นานมาแล้วได้ฟังรายการบนวิทยุคลื่นหนึ่ง เคยกล่าวแนะนำทำนองว่า
"ให้ลองเดินทางโดยไม่มีการวางแผนดูบ้าง เพราะจะเป็นการฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปในตัว และสนุกกับการผจญภัยที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ"
ฟังดูแล้วก็เข้าท่า แต่ตอนนั้นยังเป็นเด็ก ไม่ได้มีงานมีการทำ ก็เลยได้แค่คิดแล้วก็ละเลยมันไป
นับตั้งแต่ที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน การออกไปเที่ยวต่างจังหวัด จะเป็นการเดินทางที่มีการวางแผนล่วงหน้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งตั๋วเครื่องบินที่จองกันข้ามปี หรือโรงแรมที่จองผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้านับสัปดาห์
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยผิดแผนที่วางเอาไว้เลย เพราะบางครั้งเวลาเดินทางล่าช้า หรือเกิดเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้การวางแผนไปเที่ยวคลาดเคลื่อน ก็ต้องคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนกัน
จำได้ว่า เมื่อสัก 4-5 ปีที่แล้ว ตอนที่แบ็คแพ็คไปเยี่ยมญาติที่เกาะสมุย แล้วต่อด้วยภูเก็ต เจอรถทัวร์ของพันทิพย์ฯ เสียตั้งแต่พังงา ต้องเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ผลก็คือไปถึง บขส. ภูเก็ต (เก่า) ราวสองทุ่มเศษๆ แทนที่จะได้นั่งรถโพท้องไปป่าตองก็พลาดเพราะรถหมด
ต้องพูดภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ขอชาวต่างชาติ (แถบตะวันออกกลาง) หารค่ารถกระบะเหมาไปป่าตอง แถมยังเกิดเรื่องที่ชาวต่างชาติต่อราคาไปส่งอีกจุดหนึ่งที่ไกลออกไป เกือบจะมีเรื่องชกต่อยกับโชเฟอร์
ภายหลังโชเฟอร์ก็พูดคุยทำความเข้าใจ บอกว่าอย่าไปถือสา เพราะต่างชาติพวกนี้ขี้เหนียว ได้คืบจะเอาศอก
นับเป็นประสบการณ์การเที่ยวภูเก็ตครั้งหนึ่งที่ยากจะลืมเลือน
กลับมาถึงช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ด้วยความที่ออฟฟิศนี้ทำงานด้านข่าว และมีเรื่องราวผ่านเข้ามาไม่หยุด กองบรรณาธิการข่าวแต่ละโต๊ะจะหยุดไม่เหมือนชาวบ้าน ที่รับผิดชอบอยู่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่หยุดครึ่งแรก แล้วมาทำงานครึ่งหลัง
กับอีกส่วนที่ทำงานครึ่งแรก แล้วหยุดครึ่งหลัง
ผู้เขียนได้วันหยุดครึ่งหลัง คือตั้งแต่ 1-5 มกราคม 2559 เป็นเวลา 5 วัน พร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง
วันทำงานสุดท้ายของปีคือวันสิ้นปี หลังเลิกงานก็ไม่ได้ไปเคาน์ดาวน์ปีใหม่ที่ไหน นั่งชมการถ่ายทอดสดจากวัดอรุณราชวรารามฯ อยู่กับบ้าน
แต่พอมาอยู่กับบ้านหนึ่งวันเต็มๆ พยายามเคลียร์งานอยู่กับบ้านแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่า ทำไมเรายังต้องอยู่กับบรรยากาศเดิมๆ ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน ระหว่างใจกลางกรุงเทพฯ กับชานเมือง
