาโกย่า
แต่... ที่นี่ก็ยังไม่ใช่ปลายทางของผมในวันนี้นะ!!
ผมเดินต่อไปยังสถานีเจอาร์นาโกย่า (JR Nagoya) เพื่อไปตามหาที่แลกตั๋วครับ!?!?
ตั๋วที่ว่าก็คือ "บัตรผ่านสำหรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ทาคะยะมะ - โฮคุริคุ" (Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass) ซึ่งพาสนี้มีเส้นทางวิ่งเป็นรูปเกือกม้าในภูมิภาคจุบุ (Chubu) และคันไซ (Kansai) สามารถใช้โดยสารรถไฟของเจอาร์ ได้ตั้งแต่สถานีรถไฟเจอาร์นาโกย่า มุ่งตรงไปยังสายโทะไคโดะ (Tokaido line) สู่สถานีกิฟุ (Gifu) แล้วไปตามเส้นทางสายทาคะยะมะไปจนถึงสถานีโทะยะมะ (Toyama) เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือชินคังเซ็ง สายโฮคุริคุ (Hokuriku Shinkansen) ไปสุดที่สถานีคานะซะวะ แล้วไปต่อที่สายเจอาร์โฮคุริคุ ผ่าน จ.ฟุกุอิ , จ.ชิงะ เข้า จ.เกียวโต มุ่งตรงสู่ จ.โอซาก้า โดยมีปลายทางอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ พูดได้ว่าบัตรเดียวเที่ยวได้หลายจังหวัดเลย และที่สำคัญมันยังสามารถใช้นั่งรถประจำทางจากเมืองทาคะยะมะ จ.กิฟุ ผ่านหมู่บ้านมรดกโลกชิระคะวะ โกะ (Shirakawa go) อันโด่งดัง และหมู่บ้านโกคะยะมะ (Gokayama) ไปยังเมืองคานะซะวะ จ.อิชิคะวะ (Ishikawa) หรือไปสู่เมืองทาคะโอะคะ (Takaoka) จ.โทะยะมะ ได้อีกด้วย
แต่พาสนี้ต้องซื้อที่เมืองไทยเท่านั้นนะครับ!! ผมซื้อในงานเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับบูท เอช.ไอ.เอส ราคา ๑๓,๕๐๐ เยน ก็ราวๆ ๔ พันกว่าบาทได้ ส่วนระยะเวลาการใช้ตั๋วจำกัดอยู่ที่ ๕ วัน นับตั้งแต่เริ่มใช้ ซึ่งตอนที่ซื้อเขาจะให้ตั๋วแผ่นกระดาษมา แล้วเราก็นำตั๋วใบนี้ไปยื่นพร้อมกับพาสปอร์ตเพื่อแลกเป็นพาสจริง แต่มีข้อกำหนดคือ ผู้ที่ใช้ได้จะต้องได้รับการลงตราประทับสถานะผู้มาเยือน (visitor) เท่านั้น
ผมเดินมาถึงสถานีเจอาร์นาโกย่าราวๆ ๙ โมงเช้า ตามลายแทงที่จดมาบอกว่าให้ไปแลกตั๋วที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์เจอาร์ภาคกลาง (JR central information office) แต่พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ที่นี่เปิดให้บริการแลกในเวลา ๑๐ โมงเช้า .... เอาแล้วไง ... เขาก็แนะนำให้เดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋วที่อยู่ใกล้ๆ กัน เพราะตรงนั้นเขาเปิดให้แลกในช่วงเช้า ก็เดินไปรอที่ช่องจำหน่ายตั๋วที่ ๑ รอไปจนกระทั่ง ๙ โมงครึ่ง เหลืออีก ๑ คนก็จะถึงคิวเรา แล้วพนักงานก็บอกว่า ... หมดเวลาการรับแลก!! เอิ่ม ... คือ... คืออะไรวะเนี่ย!!
ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ... แค่เริ่มเดินทางก็เจอแบบนี้เลยเหรอ? ... เดินวนหาอะไรกินอยู่สักพักหวังจะคลายอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า ใจมันร้อนรนเพราะกลัวจะไม่ทันรถไฟ เลยยืนใช้ไวไฟฟรีของสถานีรถไฟยืนเช็กสังคมออนไลน์ในโทรศัพท์อยู่หน้าทางเข้าศูนย์จนจะถึงเวลา ๑๐ นาฬิกา ก็เดินเข้าไปทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่แถวๆ หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานแกเห็นไอ้นี่มาอีกแล้วก็เลยปรึกษากับหัวหน้า เฮ้ย เราจะกระทืบมันเลยมั้ย เอ๊ยไม่ใช่ เขาคุยกันสักพักแล้วก็หันมาบอกว่า โอเค เราพร้อมเปิดบริการแล้ว อ๊าห์!! ในที่สุดก็แลกได้เสียที ....
