ในยุคที่ใครๆ ก็พูด ใครๆ ก็เขียนอะไรก็ได้ในเฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม หรือที่เรียกรวมๆ กันว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำให้เราได้เห็นแนวคิดและทัศนะของผู้คนหลากหลาย
บางความคิดเห็นก็น่าสนใจ บางคนเขียนได้ดีกว่านักเขียนมืออาชีพ หรือถ่ายรูปได้ดีกว่าช่างภาพนิตยสาร หรือมีความรู้ยิ่งกว่านักวิชาการหรือพวกกูรูที่เขียนหนังสือขายเสียอีก
อย่างระบบในเฟซบุ๊ก นอกจากที่จะสมัครสร้างบัญชีผู้ใช้งานเป็นชื่อของเราได้ง่ายแล้ว หากเราจะเปิด “เพจ” หรือคล้ายๆ หน้าเว็บที่ไม่ขึ้นกับเรา ก็ยังทำได้ง่ายอีกด้วย แค่ไม่กี่คลิ๊ก
แถมผู้ใช้คนนึงจะเปิดกี่เพจก็ได้ ทำให้การมี “พื้นที่” ในโลกออนไลน์ของผู้คนสมัยนี้นั้นง่ายดายขึ้นมาก จากที่สมัยก่อนต้องสร้างเว็บไซต์ หรือเขียนบล็อก
แต่ก็เพราะความเสรีอันนี้แหละ นอกจากจะให้เราได้เห็นความคิดของผู้คนจำนวนมาก ที่มีประโยชน์อย่างที่ว่า แต่เราก็ได้เห็น “ความคิด” จากพวกมนุษย์ประหลาดขวางโลกด้วยเช่นกัน
มนุษย์ประหลาดขวางโลกที่คอยจะสวนกระแสเขาไปเสียทุกเรื่อง อะไรที่เขาว่าดีว่างาม ก็จะต้องหาแง่หามุมมาคัดมาง้าง
คนพวกนี้มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นพวก “ลิเบอรัล” คิดต่าง – เห็นต่าง
และน่าแปลกที่เพจของพวกคิดต่าง เห็นต่าง พวกนี้ จะเกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับเครือข่ายเสื้อแดง หรือกลุ่มที่หมิ่นเหม่สถาบัน
คนพวกนี้บางครั้งก็แฝงตัวเป็นพวกนักคิด ทำตัวเป็นว่ามีความคิดทันสมัย มองทุกอย่างว่าเป็นเรื่องวาทกรรม กดทับ ครอบงำ หรือโฆษณาชวนเชื่อ
ชาติไม่มีจริง ศาสนาเป็นแค่ความเชื่องมงาย ความดี ความชั่วไม่มีจริง มนุษย์ทุกคนเสมอกันไม่มีใครทั้งสิ้นที่อยู่ในฐานะอันควรสักการบูชา
ขบวนการขวางโลกพวกนี้จะพยายามให้ความเห็นไปเสียทุกเรื่อง รู้ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าประเด็นต่างๆ อะไรในสังคม จะเล็ก จะใหญ่อย่างไรก็ต้องออกมา “ขวางกระแส” ไว้ก่อน
ก่อนหน้านี้ก็มี เช่น การโจมตีพระภิกษุสงฆ์บางรูป ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนจำนวนมาก นำท่านไปล้อเลียนเสียๆ หายๆ ตัดต่อภาพลามกหยาบคาย เพียงเพราะท่านเคยแสดงธรรมบางเรื่องที่ไปจี้ใจให้ตีความไปในทาง “ขัดใจ” พวกมนุษย์ขวางโลก
ไปว่าท่านเป็นพระการเมืองบ้าง พระสลิ่มบ้าง
ส่วนพระรูปไหนเทศนาถูกใจหน่อย พอฟังได้ว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็บูชากันไป อ้าว ทีอย่างนี้ไม่ยักว่าเป็นพระการเมือง มาตรฐานอยู่ไหนก็ไม่รู้
หรืออย่างที่รัฐบาลให้ค่านิยม 12 ประการแก่พลเมือง ซึ่งก็เป็นแค่ค่านิยมเชิงแนะนำแนวทางปฏิบัติ หากกระทำได้ ก็ถือว่าเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