ก็เลยเกิดความคิดที่ว่า อยากจะออกไปเปิดหูเปิดตาที่ต่างจังหวัดดูบ้าง
ปัญหาคือ ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าปีใหม่ปีนี้จะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดเลย เพราะเป็นคนไม่ชอบไปเที่ยวในช่วงเทศกาล ไปเจอคนเยอะ แย่งกันกินแย่งกันใช้ ก็เลยไม่ได้จองตั๋วเครื่องบิน และที่พักล่วงหน้า
มาถึงเวลานั้น ตั๋วเครื่องบินราคาแพงก็จองไม่ได้ ส่วนรถทัวร์ ... อย่าหวังเลย! จากกรุงเทพฯ เต็มทุกเที่ยว
มาได้ไอเดียตรงที่บริษัทรถทัวร์ที่ชื่อว่า "เพชรประเสริฐ" เพิ่งจะเปิดเส้นทางใหม่ จากสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ไปแม่สอด จ.ตาก โดยมีจุดจอดที่นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร มหาชัย ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องไปขึ้นรถไกลถึงหมอชิต
ด้วยความสนใจ คิดว่าแวะไปเที่ยวที่แม่สอดก่อน แล้วค่อยหารถไปเที่ยวต่อที่อื่น จึงโทรศัพท์ไปสอบถามพนักงานขายตั๋ว ได้คำตอบว่ายังมีที่นั่งเหลือ จึงตัดสินใจจองแบบไม่ลังเล แล้วไปจ่ายเงินที่เซเว่นอีเลฟเว่น
ณ วันที่ออกเดินทาง (2 มกราคม 2559) เป็นรถมาตรฐานชั้น 1 (ข) พิเศษ ค่าโดยสารจากมหาชัยตอนนั้นอยู่ที่ 449 บาท บวกค่าบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส 15 บาท เป็น 464 บาท รถจะออกจากมหาชัยก่อน 2 ทุ่มครึ่ง
การเดินทางแบบไม่มีแบบแผนกำลังจะเริ่มขึ้น ...
2 มกราคม 2559, 19.30 น.
บรรยากาศจุดจอดรถทัวร์ ตอนนั้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมดเพราะโรงงานหยุดช่วงเทศกาล อาคารพาณิชย์ด้านข้างเป็นจุดจอดรถทัวร์ชินเกียรติโคราช ไปอุบลราชธานี ซึ่งเดินรถมานานแล้ว มีคนรอเดินทางอยู่นิดหน่อย
แม้ว่าจะรู้สึกเฉยๆ เพราะจองตั๋วไปแม่สอดได้แล้ว พยายามมาถึงจุดจอดรถให้เร็วเพราะไม่อยากตกรถ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหวั่นไหวว่า ไปถึงแม่สอดแล้วจะเอายังไงต่อ
จากตัวเลือกที่ว่า ขากลับไปเมืองตาก แล้วไปต่อที่เชียงใหม่ ในหัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกตัวเลือกหนึ่ง คือนั่งรถจากแม่สอดรอบบ่ายสองโมงครึ่ง ผ่านสุโขทัย พิษณุโลก หล่มสัก ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ไปถึงมุกดาหารประมาณเช้าตรู่ของวันถัดไป
แต่เอาแค่แม่สอดก็ไม่รู้จะไปไหนต่อเลย เพราะไม่ทำการบ้านว่าจะไปเที่ยวไหน ที่สุดแล้วจึงหยุดคิด ขอแค่ถึงแม่สอดก่อน แล้วค่อยไปหาจุดหมายปลายทางเอาข้างหน้า
สองทุ่มเศษๆ รถทัวร์จากสวนผึ้งก็มาถึงพอดี เป็นรถโดยสารขนาดใหญ่ชั้นเดียว 42 ที่นั่ง แต่ชั้นล่างเป็นที่วางสัมภาระ และห้องน้ำบริเวณบันไดทางขึ้นรถ พนักงานก็ทำการดึงตั๋วด้านหน้าเก็บไว้ แล้วส่งคืนแผ่นหลังที่เย็บกระดาษรวมกัน
พอขึ้นไปแล้ว ... ปรากฏว่าทั้งคันมีผู้โดยสารรวมกันแค่ 3 คน!