รถไฟที่เราจะขึ้นอยู่ชานชาลาที่ ๑๑ เป็นรถด่วนพิเศษสายฮิดะ (LTD. EXP (WIDE VIEW) HIDA) ที่มีมุมมองกระจกด้านข้างกว้างกว่าเพื่อสามารถรับชมทิวทัศน์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งพาสทาคะยะมะฯ สามารถใช้กับขบวนนี้ เพียงแต่สามารถนั่งได้เฉพาะตู้ที่ไม่ได้มีการสำรองที่นั่งเท่านั้น โดยปกติแล้วรถไฟข้ามจังหวัดนี้จะประกอบด้วย ๓ ตู้หลักๆ คือ กรีนคาร์ (Green car) สำหรับผู้ที่สำรองที่นั่ง ซึ่งไม่รู้ว่าดีกว่าปกติยังไง เพราะไม่เคยลอง , แบบสำรองที่นั่ง (reserve) สำหรับผู้ที่สำรองที่นั่งราคาถูกกว่าแบบแรกหน่อย และสุดท้ายก็ตู้ปกติ อ่อ ... ผมเล่าข้ามไปช็อตนึง วิธีการใช้พาสนี่ดูเป็นคนมีเอกสิทธิ์มากครับ แค่โชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูตรงหน้าช่องกั้นทางเข้าสถานีรถไฟก็สามารถเข้าได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียบบัตรใส่ในเครื่องกั้น
รอจนกระทั่งเวลา ๑๐.๔๘ น.รถไฟก็ออก เฮ้อ.... ได้ไปเสียที และจุดหมายของวันนี้อยู่ที่เมือง “ทาคะยะมะ” นั่นเอง!!
รถไฟขบวนพิเศษนี้ภายในก็ไม่ต่างจากขบวนอื่นมาก มีแค่ส่วนของกระจกที่มีความกว้างกว่า ซึ่งบรรยากาศภายนอกนี่ก็สมควรที่จะทำกระจกแบบนี้จริงๆ ครับ เหมือนเราเลาะไปตามช่องแคบและพื้นราบที่มีภูเขาขนาบข้าง ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ผ่านเมือง ข้ามแม่น้ำ ลำคลองตามธรรมชาติต่างๆ ได้ความรู้สึกเหมือนออกไปเที่ยวต่างจังหวัดจริงๆ (ก็แหงล่ะ เมืองที่จะไปนี่ภูเขาล้อมรอบเลยนะครับ)
นั่งเพลินๆ ชมโน้นนี่ เบาะข้างหลังผมนี่เป็นกลุ่มคนไทยเขาก็เดินถ่ายรูปกันสนุกเลยล่ะ ส่วนผมนั่งมองทิวทัศน์พลางถ่ายรูป (ที่ถ่ายยังไงก็ไม่สวย) ถ้าเห็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามว่างก็แอบย้ายฝั่งไปถ่ายแล้วกลับมาที่เดิม แต่ ... ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกจนได้ ... ทีนี้เป็นที่กล้องถ่ายภาพของผมครับ ท้าวความแต่ก่อนเดินทางผมได้พูดติดตลกกับน้องสาวว่า ผมจะลองใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเป็นหลัก ใช้กล้อง DSLR เป็นตัวรอง เพราะจะลองใช้เลนส์ฟิกซ์ (เลนส์ถ่ายระยะไกล ๕๐ มม.) ซึ่งมีความคมชัดสูงกว่าเลนส์คิต (ระยะ ๑๘ – ๕๐ มม.) ถ่ายแทน ตอนนั้นคือขำๆ แต่ตอนนี้ไม่ขำเลยครับ เมื่อมาเช็กสภาพภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์คิตระหว่างนั่งรถไฟ แล้วพบว่า ... พบจุดดำปริศนาอยู่ภายในภาพ ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจมีฝุ่นในเลนส์ หรือตัวกล้อง พอเปลี่ยนมาใช้เลนส์อีกตัวคราวนี้กลับไม่พบจุดดำแต่อย่างใด ... ได้ใช้สมพรปากจริงๆ
ก็ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ไปแล้วกัน...
ใช้เวลาราวๆ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึง สถานีรถไฟทาคะยะมะ สถานีนี้ดูเหมือนชานชาลารถไฟต่างจังหวัดบ้านเรา ไม่มีเครื่องเก็บตั๋วอัตโนมัตินะ มีแต่ตู้ไม้กั้นทางเดินแล้วให้เจ้าหน้าที่คอยเก็บตั๋วแทน และที่สำคัญเขาต้องกั้นผู้โดยสารให้ผู้มาเยือนออกมาจากชานชาลาก่อนแล้วจึงปล่อยให้ผู้เดินทางต่อเดินผ่านตู้ไม้กั้นเข้าไปได้ พอหลุดจากตรงนี้ก็เจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีซาลาเปาเนื้อมาตั้งเต็นท์ขายดูน่ากินดีจัง แต่ไม่ซื้อ... เพราะเรามีร้านในใจแล้วครับ
ในแผนที่ที่ผมเขียนมีลิสต์ไว้ประมาณ ๓ ร้าน ผมทยอยเดินตามถนนใหญ่ขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกก็พบกับร้านที่มีป้ายสีส้มขนาดใหญ่พร้อมตัวอักษรญี่ปุ่นที่ดูโดดเด่น นั่นคือร้าน “จิโทะเซะ” (Chitose) และเหมือนจะโชคดีที่มีคนต่อแถวเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ผมจึงขอยืนรอกับเขาด้วย ไม่นานนักก็มีน้องมาถามออเดอร์ ก่อนเชิญให้เราเข้าไปภายใน เพื่อนั่งหน้าบาร์
