เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก เลือดทะลักหลวมทะลุตลอดสัน
นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน เลือดก็ดั้นดาดแดงดังแทงควาย
แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก แหวะหวะฉะรกให้ขาดสาย
พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย ก็สมหมายดีใจไม่รั้งรอ
อุ้มเอาทารกยกจากท้อง กุมารทองมาเถิดไปกับพ่อ
หยิบเอาย่ามใหญ่ใส่สวมคอ เอาผ้าห่อลูกชายสะพายไป
บทประพันธ์จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ต้นกำเนิดเกิดตำนาน กุมารทอง นั่นเอง เชื่อว่ากุมารทองเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชื่อของอาจารย์คงแห่งวัดแค ปรากฏขึ้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์เป็นต้นตำรับการสร้างกุมารทองเลยทีเดียว วิธีการสร้างกุมารทองนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปแต่ละสำนัก ที่เหมือนกันคือความน่ากลัวและสยดสยองเกินกว่าเราๆท่านๆ จะลงมือสร้างได้
การเรียกใช้กุมารทองเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ ไม่จำเป็นต้องพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย เพราะเชื่อว่ากุมารทองเป็นภูติมีอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปได้ทุกสารทิศ เข้าออกบ้านเรือนได้ทุกๆที่ ผีบ้านผีเรือนมิอาจห้ามปราม แถมยังสามารถเดินทางเข้าสู่ดวงจิตของคนได้ จึงทำให้อ่านใจคนออก ทั้งนี้เพราะกุมารทองมีฤทธิ์มีเดชที่เกิดจากอานุภาพของคุณพระรัตนตรัยนั่นเอง
ปกติผู้ครอบครองกุมารทองจะทำเรือนเล็กๆ ไว้ให้เป็นที่พัก มีของเล่นวางให้เล่น เปรียบเสมือนเป็นลูกตนเอง ถึงเวลาทานอาหารก็เพียงแต่เรียกด้วยวาจาหรือระลึกด้วยจิตให้มาร่วมทานด้วยเท่านั้น ง่ายและสะดวกสบาย ไม่สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนรอบข้างอีกด้วย
ส่วนถ้าทารกที่เกิดจากครรภ์มารดา ด้วยร่างกายดูครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีขนาดเล็กและไม่มีชีวิต (ในปัจจุบันอาจอธิบายได้ว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนดหรือแท้ง) เรียกกันว่าลูกกรอก ที่สำคัญไม่เพียงแต่ลูกมนุษย์เท่านั้น แม้แต่สัตว์ก็ยังสามารถให้กำเนิดลูกกรอกได้เหมือนๆ กัน ซึ่งลูกกรอกนั้นไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมมากมายอย่างการสร้างกุมารทอง เพราะถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่เมื่อได้ลูกกรอกมาใหม่ๆ จะทำการโรยผงขมิ้นกันการเน่าเปื่อยและจัดที่ให้อยู่คล้ายกับของกุมารทอง ส่วนใหญ่ลูกกรอกจะขึ้นชื่อเรื่องของให้โชคให้ลาภ หรือจะเป็นการเข้าฝันเตือนภัยล่วงหน้า
สุดท้ายก่อนจะเกิดเป็น ตุ๊กตาเทพ ก็มีการสร้างรักยมซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบการสร้างของขลังแนวนี้เลยทีเดียว รัก-ยม เป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะคล้ายเด็กกำลังยืนชกมวย โดยรักยมมักจะอยู่ในขวดแก้วใบเล็กๆ ที่บรรจุน้ำมันหอมเอาไว้ ตามตำนานกำเนิดรักยมมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าหิมพานต์มีฤๅษีตนหนึ่งชื่อ พหลปีติฤๅษีได้พบกับกุมารน้อยคู่หนึ่งที่นอนอยู่กลางดอกบัว เลยอุ้มกลับอาศรมรับมาเลี้ยงไว้ คนหนึ่งตั้งชื่อว่ารัตตะกุมารมีรูปโฉมงดงาม กล้าหาญชาญชัย อีกคนหนึ่งชื่อยมกะกุมาร แม้รูปร่างหน้าตาจะเป็นรองแต่มีความชำนาญเรื่องเวทยอาคมและรอบรู้สรรพสิ่ง พอเติบใหญ่ขึ้นทั้งสองก็ขอลาพหลฤๅษีจากป่าหิมพานต์เข้าไปหางานทำในเมือง โดยฤๅษีได้สั่งกำชับให้กุมารทั้งสองไม่ให้ใช้วิชาความรู้ไปเบียดเบียนคนหรือแม้แต่สัตว์โดยเด็ดขาด และให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ทั้งสองได้เข้ารับราชการ รัตตะกุมารกลายเป็นทหารเอกของพระราชา