หากนำมาพิจารณาดูค่านิยม 12 ประการแต่ละข้อ ก็จะเห็นว่าทุกข้อก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนไม่ว่ารัฐไหนประเทศไหนต้องกระทำอยู่แล้ว เช่น ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ฯลฯ
พวกก็หาว่าเป็นการล้างสมอง ครอบงำความคิดประชาชน สถาปนาอำนาจจากรัฐเผด็จการบ้างอะไรบ้าง
ทั้งๆ ที่คนพวกนี้ เวลาไปเที่ยวประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่นหรือสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะชื่นชมในความสะอาด มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมายของคนในบ้านเขา อ้าว ทีอย่างนี้ไม่หาว่าเป็นการที่รัฐประเทศเผด็จการครอบงำประชาชนหรอกหรือครับ
แต่ไม่นานนี้ ก็เพิ่งมีเหตุการณ์ “ดรามา” ในสังคมออนไลน์ ที่ผู้คนชาวเน็ตออกมา “สอนมวย” พวก “ชาวสวน” ขวางโลกนี้กันคนละไม้ละมือ ไม่รู้ว่าจะเข็ดไหม
คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นวันครู มีการนำเสนอเรื่องของคุณครูผู้เสียสละ คือครูใหญ่และคณะครูโรงเรียนวรรณวิทย์ ที่ซอยสุขุมวิท 8 ที่เป็นโรงเรียนเรือนไม้เล็กๆ ก่อตั้งมา 70 ปีแล้ว มีครูใหญ่ คือ ม.ร.ว.รุจีสมร สุขสวัสดิ์ อายุกว่า 90 ปี
คุณครูใหญ่ท่านมีอุดมการณ์อันแรงกล้า ที่จะคงรักษาโรงเรียนนี้ไว้ โดยคิดค่าเล่าเรียนถูกๆ เพียงพันกว่าบาท เพื่อให้เด็กยากจนในย่านนั้นได้มีที่เรียนหนังสือ โดยไม่ยอมขายที่ดินให้นายทุนที่หมายตามองที่ดินในทำเลทองแถวนั้น แม้จะถูกโอบล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้า และแม้จะได้รับเสนอราคาถึงพันล้านบาทก็ตาม
อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของคุณครูใหญ่ และบรรดาครูที่อุทิศตนและอุดมการณ์ในการสอนและดูแลนักเรียนในโรงเรียนวรรณวิทย์นี้เอง ได้รับการสรรเสริญ และยิ่งเผยแพร่ไปไกลมากขึ้น เมื่อมีเครือข่ายค้าปลีกเจ้าหนึ่งนำเรื่องมาทำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โฆษณา พร้อมบริจาคเงินให้โรงเรียนด้วย
ภาพยนตร์โฆษณานี้ได้รับการแชร์ไปเป็นอันมากด้วยความซาบซึ้งใจ มากจนกระทั่งไป “เตะตา” ขัดใจพวกมนุษย์ขวางโลกเข้า
เพจ “ขอกูพูดบ้างเหอะ” ซึ่งเป็นเพจแนวๆ เสนอความคิดต่างเห็นต่าง ก็เลยนำเสนอความเห็นในทำนองที่ว่า อุดมการณ์ของคุณครูใหญ่จะมีจริง แต่ถ้าครูใหญ่ตายไป โรงเรียนก็คงจะอยู่ต่อไปไม่ได้ สุดท้ายก็คงต้องถูกขายให้นายทุนไปอยู่ดี
ก่อนจะสรุปว่า ถ้าครูใหญ่มีอุดมการณ์จริงๆ ก็ควรจะยกโรงเรียนนี้ให้หน่วยงานของรัฐดูแลไปเสียดีกว่า
ปรากฏเจอดอกนี้เข้าไป ชาวเน็ตจากทั่วสารทิศ ซึ่งรวมถึงลูกเพจด้วย รวมทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนวรรณวิทย์ รวมถึงแอดมินของเพจโรงเรียน ก็สามัคคีชุมนุมเข้ามาตอบโต้ทั้งแบบสุภาพและแบบเผ็ดร้อนเสียจนแอดมินไปไม่เป็น ต้องยกข้ออ้างข้างๆ คูๆ บ้าง พูดโจมตีเจ้าของทุนที่ให้ทำภาพยนตร์สั้นโฆษณาบ้าง