เมนูยอดฮิตของที่นี่ก็คือ “ยากิโซบะหมูโปะไข่ดาว” และผมไม่พลาดที่จะสั่งจานนี้แน่ ระหว่างรออาหารที่ค่อนข้างจะคิวยาวก็นั่งจิบน้ำชาร้อนไปพลางๆ ในบรรยากาศด้านนอกที่บอกได้เลยว่าผิดกับกรุงเทพฯ ลิบลับ เท่าที่ดูรอบร้าน คนเต็มทุกโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น และดูเหมือนจะมีคนไทยที่ไม่ใช่แค่ผมอยู่ในร้านด้วย ตรงที่ผมนั่งนี่ดีอย่าง ได้เห็นเขาปรุงออกมาจากในครัว มีแม่ครัวผัดทีละจานๆ และก็ถึงเวลาที่อาหารมาถึง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกำลังจะได้ทานยากิโซบะแบบต้นตำรับ ... คำแรกนี่ อื้อหือ ... ร้อน!! ก็แหงล่ะ เขาเพิ่งผัดเสร็จนิครับ ต้องคอยเป่าแต่ก็ไม่มากนัก รสมันคุ้นมากเปรี้ยวๆ เค็มๆ เหมือนทานผัดมักกะโรนีฝีมือแม่เลย ฮ่าๆๆ อร่อยดีแหะ จานนี้ ๕๗๐ เยน ไม่แพงด้วย
บนถนนโคะคุบุนจิ (Kokubunji dori) นี้มีสถานีที่ท่องเที่ยวสำคัญก็คือ “วัดฮิดะ โคะคุบุน” (Hida kokubun ji) ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากร้านมากนัก ทางเข้าประตูวัดมีรูปสลักหินเทพ ๖ องค์ ในบริเวนนั้นก็ยังมีศาลเล็กๆ และมีรูปปั้นหินอ่อนสีน้ำตาลอมส้มคล้ายกับเด็กกำลังกางแขนขา พอเดินเข้าไปดูมีภาษาไทยเขียนบอกไว้ว่า นี่คือ นะเดะสะรุโบะโบะ (Nade Sarubobo) หินสลักรูปเครื่องรางสะรุโบะโบะ (Sarubobo) ของชาวฮิดะ ทาคะยะมะ ที่ปกติแม่จะทำตุ๊กตารูปร่างนี้ให้ลูกเพื่อขอให้มีความสุข ส่วนหินนี้ก็มีจุดประสงค์เพื่อความสุขและรวมไปถึงความแข็งแรงด้วย ถ้าอยากให้ส่วนไหนแข็งแรงก็ให้เอามือไปลูบเจ้านะเดะสะรุโบะโบะ นี้ แน่นอน ... คงไม่ต้องบอกว่าผมจะทำอะไรลงไป อิอิ ... อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมก็ลูบในส่วนที่เจ็บป่วยบ่อยๆ ขออย่าให้ปวดตลอดการเดินทางแค่นี้ครับ
ข้ามธรณีประตูเข้ามาภายในวัด เห็นหอระฆังตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า ถัดไปมีต้นไม้ใหญ่ และวิหารของวัดเป็นฉากหลัง ตามประวัติบอกว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๒๘๙ โดยจักรพรรดิโชมุ (Shomu) เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองนี้ อย่าง วิหารใหญ่นี่ก็สร้างมาตั้งแต่ยุคมุโระมะจิ (Muromachi) ราวๆ พ.ศ.๑๘๗๙ – ๒๑๑๖ จัดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อชาติ ตัวอาคารยาว ๑๒.๔ เมตร กว้าง ๘.๖๖ เมตร และเพิ่งได้มีการบูรณะเมื่อปี ๒๔๙๗ โดยภายในมีพระพุทธรูปเก่าแก่อย่าง พระพุทธยะกุชิ โกะโซะ (Buddha Yakushi Gozo) พระอมิตภ (Amitabha) พระโพธิสัตว์กวนอิม ,เทพเจ้าสรัสวตี (Sarasvati)เป็นต้น
ส่วนด้านข้างที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือเจดีย์ ๓ ชั้น แต่เดิมเจดีย์มี ๕ ชั้นครับ ภายหลังเกิดภัยพิบัติพังเลยทำการสร้างใหม่แบบที่เห็นในปัจจุบันเมื่อปี ๒๓๖๔ ส่วนหอระฆังนี้มี ๒ ชั้น ชั้นบนสร้างขึ้นพร้อมระฆังเมื่อ พ.ศ.๒๓๐๔ โดยมาประกอบกับฐานชั้นล่างที่ขนย้ายมาจากซากของปราสาททาคะยะมะ และอีก ๑ ไฮไลต์สำคัญของที่นี่ก็คือต้นแปะก๊วย ต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านหลังหอระฆัง ที่มีอายุมากกว่า ๑,๒๕๐ ปีแล้ว!! โดยลำต้นมีความสูงรวม ๒๘ เมตร คาดว่าคงเติบโตตั้งแต่เริ่มสร้างวัด น่าเสียดาย...นี่ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงคงเห็นทั้งต้นเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงามเป็นแน่แท้
เดินๆ เพลินๆ จนลืมความหนักบนบ่าที่แบกกระเป๋าเดินทางหนักมากกว่า ๗ กิโลกรัมไปเสียเลย พอดูเวลาอีกทีก็บ่ายแก่ๆ ซะแล้ว ผ่านไปเร็วเสียจริงๆ เจ้าเวลาเนี่ย จึงสมควรต้องเดินไปยังที่พักเพื่อเช็กอินในโรงแรมแบบญี่ปุ่น แล้วไปเที่ยวอีกที่หมายหนึ่งก่อนตะวันตกดิน ที่ดูจากเส้นทางแล้ว ... ไกลไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวครับ ...
อ่านต่อฉบับหน้า...