ช่วงนั้นได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า เดินรถเส้นนี้จะรอดไหม แต่เพชรประเสริฐที่ผ่านมาก็เดินรถสายเพชรบูรณ์มานาน และเดินรถทัวร์ข้ามภาคมาก่อนจะได้สัมปทานเดินรถสายนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็คงคิดอย่างรอบคอบอยู่บ้างล่ะ
เริ่มต้น พนักงานแจกอาหารว่างประกอบด้วย มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ 1 กระป๋อง, น้ำผลไม้ 1 กล่อง และน้ำดื่มขวดเล็ก 1 ขวด ก่อนจะออกเดินทางผ่านเส้นกาญจนาภิเษก ไปออกบางปะอิน จอดพักทานข้าวที่อินทร์บุรี 20 นาที มุ่งหน้าไปนครสวรรค์
ช่วงเวลานั้นทำอะไรไม่ได้มาก ก็ได้แค่เล่นเน็ตบนมือถือ ดูคลิป ฟังเพลง จะเผลอหลับก็มีบางช่วงเวลา แต่ก็หลับลงเพียงสั้นๆ ไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้นเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศตลอดเส้นทางที่ผ่าน
ในตอนนั้นประชาชนทยอยเดินทางกลับกรุงเทพฯ บนถนนสายเอเชียจึงเต็มไปด้วยรถราที่มากเป็นพิเศษ รถมากเคลื่อนตัวช้า ปั้มน้ำมันมีแต่คนแย่งกันเข้าไปใช้บริการ
เห็นแล้วก็นึกว่าโชคดีที่ไม่ต้องไปแย่งกันกิน แย่งกันใช้แบบนั้น
หัวเราะที่หลังดังกว่า!
เที่ยงคืนครึ่ง รถมาถึงนครสวรรค์ ปรากฏว่ามีผู้โดยสารเข้ามารออยู่กลุ่มหนึ่ง รวมกันแล้วครึ่งคันรถทัวร์ ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าที่มากันเป็นกลุ่ม ก่อนที่จะแวะส่งคนที่กำแพงเพชรตอนตีสองครึ่ง และแวะรับคนที่ตากตอนตีสามครึ่งจนเต็มคันรถ
รถทัวร์เข้าสู่ถนนสายตาก – แม่สอด จากจุดนี้ไปอีก 80 กิโลเมตร ท่ามกลางผู้โดยสารเต็มคันรถ แม้ถนนช่วงนั้นเป็นทางขึ้นเขา ลงเขาหลายจุด อีกทั้งถนนกำลังก่อสร้าง แต่ท่ามกลางอันตราย ความมืดมิดของถนนและป่า
ใครที่นั่งริมหน้าต่างจะมองเห็นดวงดาวสว่างไสว
นี่เป็นข้อดีเพียงไม่กี่ข้อของความมืดในเวลากลางคืน นอกเหนือจากความน่ากลัวของสภาพถนน
ตีห้าเศษๆ เรามาถึงเขตอำเภอแม่สอด แต่ต้องผ่านด่านของเจ้าหน้าที่ก่อน ที่จุดตรวจร่วมบ้านห้วยหินฝน เจ้าหน้าที่ ตม. จะขึ้นมาบนรถพร้อมกับขอเรียกดูหลักฐานประจำตัว
ปรากฏว่ามีแต่คนโชว์หนังสือเดินทางสีม่วงของพม่าทั้งนั้นเลย
เหลือแต่เราเพียงคนเดียวที่เป็นแกะดำ โชว์หนังสือเดินทาง (ของไทย) เพราะขี้เกียจหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
ระหว่างรอตรวจหลักฐาน สังเกตข้อความบนป้อมยาม ระบุไว้ชัดเจนว่า
“แม้ไม่ใช่หน้าที่ก็ต้องทำ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
กับอีกข้อความหนึ่งระบุว่า “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะไม่ถูกใจก็ตาม”
อ่านแล้วก็ได้แต่คิดว่า สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากหน้าที่พลเมือง คือจิตสำนึก จะมีสักกี่คนที่รู้สึกทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ อย่างประโยคด้านบน โดยไม่หวังผลหรือสิ่งตอบแทน
เพราะไม่ว่าผู้มีอำนาจมากี่ยุคกี่สมัย ก็มีเรื่องไม่ชอบมาพากลทั้งนั้น
3 มกราคม 2559, 05.25 น.
เรามาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอแม่สอดตั้งแต่เช้ามืด ก่อนหน้านี้รถทัวร์จะจอดส่งผู้โดยสารอยู่สองจุด คือ วงเวียนแม่สอด ซึ่งเป็นทางแยกออกไปยัง อ.พบพระ และ อ.อุ้มผาง กับสำนักงานเทศบาลนครแม่สอด
อากาศในตอนนั้นค่อนข้างหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียส ผู้คนจำนวนมากต่างรอคอยรถที่จะออกเดินทางไปยังต่างอำเภอ ส่วนคนที่จะไปด่านสะพานมิตรภาพไทย - พม่า จะมีรถสองแถวสายแม่สอด - ริมเมย
ถามโชเฟอร์ว่า ไปตลาดริมเมยขึ้นคันไหน เขาเรียกคนขับให้นั่งหน้าสุดพร้อมกับคนขับรถ ก่อนจ่ายเงินค่าโดยสาร 20 บาท เข้าใจว่าเขาพยายามแยกคนไทยออกจากกันต่างหาก เพื่อความสะดวกเวลาตำรวจเข้าตรวจค้น
ออกจากขนส่งแม่สอดสักพัก เมื่อใกล้จะถึงด่านสะพาน ก็พบกับตำรวจตั้งด่านลอยกลุ่มหนึ่ง เรียกรถสองแถวมาจอดเพื่อตรวจค้นชาวพม่า โชเฟอร์บอกกับตำรวจว่าคนที่นั่งหน้าเป็นคนไทย ก็นั่งรอให้ตำรวจตรวจค้นกันไป
สักพักตำรวจนายหนึ่งเข้ามาถามว่า “มาทำอะไรครับ” ก็เลยอธิบายไปว่า นั่งรถทัวร์มาเที่ยว เขาก็อธิบายไปว่า ช่วงนี้เข้มงวดกันหนักหน่อย เพราะเพิ่งจะมีเรื่องคดีเกาะเต่า ที่ศาลสั่งประหารชีวิต 2 แรงงานพม่าแล้วทางโน้นไม่พอใจ
ออกจากด่านตรวจมาแล้ว รถสองแถวจอดหมดระยะที่เชิงสะพานมิตรภาพไทย - พม่า ชาวพม่าจำนวนนับร้อยต่างรอคอยออกนอกประเทศ ด่านพรมแดนแม่สอดจะเปิดกันตอนตีห้าครึ่ง ปิดสองทุ่มครึ่ง ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ส่วนร้านค้าแถวนั้นเหรอ ... เงียบสนิท ไม่มีร้านไหนเปิดตอนเช้ามืด นอกจากตู้ขายไก่ทอดห้าดาว ส่วนตลาดริมเมยซึ่งอยู่ติดกัน ร้านค้าเปิดเพียงแค่ไม่กี่ร้าน ยังไม่มีผู้คนออกมาเดินจับจ่ายซื้อของ
นึกในใจว่า ... สงสัยจะมาที่ตลาดริมเมยผิดเวลา!
ท้ายที่สุดด้วยความหิว จึงเปิดกูเกิลหาร้านอาหารที่เปิดตอนเช้า ก่อนตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปส่งที่ร้านขายโจ๊กเจ้าดังในตัวอำเภอแม่สอด จากเชิงสะพานมิตรภาพไทย – พม่า เขาคิดค่าโดยสาร 80 บาท
ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์ไปส่งที่ร้านขายโจ๊กอีกร้านหนึ่ง พอไปรู้มาที่หลังก็พบว่าไม่ใช่ร้านที่แนะนำในพันทิปที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรมพรเทพ แต่ดูสภาพร้านยังใหม่ คนขายยังดูหนุ่มวัยรุ่นอยู่เลย
สั่งโจ๊กใส่ไข่ธรรมดา (35 บาท) รสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก เหมือนกับที่กินในกรุงเทพฯ
หลังอิ่มท้อง ด้วยความที่นั่งรถทัวร์มา 9 ชั่วโมง ก็รู้สึกว่าเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ อยากจะอาบน้ำแล้วนอนพักสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยกลับไปเมืองตาก เลยเสิร์ชกูเกิล พบโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่คิดว่าน่าจะพอมีที่พักชั่วคราวได้ ก็เลยเดินไปตามแผนที่
แต่พอเดินไปถึง ปรากฏว่ากลายเป็นโรงแรมร้าง พร้อมติดประกาศว่า “ขายกิจการ...”