โดนสารพัดจนกระทั่งแอดมินต้องออกมาตัดพ้อว่า ตัวเองก็มีสิทธิเสนอความเห็นต่างได้นะ แล้วก็ไปยกเคสกรณีโรงเรียนเอกชนอีกแห่ง ที่พอเจ้าของโรงเรียนตาย ลูกเจ้าของโรงเรียนตัดสินใจเลิกทำโรงเรียนต่อแล้วจะแบ่งมรดกกันมายกตัวอย่างว่า เนี่ยๆ เห็นไหม เดี๋ยวก็เป็นแบบนี้
สรุปว่าการคิดต่างทำเท่ของแอดมินเพจนี้ ก็ได้ผลตอบรับจากประชาชนชาวเน็ตแบบเกือบ 100% Negative แบบอวสานโลกมืดกันไป
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เขาจะเชื่อว่า คนดีๆ มีอุดมการณ์ คนดีๆ ที่ทำอะไรเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน คนดีๆ ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ไม่สั่นคลอน ถ้ามีจริงแล้วมันไปหนักศีรษะหัวอะไรพวกเขาขนาดนั้นหรือไร
หรือการที่มี “คนดี” อยู่ในความสว่าง มันไปทำลายอุดมการณ์ว่าโลกไม่มีความดีอะไร นับถือคนชั่วกันดีกว่า ของพวกเขาหรือเปล่า
เมื่อลองไปค้นดูโพสต์เก่าๆ และโพสต์ปัจจุบันของเพจนี้ ก็เห็นชัดว่า เพจนี้เป็นเพจแนวร่วมของพวกคนเสื้อแดงนั่นแหละ เพราะก็จะแชร์ข่าวจากเพจหรือจากเว็บขาประจำที่โจมตีรัฐบาลและ คสช.รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด
เอาล่ะครับ ก็คิดว่าคงได้บทเรียนกันไป ว่าอยากเป็นเพจเสื้อแดง อยากจะโจมตีรัฐบาล หรืออวยพวกอำนาจเก่าอย่างไรก็ทำไป ออกตัวมาเต็มๆ ออกตัวให้ชัดก็ไม่ว่า
แต่ว่าอย่าทำเป็นอวดฉลาดมาแสดงความเห็นทางสังคม ทำเป็นคิดต่างให้เห็นว่าฉลาดลึกล้ำเข้าใจโลกเข้าใจความเป็นจริงอะไรหน่อยเลย
เพราะถ้าไม่ออกความเห็นขวางโลกแบบไม่เข้าท่า คนก็ไม่ด่าว่าโง่นะครับ.
บางความคิดเห็นก็น่าสนใจ บางคนเขียนได้ดีกว่านักเขียนมืออาชีพ หรือถ่ายรูปได้ดีกว่าช่างภาพนิตยสาร หรือมีความรู้ยิ่งกว่านักวิชาการหรือพวกกูรูที่เขียนหนังสือขายเสียอีก
อย่างระบบในเฟซบุ๊ก นอกจากที่จะสมัครสร้างบัญชีผู้ใช้งานเป็นชื่อของเราได้ง่ายแล้ว หากเราจะเปิด “เพจ” หรือคล้ายๆ หน้าเว็บที่ไม่ขึ้นกับเรา ก็ยังทำได้ง่ายอีกด้วย แค่ไม่กี่คลิ๊ก
แถมผู้ใช้คนนึงจะเปิดกี่เพจก็ได้ ทำให้การมี “พื้นที่” ในโลกออนไลน์ของผู้คนสมัยนี้นั้นง่ายดายขึ้นมาก จากที่สมัยก่อนต้องสร้างเว็บไซต์ หรือเขียนบล็อก
แต่ก็เพราะความเสรีอันนี้แหละ นอกจากจะให้เราได้เห็นความคิดของผู้คนจำนวนมาก ที่มีประโยชน์อย่างที่ว่า แต่เราก็ได้เห็น “ความคิด” จากพวกมนุษย์ประหลาดขวางโลกด้วยเช่นกัน
มนุษย์ประหลาดขวางโลกที่คอยจะสวนกระแสเขาไปเสียทุกเรื่อง อะไรที่เขาว่าดีว่างาม ก็จะต้องหาแง่หามุมมาคัดมาง้าง
คนพวกนี้มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นพวก “ลิเบอรัล” คิดต่าง – เห็นต่าง
และน่าแปลกที่เพจของพวกคิดต่าง เห็นต่าง พวกนี้ จะเกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับเครือข่ายเสื้อแดง หรือกลุ่มที่หมิ่นเหม่สถาบัน
คนพวกนี้บางครั้งก็แฝงตัวเป็นพวกนักคิด ทำตัวเป็นว่ามีความคิดทันสมัย มองทุกอย่างว่าเป็นเรื่องวาทกรรม กดทับ ครอบงำ หรือโฆษณาชวนเชื่อ