ซีรี่ย์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของผม ในหัวข้อ Alone in ... (ตามด้วยชื่อจังหวัด) นี่ไม่ใช่ของค้างเติ่งจากงวดก่อน แต่เป็นการเดินทางครั้งใหม่ กับประเทศแรกที่ผมได้ไปเยือนเป็นครั้งที่ ๒ แน่นอนว่า หลายคนตั้งคำถาม ทำไมผมถึงกลับไปที่นี่ทั้งๆ ที่เพิ่งไปมาเมื่อปีกว่าๆ นี้เอง ... คุณดรงค์ ต้องติดใจอะไรแน่ๆ ... ธรรมชาติ สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ความทันสมัย อัธยาศัยของผู้คน หรือ ความงามของสตรี อะไรกันนะ
เอาจริงๆ ก็คือ ... เผอิญจองตั๋วได้ถูกครับ นี่เป็นเหตุผลแรกในการเดินทางครั้งนี้...
และอย่างที่เคยบอกก่อนที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่าน ทั้งหมดที่เขียนไม่ใช่เพื่อมารีวิว หรือเป็นกูรูเพราะมีผู้รู้เรื่องญี่ปุ่นมากกว่าผมเยอะ (ในยุคที่ใครๆ ก็ไปกันง่าย) แต่เป็นการเล่าถึงสิ่งที่ได้พบ เห็น สัมผัส จริงๆ ตลอดช่วงเวลาการเดินทางทั้งหมด ทั้งเรื่องโชคดี และความผิดหวัง ตามประสามนุษย์คนนึงที่ออกไปเที่ยวคนเดียว กับภาษาอังกฤษง่อยๆ ทั้งพลาดและผ่านเพื่อการเรียนรู้ใหม่ๆ อย่างที่ผมเขียนเหตุผลในใบลาพักร้อนว่า "ไปสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต"
สำหรับใครที่ว่าง หรือไม่ว่างแต่อยากอ่านซีรี่ย์ Alone in Japan ภาค ๑ ก็ไปตามอ่านได้ตามลิ้งก์ที่ปรากฏ
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
Alone in Osaka ๑.๐ : ของดีที่ ปราสาทโอซาก้า!!
Alone in Osaka ๑.๑ : สึเทนคะคุ หอคอยแห่งกาลเวลา
Alone in Osaka จบภาค ๑ : แล้วผมจะกลับมาใหม่ ... ณ ญี่ปุ่น
และต่อจากนี้ ... คือเรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ ....
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมได้มาเหยียบสนามบินอันดับ ๑ ของประเทศที่กว้างใหญ่แห่งนี้ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์พาผมมาถึงที่หมายราวๆ บ่าย สี่โมงเย็น ... ต้องขอบคุณน้องฮาวา ผู้สื่อข่าวประจำกองบรรณาธิการข่าวออนไลน์ ที่ให้อาศัยรถติดมาส่งลงที่สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งก์พญาไท ก่อนจะขึ้นรถไฟไปถึงสนามบิน
เออ... เดี๋ยวนะ แล้วผมมาทำบ้าอะไรตั้งแต่สี่โมงเย็นวะ!! เครื่องบินออกตั้งทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ? ...
คือเมื่อไม่กี่วันมานี้มันเพิ่งมาข่าวรถไฟเสีย ไอ้เราก็กลัวจะซ้ำรอย เลยมารอตั้งแต่ไก่โห่ กันไว้ดีกว่าแก้ ฉลาดล้ำโลกมาก ... สุดท้ายก็เดินแก่วแบกเป้สัมภาระเป็นไอ้บ้าหอบฟางเดินไปมาอยู่ภายในสนามบิน จนกว่าเขาจะเรียกให้ไปเช็กอินแล้วนำกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องได้
งวดที่แล้วผมโดยสารไปกับสายการบินไทยแอร์เชียเอ็กซ์ ส่วนงวดนี้ผมจองจากเว็บเอ็กซ์พีเดียเมื่อราวๆ เดือนธันวาคม เดินทางไปกลับกรุงเทพฯ - ญี่ปุ่น กับสายการบิน "เวียดนามแอร์ไลน์" ในราคาประมาณ ๘,๓๐๐ บาท แม้ราคาสูงกว่าเที่ยวบินงวดก่อนราวพันกว่าบาท แต่ก็ยังน่าสนใจอยู่เพราะเป็นการให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส รวมน้ำหนักกระเป๋า ๓๐ กิโลกรัม และอาหาร น้ำดื่มมีให้ ดูเหมือนจะคุ้มกว่าด้วยซ้ำ ... แต่ข้อเสียคือ มันต้องไปรอต่อเครื่องที่เวียดนามนั่นล่ะ ..