ส่วนยมกะกุมารเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระราชา ด้วยรูปโฉมที่งดงามของรัตตะกุมารจึงทำให้พระธิดาของพระราชาหลงรัก แต่พระราชาได้หมั้นหมายองค์หญิงไว้กับเจ้าชายแคว้นอื่นแล้วจึงกีดกัน รัตตะกุมารโกรธแค้นที่ถูกกีดกันจึงลงมือสังหารพระราชา เมื่อสังหารพระราชาแล้ว รัตตะกุมารจึงกลับไปสารภาพผิดต่อพหลฤๅษี และขอบวชบำเพ็ญเพียรจนสิ้นอายุขัย และก่อนที่พหลฤๅษีจะละสังขารได้เอ่ยปากให้รัตตะฤๅษีขอพรได้หนึ่งอย่าง รัตตะฤๅษีจึงขอให้เมื่อไปเกิดใหม่ในชาติภพใดๆก็ตาม ขอให้มีแต่คนรัก ปราศจากศัตรู พหลฤๅษีจึงว่า ด้วยรัตตะฤๅษีเคยทำบาปที่ยิ่งใหญ่ ยังไม่สามารถไปเกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้ จะได้ไปเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ ซึ่งวัตถุชิ้นนั้นจะมีคุณสมบัติเป็นไปตามพรที่ขอทุกประการ
เมื่อ รัตตะฤๅษีละสังขาร ที่ตรงนั้นก็บังเกิดพืชชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณเป็นที่รักชอบแก่คนทั้งปวงจึงมีชื่อว่า รักซ้อน ส่วนยมกะกุมารเมื่อล่วงสู่วัยชราก็มานั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใกล้ๆ อาศรมของรัตตะฤๅษี เมื่อสิ้นชีวิตก็เกิดต้นไม้ขึ้นคู่กับต้นรักซ้อน ผู้คนจึงเรียกชื่อว่าต้นยมกะ หรือต้นมะยม การสร้างรักยมจึงนิยมใช้ลำต้นหรือรากที่แห้งตายโดยธรรมชาติของต้นรักซ้อนกับต้นมะยมนั่นเอง
เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่กับสังคมไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน นับวันยิ่งจะมีแต่เลือนรางไป เพราะวิทยาการสมัยใหม่ได้สร้างองค์ความรู้ที่อาจนำไปหักล้างกับความเชื่อดั้งเดิม การปรากฏตัวขึ้นของเหล่าตุ๊กตาเทพจึงเป็นเพียงแต่นำเอาความเชื่อเดิมๆ ที่มีรากเหง้าฝังอยู่ในสังคมไทยไปผูกโยงกับความทันสมัยของโลกยุคปัจจุบัน เพื่อหวังว่าจะสร้างให้เป็นกระแสนิยม แต่อีกไม่นานเราคงจะมีคำตอบว่าตุ๊กตาเทพนี้จะขึ้นทำเนียบเทียบชั้นกับรุ่นพี่ๆได้หรือไม่…
นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน เลือดก็ดั้นดาดแดงดังแทงควาย
แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก แหวะหวะฉะรกให้ขาดสาย
พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย ก็สมหมายดีใจไม่รั้งรอ
อุ้มเอาทารกยกจากท้อง กุมารทองมาเถิดไปกับพ่อ
หยิบเอาย่ามใหญ่ใส่สวมคอ เอาผ้าห่อลูกชายสะพายไป
บทประพันธ์จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ต้นกำเนิดเกิดตำนาน กุมารทอง นั่นเอง เชื่อว่ากุมารทองเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชื่อของอาจารย์คงแห่งวัดแค ปรากฏขึ้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์เป็นต้นตำรับการสร้างกุมารทองเลยทีเดียว วิธีการสร้างกุมารทองนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปแต่ละสำนัก ที่เหมือนกันคือความน่ากลัวและสยดสยองเกินกว่าเราๆท่านๆ จะลงมือสร้างได้
การเรียกใช้กุมารทองเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ ไม่จำเป็นต้องพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย เพราะเชื่อว่ากุมารทองเป็นภูติมีอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปได้ทุกสารทิศ เข้าออกบ้านเรือนได้ทุกๆที่ ผีบ้านผีเรือนมิอาจห้ามปราม แถมยังสามารถเดินทางเข้าสู่ดวงจิตของคนได้ จึงทำให้อ่านใจคนออก ทั้งนี้เพราะกุมารทองมีฤทธิ์มีเดชที่เกิดจากอานุภาพของคุณพระรัตนตรัยนั่นเอง
ปกติผู้ครอบครองกุมารทองจะทำเรือนเล็กๆ ไว้ให้เป็นที่พัก มีของเล่นวางให้เล่น เปรียบเสมือนเป็นลูกตนเอง ถึงเวลาทานอาหารก็เพียงแต่เรียกด้วยวาจาหรือระลึกด้วยจิตให้มาร่วมทานด้วยเท่านั้น ง่ายและสะดวกสบาย ไม่สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนรอบข้างอีกด้วย