ชาติไม่มีจริง ศาสนาเป็นแค่ความเชื่องมงาย ความดี ความชั่วไม่มีจริง มนุษย์ทุกคนเสมอกันไม่มีใครทั้งสิ้นที่อยู่ในฐานะอันควรสักการบูชา
ขบวนการขวางโลกพวกนี้จะพยายามให้ความเห็นไปเสียทุกเรื่อง รู้ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าประเด็นต่างๆ อะไรในสังคม จะเล็ก จะใหญ่อย่างไรก็ต้องออกมา “ขวางกระแส” ไว้ก่อน
ก่อนหน้านี้ก็มี เช่น การโจมตีพระภิกษุสงฆ์บางรูป ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนจำนวนมาก นำท่านไปล้อเลียนเสียๆ หายๆ ตัดต่อภาพลามกหยาบคาย เพียงเพราะท่านเคยแสดงธรรมบางเรื่องที่ไปจี้ใจให้ตีความไปในทาง “ขัดใจ” พวกมนุษย์ขวางโลก
ไปว่าท่านเป็นพระการเมืองบ้าง พระสลิ่มบ้าง
ส่วนพระรูปไหนเทศนาถูกใจหน่อย พอฟังได้ว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็บูชากันไป อ้าว ทีอย่างนี้ไม่ยักว่าเป็นพระการเมือง มาตรฐานอยู่ไหนก็ไม่รู้
หรืออย่างที่รัฐบาลให้ค่านิยม 12 ประการแก่พลเมือง ซึ่งก็เป็นแค่ค่านิยมเชิงแนะนำแนวทางปฏิบัติ หากกระทำได้ ก็ถือว่าเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
หากนำมาพิจารณาดูค่านิยม 12 ประการแต่ละข้อ ก็จะเห็นว่าทุกข้อก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนไม่ว่ารัฐไหนประเทศไหนต้องกระทำอยู่แล้ว เช่น ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ฯลฯ
พวกก็หาว่าเป็นการล้างสมอง ครอบงำความคิดประชาชน สถาปนาอำนาจจากรัฐเผด็จการบ้างอะไรบ้าง
ทั้งๆ ที่คนพวกนี้ เวลาไปเที่ยวประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่นหรือสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะชื่นชมในความสะอาด มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมายของคนในบ้านเขา อ้าว ทีอย่างนี้ไม่หาว่าเป็นการที่รัฐประเทศเผด็จการครอบงำประชาชนหรอกหรือครับ
แต่ไม่นานนี้ ก็เพิ่งมีเหตุการณ์ “ดรามา” ในสังคมออนไลน์ ที่ผู้คนชาวเน็ตออกมา “สอนมวย” พวก “ชาวสวน” ขวางโลกนี้กันคนละไม้ละมือ ไม่รู้ว่าจะเข็ดไหม
คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นวันครู มีการนำเสนอเรื่องของคุณครูผู้เสียสละ คือครูใหญ่และคณะครูโรงเรียนวรรณวิทย์ ที่ซอยสุขุมวิท 8 ที่เป็นโรงเรียนเรือนไม้เล็กๆ ก่อตั้งมา 70 ปีแล้ว มีครูใหญ่ คือ ม.ร.ว.รุจีสมร สุขสวัสดิ์ อายุกว่า 90 ปี
คุณครูใหญ่ท่านมีอุดมการณ์อันแรงกล้า ที่จะคงรักษาโรงเรียนนี้ไว้ โดยคิดค่าเล่าเรียนถูกๆ เพียงพันกว่าบาท เพื่อให้เด็กยากจนในย่านนั้นได้มีที่เรียนหนังสือ โดยไม่ยอมขายที่ดินให้นายทุนที่หมายตามองที่ดินในทำเลทองแถวนั้น แม้จะถูกโอบล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้า และแม้จะได้รับเสนอราคาถึงพันล้านบาทก็ตาม
อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของคุณครูใหญ่ และบรรดาครูที่อุทิศตนและอุดมการณ์ในการสอนและดูแลนักเรียนในโรงเรียนวรรณวิทย์นี้เอง ได้รับการสรรเสริญ และยิ่งเผยแพร่ไปไกลมากขึ้น เมื่อมีเครือข่ายค้าปลีกเจ้าหนึ่งนำเรื่องมาทำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โฆษณา พร้อมบริจาคเงินให้โรงเรียนด้วย
ภาพยนตร์โฆษณานี้ได้รับการแชร์ไปเป็นอันมากด้วยความซาบซึ้งใจ มากจนกระทั่งไป “เตะตา” ขัดใจพวกมนุษย์ขวางโลกเข้า
เพจ “ขอกูพูดบ้างเหอะ” ซึ่งเป็นเพจแนวๆ เสนอความคิดต่างเห็นต่าง ก็เลยนำเสนอความเห็นในทำนองที่ว่า อุดมการณ์ของคุณครูใหญ่จะมีจริง แต่ถ้าครูใหญ่ตายไป โรงเรียนก็คงจะอยู่ต่อไปไม่ได้ สุดท้ายก็คงต้องถูกขายให้นายทุนไปอยู่ดี
ก่อนจะสรุปว่า ถ้าครูใหญ่มีอุดมการณ์จริงๆ ก็ควรจะยกโรงเรียนนี้ให้หน่วยงานของรัฐดูแลไปเสียดีกว่า
ปรากฏเจอดอกนี้เข้าไป ชาวเน็ตจากทั่วสารทิศ ซึ่งรวมถึงลูกเพจด้วย รวมทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนวรรณวิทย์ รวมถึงแอดมินของเพจโรงเรียน ก็สามัคคีชุมนุมเข้ามาตอบโต้ทั้งแบบสุภาพและแบบเผ็ดร้อนเสียจนแอดมินไปไม่เป็น ต้องยกข้ออ้างข้างๆ คูๆ บ้าง พูดโจมตีเจ้าของทุนที่ให้ทำภาพยนตร์สั้นโฆษณาบ้าง
โดนสารพัดจนกระทั่งแอดมินต้องออกมาตัดพ้อว่า ตัวเองก็มีสิทธิเสนอความเห็นต่างได้นะ แล้วก็ไปยกเคสกรณีโรงเรียนเอกชนอีกแห่ง ที่พอเจ้าของโรงเรียนตาย ลูกเจ้าของโรงเรียนตัดสินใจเลิกทำโรงเรียนต่อแล้วจะแบ่งมรดกกันมายกตัวอย่างว่า เนี่ยๆ เห็นไหม เดี๋ยวก็เป็นแบบนี้
สรุปว่าการคิดต่างทำเท่ของแอดมินเพจนี้ ก็ได้ผลตอบรับจากประชาชนชาวเน็ตแบบเกือบ 100% Negative แบบอวสานโลกมืดกันไป
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เขาจะเชื่อว่า คนดีๆ มีอุดมการณ์ คนดีๆ ที่ทำอะไรเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน คนดีๆ ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ไม่สั่นคลอน ถ้ามีจริงแล้วมันไปหนักศีรษะหัวอะไรพวกเขาขนาดนั้นหรือไร
หรือการที่มี “คนดี” อยู่ในความสว่าง มันไปทำลายอุดมการณ์ว่าโลกไม่มีความดีอะไร นับถือคนชั่วกันดีกว่า ของพวกเขาหรือเปล่า
เมื่อลองไปค้นดูโพสต์เก่าๆ และโพสต์ปัจจุบันของเพจนี้ ก็เห็นชัดว่า เพจนี้เป็นเพจแนวร่วมของพวกคนเสื้อแดงนั่นแหละ เพราะก็จะแชร์ข่าวจากเพจหรือจากเว็บขาประจำที่โจมตีรัฐบาลและ คสช.รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด
เอาล่ะครับ ก็คิดว่าคงได้บทเรียนกันไป ว่าอยากเป็นเพจเสื้อแดง อยากจะโจมตีรัฐบาล หรืออวยพวกอำนาจเก่าอย่างไรก็ทำไป ออกตัวมาเต็มๆ ออกตัวให้ชัดก็ไม่ว่า
แต่ว่าอย่าทำเป็นอวดฉลาดมาแสดงความเห็นทางสังคม ทำเป็นคิดต่างให้เห็นว่าฉลาดลึกล้ำเข้าใจโลกเข้าใจความเป็นจริงอะไรหน่อยเลย
เพราะถ้าไม่ออกความเห็นขวางโลกแบบไม่เข้าท่า คนก็ไม่ด่าว่าโง่นะครับ.