ปัญหาคือ ... ผมไม่เคยนั่งเครื่องบินแล้วไปต่อเครื่องอีกทีนึงเลย ... นี่คือประสบการณ์ใหม่ตั้งแต่เริ่มไปเลยทีเดียว
พอถึงเวลาเช็กอินผมก็ไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินนี้สามารถเช็กล่วงหน้าภายในเว็บไซต์เวียดนามแอร์ไลน์ หรือจะไปจองที่นั่งเอาหน้าตู้ก็ได้ ซึ่งผมพยายามจะทำอย่างแรกกะจะประหยัดเวลา แต่ก็ยังงงๆ สุดท้ายก็เลยต้องมายืนคุยหน้าตู้เหมือนเดิม มีพนักงานต้อนรับภาคพื้นจากสายการบินไทยมาปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกแทนแอร์กราวนด์ของสายการบินนี้ ทั้งถามว่าจะให้เช็กอินรวมไปถึงอีกสนามบินที่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องด้วยหรือไม่ และยังแนะนำที่นั่งที่มองเห็นทิวทัศน์ดีๆ ให้ด้วย
จากนั้นผมก็เดินเล่นไปเรื่อย หาอะไรกินรองท้องจากโรงอาหารราคาถูกชั้นล่างของสนามบิน แล้วเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปนั่งรอหน้าประตูทางขึ้นเครื่อง จนกระทั่งพนักงานเรียกให้เข้าไปซึ่งก็เลื่อนจากกำหนดเวลาเดินทางเดิมราวครึ่งชั่วโมง ลำนี้เป็นเครื่องบินแอร์บัส เอ ๓๒๑ ขนาดไม่ใหญ่นัก แบ่งเป็น ๒ แถว แถวละ ๓ ที่นั่ง พนักงานต้อนรับบนเครื่องใครที่เคยคิดว่า หน้าตาจะต้องประมาณน้องเอลลี่ น้องตุ๊กตา ที่หน้าอินโดจีนของเว็บผู้จัดการชอบนำเสนอนี่ขอให้ลบความทรงจำเช่นนั้นออกให้หมด ... คือ มันไม่ใช่เลยครับ แต่ละคนอายุราวๆ ไม่รุ่นผมก็รุ่นเดอะไปเลย ถ้าเป็นแอร์หนุ่มๆ จะดูเด็กกว่ามาก
เครื่องบินลำนี้พาผมไปสู่จุดหมายแรกนั่นคือ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนเมืองญวน (แต่มาแค่ต่อเครื่องนี่คงพูดไม่ได้เต็มปากว่ามาถึงถิ่นแล้ว) ระหว่างเดินทางก็มีการเสิร์ฟอาหารว่าง ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นแค่ขนมปังกับน้ำ แบบที่สายการบินต้นทุนต่ำบางยี่ห้อแจก แต่นี่ไม่ใช่ครับ จัดเป็นชุดสลัดมีแฮม ซาลามี่ ผลไม้ ขนมปัง เนย พร้อมน้ำมาให้ทาน โอ้... สบายล่ะทีนี้ มีหนังสือพิมพ์ให้อ่านทั้งกรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และหนังสือพิมพ์ภาษอังกฤษของเวียดนาม มีผ้าเย็นที่ไม่เย็นแจกด้วย นั่งไปได้ไม่นานก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติ ตัน ซอน นัท (Tan Son Nhat International Airport) ก็เดินออกไปหาทางเชื่อมเพื่อมุ่งสู่จุดรอเครื่องบิน แล้วก็นั่งนอนแก่ว พอเบื่อๆ ก็ไปเดินสำรวจพื้นที่อีกประมาณ ๓ ชั่วโมง รอเครื่องบินไฟลท์ต่อไป
สนามบินนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงอาหาร แล้วก็ร้านค้าปลอดภาษีนิดหน่อย อารมณ์คล้ายๆ สนามบินเชียงใหม่ได้ เดินจนทั่วจนเบื่อกันไปข้างนึง จนกระทั่งเขาเรียกให้ขึ้นรถรับส่งพาเราไปขึ้นเครื่องบิน ก็ราวๆ เที่ยงคืนกว่า
สภาพภายในเครื่องบินเป็นรุ่นเดียวกับลำที่แล้ว ที่แปลกใจคือแอร์โฮสเตสสายการบินนี้ เขาไม่มีการสาธิตวิธีใช้อุปกรณ์ให้ดูแหะ มีแต่เปิดวีดิโอสาธิตที่ดูภาพย้อนยุคไปราวๆ ปี ๔๐ ต้นๆ ให้ได้ชม แล้วก็มีอาหารเสิร์ฟ เป็นเซ็ทอาหารเช้า!! ตอนตี ๒ !! เขาถามว่าเอาแบบแจเปนนิส หรือ อเมริกัน ผมก็เลือกอาหารญี่ปุ่น สิ่งที่ได้คือ ข้าวราดผัดผักคล้ายถั่วฝักยาวกับกุ้ง เสิร์ฟพร้อมผักดอง ไข่หวาน ผักบุ้งหมัก ผลไม้ และขนมปัง ที่มีแยมสตอเบอร์รี่ นมจืด กับเนยมาให้ได้ .... ก็แปลกดี
กินเสร็จกว่าจะได้งีบก็ปาไปหลายนาทีอยู่ หลับๆ ตื่นๆ ไม่นานก็เช้า ถึงจุดหมายของเราเสียที ...
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙ : ท่าอากาศยานนานาชาติ จุบุ เซ็นแทร์ (Chubu Centrair Internaional Airport) เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น
เครื่องบินลงจอดในเวลาประมาณเกือบ ๘ โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น ผมมุ่งหน้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วพุ่งตรงไปยังจุดรับกระเป๋า รอไม่นานนักก็ได้รับสัมภาระของเราคืนมา ไม่ใช่อะไร เห็นชาวบ้านเขาเคยบ่นเกี่ยวกับการทรานสิทเครื่อง (หลายๆ สายการบิน) แล้วเจอปัญหากระเป๋าหาย ไม่ได้มาพร้อมกับเครื่องบิน กว่าสายการบินจะหามาส่งให้ก็ข้ามวันข้ามคืน แต่ของผมไม่เจอ ก็ถือว่าโชคดีไป
พ้นจากจุดตรวจศุลกากร ก้าวสู่ด้านนอก เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ฝนแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยจิตใจคะนองนึก เพราะเคยมาประเทศนี้แล้วครั้งนึง ก็คิดว่าคงเอาอยู่ ชะล่าใจขนาดเพิ่งได้ฤกษ์เขียนโปรแกรมเดินทางอย่างละเอียดเพียงแค่ ๒ สัปดาห์ก่อนเดินทาง .. เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่านะคุณดรงค์!!