ความพยายามในการหาที่พักชั่วคราวยังไม่หมดลง เสิร์ชเจอโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่อยู่ถนนใหญ่ออกไป จึงเดินไปตามแผนที่เป็นระยะทางไกลพอสมควร ตอนนั้นสมองเริ่มล้าไปหมดแล้ว อยากจะหลับลงสักงีบ
ไปถึงโรงแรมที่พัก สภาพเหมือนโรงแรมเก่า ไม่มีม่านรูด เจอพนักงานชายคนหนึ่งพูดภาษาไทยไม่ชัด จึงสอบถามราคา เขาตอบว่าชั่วคราว 3 ชั่วโมง 180 บาท ก่อนที่จะตอบตกลงแล้วชี้ให้เข้าไปที่ห้องหมายเลข 3
พอเข้าไปในห้องแทบเข่าทรุด เมื่อดูสภาพห้องราวกับเป็นห้องเชือดหรือกรงขัง โคมไฟไม่ติด กระจกแตกร้าว เตียงดูเก่า ผ้าปูที่นอนดูซีด หมอนมีคราบเหมือนผ่านสมรภูมิรบมานาน
เข้าใจว่าที่นี่ไม่ได้มีไว้เพื่อพักแรม แต่มีไว้สำหรับทำกิจกรรมบางอย่าง โดยเฉพาะทำเลที่ใกล้กับชายแดนไทย - พม่า
เมื่อเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าฝักบัวเครื่องทำน้ำอุ่นน้ำไม่ไหล อาบน้ำอยู่ดีๆ สังเกตเห็นซากถุงยางอนามัยใช้แล้วในช่องรับลม แต่ด้วยความที่เสียเงินไปแล้ว อีกทั้งตอนนั้นอ่อนเพลีย ไม่อยากไปหาโรงแรมที่ไหนต่อ ก็เลยต้องจำยอม
เวลาสอง-สามชั่วโมงนับจากนี้ จึงทำได้เพียงแค่เอาโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น โดยใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืนหนึ่งหนุนหัว เพราะดูจากสภาพแล้ว หากเอาหัวหนุนหมอนตรงๆ เป็นต้องคันหัวแน่ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้น ได้บทเรียนอยู่อย่างหนึ่งว่า แม้กูเกิลจะมีคำตอบแบบครอบจักรวาล แต่อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป ...
3 มกราคม 2559, 10.00 น.
หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนกันแบบแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้ว ก็เดินเท้าออกจากโรงแรมไปตามถนนสายตาก - แม่สอด คิดเอาไว้ว่าจะไป บขส. เพื่อต่อรถสองแถวไปเที่ยวตลาดริมเมย ก่อนที่จะกลับเมืองตากในตอนบ่าย
แต่ด้วยความที่ไม่มีรถสองแถว จึงตัดสินใจเดินเท้าออกมา สังเกตเห็นรถทัวร์กรีนบัสเพิ่งออกจากแม่สอด ไปเชียงใหม่ได้สักพักนี่เอง และเห็นรถตู้สายตาก - แม่สอด ออกจากซอยข้างเทศบาลแม่สอดแล้วกลับรถ
เดินไปสักประมาณ 1.5 กิโลเมตร มอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งเข้ามาจอดขนาบข้าง เหมือนชวนให้นั่งรถไปกับเขา ด้วยความที่ตอนนั้นอ่อนล้าพอสมควร จึงบอกกับเขาให้ไปส่งที่ บขส. แม่สอด
ปรากฏว่าเมื่อถึงที่หมาย เขาคิดค่าโดยสาร 50 บาท ทั้งๆ ที่หากเดินตรงจุดนี้แค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
รู้สึกเจ็บใจขึ้นมาทันที ที่ต้องเสียเงิน รู้สึกว่าไม่คุ้มอย่างแรง
จาก บขส. แม่สอด เราต่อรถสองแถวกลับไปที่ตลาดริมเมยอีกครั้ง หลังจากเมื่อเช้ามืดร้านค้ายังไม่เปิด ปรากฏว่าบรรยากาศตรงจุดนี้คึกคัก มีชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเดินชมสินค้าอย่างไม่ขาดสาย