ส่วนถ้าทารกที่เกิดจากครรภ์มารดา ด้วยร่างกายดูครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีขนาดเล็กและไม่มีชีวิต (ในปัจจุบันอาจอธิบายได้ว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนดหรือแท้ง) เรียกกันว่าลูกกรอก ที่สำคัญไม่เพียงแต่ลูกมนุษย์เท่านั้น แม้แต่สัตว์ก็ยังสามารถให้กำเนิดลูกกรอกได้เหมือนๆ กัน ซึ่งลูกกรอกนั้นไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมมากมายอย่างการสร้างกุมารทอง เพราะถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่เมื่อได้ลูกกรอกมาใหม่ๆ จะทำการโรยผงขมิ้นกันการเน่าเปื่อยและจัดที่ให้อยู่คล้ายกับของกุมารทอง ส่วนใหญ่ลูกกรอกจะขึ้นชื่อเรื่องของให้โชคให้ลาภ หรือจะเป็นการเข้าฝันเตือนภัยล่วงหน้า
สุดท้ายก่อนจะเกิดเป็น ตุ๊กตาเทพ ก็มีการสร้างรักยมซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบการสร้างของขลังแนวนี้เลยทีเดียว รัก-ยม เป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะคล้ายเด็กกำลังยืนชกมวย โดยรักยมมักจะอยู่ในขวดแก้วใบเล็กๆ ที่บรรจุน้ำมันหอมเอาไว้ ตามตำนานกำเนิดรักยมมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าหิมพานต์มีฤๅษีตนหนึ่งชื่อ พหลปีติฤๅษีได้พบกับกุมารน้อยคู่หนึ่งที่นอนอยู่กลางดอกบัว เลยอุ้มกลับอาศรมรับมาเลี้ยงไว้ คนหนึ่งตั้งชื่อว่ารัตตะกุมารมีรูปโฉมงดงาม กล้าหาญชาญชัย อีกคนหนึ่งชื่อยมกะกุมาร แม้รูปร่างหน้าตาจะเป็นรองแต่มีความชำนาญเรื่องเวทยอาคมและรอบรู้สรรพสิ่ง พอเติบใหญ่ขึ้นทั้งสองก็ขอลาพหลฤๅษีจากป่าหิมพานต์เข้าไปหางานทำในเมือง โดยฤๅษีได้สั่งกำชับให้กุมารทั้งสองไม่ให้ใช้วิชาความรู้ไปเบียดเบียนคนหรือแม้แต่สัตว์โดยเด็ดขาด และให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ทั้งสองได้เข้ารับราชการ รัตตะกุมารกลายเป็นทหารเอกของพระราชา ส่วนยมกะกุมารเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระราชา ด้วยรูปโฉมที่งดงามของรัตตะกุมารจึงทำให้พระธิดาของพระราชาหลงรัก แต่พระราชาได้หมั้นหมายองค์หญิงไว้กับเจ้าชายแคว้นอื่นแล้วจึงกีดกัน รัตตะกุมารโกรธแค้นที่ถูกกีดกันจึงลงมือสังหารพระราชา เมื่อสังหารพระราชาแล้ว รัตตะกุมารจึงกลับไปสารภาพผิดต่อพหลฤๅษี และขอบวชบำเพ็ญเพียรจนสิ้นอายุขัย และก่อนที่พหลฤๅษีจะละสังขารได้เอ่ยปากให้รัตตะฤๅษีขอพรได้หนึ่งอย่าง รัตตะฤๅษีจึงขอให้เมื่อไปเกิดใหม่ในชาติภพใดๆก็ตาม ขอให้มีแต่คนรัก ปราศจากศัตรู พหลฤๅษีจึงว่า ด้วยรัตตะฤๅษีเคยทำบาปที่ยิ่งใหญ่ ยังไม่สามารถไปเกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้ จะได้ไปเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ ซึ่งวัตถุชิ้นนั้นจะมีคุณสมบัติเป็นไปตามพรที่ขอทุกประการ
เมื่อ รัตตะฤๅษีละสังขาร ที่ตรงนั้นก็บังเกิดพืชชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณเป็นที่รักชอบแก่คนทั้งปวงจึงมีชื่อว่า รักซ้อน ส่วนยมกะกุมารเมื่อล่วงสู่วัยชราก็มานั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใกล้ๆ อาศรมของรัตตะฤๅษี เมื่อสิ้นชีวิตก็เกิดต้นไม้ขึ้นคู่กับต้นรักซ้อน ผู้คนจึงเรียกชื่อว่าต้นยมกะ หรือต้นมะยม การสร้างรักยมจึงนิยมใช้ลำต้นหรือรากที่แห้งตายโดยธรรมชาติของต้นรักซ้อนกับต้นมะยมนั่นเอง
เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่กับสังคมไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน นับวันยิ่งจะมีแต่เลือนรางไป เพราะวิทยาการสมัยใหม่ได้สร้างองค์ความรู้ที่อาจนำไปหักล้างกับความเชื่อดั้งเดิม การปรากฏตัวขึ้นของเหล่าตุ๊กตาเทพจึงเป็นเพียงแต่นำเอาความเชื่อเดิมๆ ที่มีรากเหง้าฝังอยู่ในสังคมไทยไปผูกโยงกับความทันสมัยของโลกยุคปัจจุบัน เพื่อหวังว่าจะสร้างให้เป็นกระแสนิยม แต่อีกไม่นานเราคงจะมีคำตอบว่าตุ๊กตาเทพนี้จะขึ้นทำเนียบเทียบชั้นกับรุ่นพี่ๆได้หรือไม่…