จากสนามบินเรามุ่งหน้าสู่... ร้านสะดวกซื้อ เติมพลังด้วยครัวซองท์ไส้นมกับคัสตาร์ด แล้วเดินต่อไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อนั่งรถไฟด่วนพิเศษสายเมอิเท็ทสึ (Meitetsu Ltd. Exp) มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟเมอิเท็ทสึ นาโกย่า ในราคาค่าโดยสาร ๘๗๐ เยน เฉพาะขบวนที่ไม่ได้สำรองที่นั่ง (non reserved) ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จอดยังสถานีนาโกย่า
แต่... ที่นี่ก็ยังไม่ใช่ปลายทางของผมในวันนี้นะ!!
ผมเดินต่อไปยังสถานีเจอาร์นาโกย่า (JR Nagoya) เพื่อไปตามหาที่แลกตั๋วครับ!?!?
ตั๋วที่ว่าก็คือ "บัตรผ่านสำหรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ทาคะยะมะ - โฮคุริคุ" (Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass) ซึ่งพาสนี้มีเส้นทางวิ่งเป็นรูปเกือกม้าในภูมิภาคจุบุ (Chubu) และคันไซ (Kansai) สามารถใช้โดยสารรถไฟของเจอาร์ ได้ตั้งแต่สถานีรถไฟเจอาร์นาโกย่า มุ่งตรงไปยังสายโทะไคโดะ (Tokaido line) สู่สถานีกิฟุ (Gifu) แล้วไปตามเส้นทางสายทาคะยะมะไปจนถึงสถานีโทะยะมะ (Toyama) เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือชินคังเซ็ง สายโฮคุริคุ (Hokuriku Shinkansen) ไปสุดที่สถานีคานะซะวะ แล้วไปต่อที่สายเจอาร์โฮคุริคุ ผ่าน จ.ฟุกุอิ , จ.ชิงะ เข้า จ.เกียวโต มุ่งตรงสู่ จ.โอซาก้า โดยมีปลายทางอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ พูดได้ว่าบัตรเดียวเที่ยวได้หลายจังหวัดเลย และที่สำคัญมันยังสามารถใช้นั่งรถประจำทางจากเมืองทาคะยะมะ จ.กิฟุ ผ่านหมู่บ้านมรดกโลกชิระคะวะ โกะ (Shirakawa go) อันโด่งดัง และหมู่บ้านโกคะยะมะ (Gokayama) ไปยังเมืองคานะซะวะ จ.อิชิคะวะ (Ishikawa) หรือไปสู่เมืองทาคะโอะคะ (Takaoka) จ.โทะยะมะ ได้อีกด้วย
แต่พาสนี้ต้องซื้อที่เมืองไทยเท่านั้นนะครับ!! ผมซื้อในงานเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับบูท เอช.ไอ.เอส ราคา ๑๓,๕๐๐ เยน ก็ราวๆ ๔ พันกว่าบาทได้ ส่วนระยะเวลาการใช้ตั๋วจำกัดอยู่ที่ ๕ วัน นับตั้งแต่เริ่มใช้ ซึ่งตอนที่ซื้อเขาจะให้ตั๋วแผ่นกระดาษมา แล้วเราก็นำตั๋วใบนี้ไปยื่นพร้อมกับพาสปอร์ตเพื่อแลกเป็นพาสจริง แต่มีข้อกำหนดคือ ผู้ที่ใช้ได้จะต้องได้รับการลงตราประทับสถานะผู้มาเยือน (visitor) เท่านั้น
ผมเดินมาถึงสถานีเจอาร์นาโกย่าราวๆ ๙ โมงเช้า ตามลายแทงที่จดมาบอกว่าให้ไปแลกตั๋วที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์เจอาร์ภาคกลาง (JR central information office) แต่พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ที่นี่เปิดให้บริการแลกในเวลา ๑๐ โมงเช้า .... เอาแล้วไง ... เขาก็แนะนำให้เดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋วที่อยู่ใกล้ๆ กัน เพราะตรงนั้นเขาเปิดให้แลกในช่วงเช้า ก็เดินไปรอที่ช่องจำหน่ายตั๋วที่ ๑ รอไปจนกระทั่ง ๙ โมงครึ่ง เหลืออีก ๑ คนก็จะถึงคิวเรา แล้วพนักงานก็บอกว่า ... หมดเวลาการรับแลก!! เอิ่ม ... คือ... คืออะไรวะเนี่ย!!
ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ... แค่เริ่มเดินทางก็เจอแบบนี้เลยเหรอ? ... เดินวนหาอะไรกินอยู่สักพักหวังจะคลายอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า ใจมันร้อนรนเพราะกลัวจะไม่ทันรถไฟ เลยยืนใช้ไวไฟฟรีของสถานีรถไฟยืนเช็กสังคมออนไลน์ในโทรศัพท์อยู่หน้าทางเข้าศูนย์จนจะถึงเวลา ๑๐ นาฬิกา ก็เดินเข้าไปทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่แถวๆ หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานแกเห็นไอ้นี่มาอีกแล้วก็เลยปรึกษากับหัวหน้า เฮ้ย เราจะกระทืบมันเลยมั้ย เอ๊ยไม่ใช่ เขาคุยกันสักพักแล้วก็หันมาบอกว่า โอเค เราพร้อมเปิดบริการแล้ว อ๊าห์!! ในที่สุดก็แลกได้เสียที ....
รถไฟที่เราจะขึ้นอยู่ชานชาลาที่ ๑๑ เป็นรถด่วนพิเศษสายฮิดะ (LTD. EXP (WIDE VIEW) HIDA) ที่มีมุมมองกระจกด้านข้างกว้างกว่าเพื่อสามารถรับชมทิวทัศน์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งพาสทาคะยะมะฯ สามารถใช้กับขบวนนี้ เพียงแต่สามารถนั่งได้เฉพาะตู้ที่ไม่ได้มีการสำรองที่นั่งเท่านั้น โดยปกติแล้วรถไฟข้ามจังหวัดนี้จะประกอบด้วย ๓ ตู้หลักๆ คือ กรีนคาร์ (Green car) สำหรับผู้ที่สำรองที่นั่ง ซึ่งไม่รู้ว่าดีกว่าปกติยังไง เพราะไม่เคยลอง , แบบสำรองที่นั่ง (reserve) สำหรับผู้ที่สำรองที่นั่งราคาถูกกว่าแบบแรกหน่อย และสุดท้ายก็ตู้ปกติ อ่อ ... ผมเล่าข้ามไปช็อตนึง วิธีการใช้พาสนี่ดูเป็นคนมีเอกสิทธิ์มากครับ แค่โชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูตรงหน้าช่องกั้นทางเข้าสถานีรถไฟก็สามารถเข้าได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียบบัตรใส่ในเครื่องกั้น
รอจนกระทั่งเวลา ๑๐.๔๘ น.รถไฟก็ออก เฮ้อ.... ได้ไปเสียที และจุดหมายของวันนี้อยู่ที่เมือง “ทาคะยะมะ” นั่นเอง!!
รถไฟขบวนพิเศษนี้ภายในก็ไม่ต่างจากขบวนอื่นมาก มีแค่ส่วนของกระจกที่มีความกว้างกว่า ซึ่งบรรยากาศภายนอกนี่ก็สมควรที่จะทำกระจกแบบนี้จริงๆ ครับ เหมือนเราเลาะไปตามช่องแคบและพื้นราบที่มีภูเขาขนาบข้าง ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ผ่านเมือง ข้ามแม่น้ำ ลำคลองตามธรรมชาติต่างๆ ได้ความรู้สึกเหมือนออกไปเที่ยวต่างจังหวัดจริงๆ (ก็แหงล่ะ เมืองที่จะไปนี่ภูเขาล้อมรอบเลยนะครับ)
นั่งเพลินๆ ชมโน้นนี่ เบาะข้างหลังผมนี่เป็นกลุ่มคนไทยเขาก็เดินถ่ายรูปกันสนุกเลยล่ะ ส่วนผมนั่งมองทิวทัศน์พลางถ่ายรูป (ที่ถ่ายยังไงก็ไม่สวย) ถ้าเห็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามว่างก็แอบย้ายฝั่งไปถ่ายแล้วกลับมาที่เดิม แต่ ... ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกจนได้ ... ทีนี้เป็นที่กล้องถ่ายภาพของผมครับ ท้าวความแต่ก่อนเดินทางผมได้พูดติดตลกกับน้องสาวว่า ผมจะลองใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเป็นหลัก ใช้กล้อง DSLR เป็นตัวรอง เพราะจะลองใช้เลนส์ฟิกซ์ (เลนส์ถ่ายระยะไกล ๕๐ มม.) ซึ่งมีความคมชัดสูงกว่าเลนส์คิต (ระยะ ๑๘ – ๕๐ มม.) ถ่ายแทน ตอนนั้นคือขำๆ แต่ตอนนี้ไม่ขำเลยครับ เมื่อมาเช็กสภาพภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์คิตระหว่างนั่งรถไฟ แล้วพบว่า ... พบจุดดำปริศนาอยู่ภายในภาพ ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจมีฝุ่นในเลนส์ หรือตัวกล้อง พอเปลี่ยนมาใช้เลนส์อีกตัวคราวนี้กลับไม่พบจุดดำแต่อย่างใด ... ได้ใช้สมพรปากจริงๆ
ก็ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ไปแล้วกัน...
ใช้เวลาราวๆ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึง สถานีรถไฟทาคะยะมะ สถานีนี้ดูเหมือนชานชาลารถไฟต่างจังหวัดบ้านเรา ไม่มีเครื่องเก็บตั๋วอัตโนมัตินะ มีแต่ตู้ไม้กั้นทางเดินแล้วให้เจ้าหน้าที่คอยเก็บตั๋วแทน และที่สำคัญเขาต้องกั้นผู้โดยสารให้ผู้มาเยือนออกมาจากชานชาลาก่อนแล้วจึงปล่อยให้ผู้เดินทางต่อเดินผ่านตู้ไม้กั้นเข้าไปได้ พอหลุดจากตรงนี้ก็เจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีซาลาเปาเนื้อมาตั้งเต็นท์ขายดูน่ากินดีจัง แต่ไม่ซื้อ... เพราะเรามีร้านในใจแล้วครับ
ในแผนที่ที่ผมเขียนมีลิสต์ไว้ประมาณ ๓ ร้าน ผมทยอยเดินตามถนนใหญ่ขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกก็พบกับร้านที่มีป้ายสีส้มขนาดใหญ่พร้อมตัวอักษรญี่ปุ่นที่ดูโดดเด่น นั่นคือร้าน “จิโทะเซะ” (Chitose) และเหมือนจะโชคดีที่มีคนต่อแถวเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ผมจึงขอยืนรอกับเขาด้วย ไม่นานนักก็มีน้องมาถามออเดอร์ ก่อนเชิญให้เราเข้าไปภายใน เพื่อนั่งหน้าบาร์
เมนูยอดฮิตของที่นี่ก็คือ “ยากิโซบะหมูโปะไข่ดาว” และผมไม่พลาดที่จะสั่งจานนี้แน่ ระหว่างรออาหารที่ค่อนข้างจะคิวยาวก็นั่งจิบน้ำชาร้อนไปพลางๆ ในบรรยากาศด้านนอกที่บอกได้เลยว่าผิดกับกรุงเทพฯ ลิบลับ เท่าที่ดูรอบร้าน คนเต็มทุกโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น และดูเหมือนจะมีคนไทยที่ไม่ใช่แค่ผมอยู่ในร้านด้วย ตรงที่ผมนั่งนี่ดีอย่าง ได้เห็นเขาปรุงออกมาจากในครัว มีแม่ครัวผัดทีละจานๆ และก็ถึงเวลาที่อาหารมาถึง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกำลังจะได้ทานยากิโซบะแบบต้นตำรับ ... คำแรกนี่ อื้อหือ ... ร้อน!! ก็แหงล่ะ เขาเพิ่งผัดเสร็จนิครับ ต้องคอยเป่าแต่ก็ไม่มากนัก รสมันคุ้นมากเปรี้ยวๆ เค็มๆ เหมือนทานผัดมักกะโรนีฝีมือแม่เลย ฮ่าๆๆ อร่อยดีแหะ จานนี้ ๕๗๐ เยน ไม่แพงด้วย
บนถนนโคะคุบุนจิ (Kokubunji dori) นี้มีสถานีที่ท่องเที่ยวสำคัญก็คือ “วัดฮิดะ โคะคุบุน” (Hida kokubun ji) ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากร้านมากนัก ทางเข้าประตูวัดมีรูปสลักหินเทพ ๖ องค์ ในบริเวนนั้นก็ยังมีศาลเล็กๆ และมีรูปปั้นหินอ่อนสีน้ำตาลอมส้มคล้ายกับเด็กกำลังกางแขนขา พอเดินเข้าไปดูมีภาษาไทยเขียนบอกไว้ว่า นี่คือ นะเดะสะรุโบะโบะ (Nade Sarubobo) หินสลักรูปเครื่องรางสะรุโบะโบะ (Sarubobo) ของชาวฮิดะ ทาคะยะมะ ที่ปกติแม่จะทำตุ๊กตารูปร่างนี้ให้ลูกเพื่อขอให้มีความสุข ส่วนหินนี้ก็มีจุดประสงค์เพื่อความสุขและรวมไปถึงความแข็งแรงด้วย ถ้าอยากให้ส่วนไหนแข็งแรงก็ให้เอามือไปลูบเจ้านะเดะสะรุโบะโบะ นี้ แน่นอน ... คงไม่ต้องบอกว่าผมจะทำอะไรลงไป อิอิ ... อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมก็ลูบในส่วนที่เจ็บป่วยบ่อยๆ ขออย่าให้ปวดตลอดการเดินทางแค่นี้ครับ
ข้ามธรณีประตูเข้ามาภายในวัด เห็นหอระฆังตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า ถัดไปมีต้นไม้ใหญ่ และวิหารของวัดเป็นฉากหลัง ตามประวัติบอกว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๒๘๙ โดยจักรพรรดิโชมุ (Shomu) เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองนี้ อย่าง วิหารใหญ่นี่ก็สร้างมาตั้งแต่ยุคมุโระมะจิ (Muromachi) ราวๆ พ.ศ.๑๘๗๙ – ๒๑๑๖ จัดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อชาติ ตัวอาคารยาว ๑๒.๔ เมตร กว้าง ๘.๖๖ เมตร และเพิ่งได้มีการบูรณะเมื่อปี ๒๔๙๗ โดยภายในมีพระพุทธรูปเก่าแก่อย่าง พระพุทธยะกุชิ โกะโซะ (Buddha Yakushi Gozo) พระอมิตภ (Amitabha) พระโพธิสัตว์กวนอิม ,เทพเจ้าสรัสวตี (Sarasvati)เป็นต้น
ส่วนด้านข้างที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือเจดีย์ ๓ ชั้น แต่เดิมเจดีย์มี ๕ ชั้นครับ ภายหลังเกิดภัยพิบัติพังเลยทำการสร้างใหม่แบบที่เห็นในปัจจุบันเมื่อปี ๒๓๖๔ ส่วนหอระฆังนี้มี ๒ ชั้น ชั้นบนสร้างขึ้นพร้อมระฆังเมื่อ พ.ศ.๒๓๐๔ โดยมาประกอบกับฐานชั้นล่างที่ขนย้ายมาจากซากของปราสาททาคะยะมะ และอีก ๑ ไฮไลต์สำคัญของที่นี่ก็คือต้นแปะก๊วย ต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านหลังหอระฆัง ที่มีอายุมากกว่า ๑,๒๕๐ ปีแล้ว!! โดยลำต้นมีความสูงรวม ๒๘ เมตร คาดว่าคงเติบโตตั้งแต่เริ่มสร้างวัด น่าเสียดาย...นี่ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงคงเห็นทั้งต้นเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงามเป็นแน่แท้
เดินๆ เพลินๆ จนลืมความหนักบนบ่าที่แบกกระเป๋าเดินทางหนักมากกว่า ๗ กิโลกรัมไปเสียเลย พอดูเวลาอีกทีก็บ่ายแก่ๆ ซะแล้ว ผ่านไปเร็วเสียจริงๆ เจ้าเวลาเนี่ย จึงสมควรต้องเดินไปยังที่พักเพื่อเช็กอินในโรงแรมแบบญี่ปุ่น แล้วไปเที่ยวอีกที่หมายหนึ่งก่อนตะวันตกดิน ที่ดูจากเส้นทางแล้ว ... ไกลไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวครับ ...
อ่านต่อฉบับหน้า...