สังเกตเห็นชาวพม่าที่อยู่ตรงรั้วลวดหนามสองคน เอาบุหรี่กล่องใหญ่มาชูเรียกลูกค้า โดยมีทหารยืนอยู่ไม่ห่าง ทหารแต่ละคนหน้าตาดูไม่เป็นมิตรนัก อีกด้านหนึ่งเห็นกลุ่มวัยรุ่นยืนมุงดูอุปกรณ์เซ็กซ์ทอย ที่คนขายเอามาโชว์อยู่เบื้องล่างอย่างตื่นเต้น
บริเวณนั้นหากพ้นรั้วลวดหนามไปแล้วจะเป็นริมตลิ่งแม่น้ำเมย ซึ่งเป็น "เขตโนแมนส์แลนด์" (No Man’s Land) ที่ทางการไทยและพม่ายังตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันไม่ได้ ก็มีชาวพม่ากลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ เพื่อขายของให้กับฝั่งไทย
สินค้าที่คนกลุ่มนี้นำมาขายคือบุหรี่ ที่ขายกันเป็นกล่องใหญ่ นอกจากนี้ยังมีสุรา เบียร์ ทั้งนำมาจากฝั่งพม่า และของที่ไทยส่งออก อุปกรณ์เซ็กซ์ทอย ยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ รวมทั้งอาหารทะเลสดจากฝั่งพม่าเข้ามาขายยังฝั่งนี้ด้วย
ด่านศุลกากรแม่สอดเตือนว่า ไม่ควรซื้อบุหรี่ 200 มวน และสุราไม่เกิน 1 ลิตร หากเกินกว่านั้นจะถูกจับกุมและปรับสูงถึง 10 เท่า อีกทั้งยังเตือนว่า บุหรี่ที่ชาวพม่านำมาขายอาจเป็นบุหรี่เก่าที่ขึ้นรา ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้สูบได้
แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่สูบบุหรี่ ก็เลยรู้สึกเฉยๆ จึงไม่ได้อุดหนุนบุหรี่เถื่อนเหล่านั้น
ส่วนตลาดริมเมยก็มีของขายไม่ต่างจากตลาดโรงเกลือที่เคยเดินสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้า ของใช้อิเล็กทรอนิกส์ แต่ที่น่าสนใจคือสินค้าจากพม่า เช่น ผงทานาคา ชาและกาแฟสำเร็จรูปที่ผลิตจากพม่า รวมทั้งขนมขบเคี้ยว
ที่ไม่ต่างไปจากตลาดโรงเกลือ คือ พวกขอทานชาวพม่าจำนวนมาก ที่มักจะมาตื้อขอเงินอยู่เรื่อย เราก็พยายามเดินเลี่ยงๆ ไม่สนใจ ไม่ใช่เพราะไม่สงสาร แต่เป็นเพราะไม่อยากส่งเสริมการค้ามนุษย์ เพราะขอทานส่วนใหญ่ล้วนมีเบื้องหลังทั้งนั้น
นึกถึงเมื่อครั้งไปเวียดนาม ไกด์คนไทยให้ท่องอยู่คำๆ หนึ่งว่า “ไม่สบตา ไม่เจรจา ปัญหาไม่เกิด”
มาถึงมื้อกลางวัน ที่ตลาดริมเมยจะมีร้านกระเพาะปลาเจ้าหนึ่งที่เรียกว่า “กระเพาะปลาริมเมย” หรือ กระเพาะปลาจิวเวลรี่ ที่มีคนบอกว่า หากใครไม่ได้มาทาน ก็เหมือนกับมาไม่ถึงตลาดริมเมย
แต่พอเห็นราคาแล้วถ้าเป็นเมนูกระเพาะปลาแบบอื่นๆ จานละประมาณ 200 กว่าบาทขึ้นไป สุดท้ายเลยสั่งกระเพาะปลาธรรมดา จานละ 70 บาท พร้อมกับน้ำลำไยที่ทางร้านบอกว่าต้มเอง แก้วละ 25 บาท
อ่านกระทู้พันทิปในตอนหลัง มีบางเสียงกล่าวว่า เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนกระเพาะปลาร้านนี้อร่อยจริง แต่ภายหลังเหมือนรสชาติจะเปลี่ยนไป ไม่ต่างจากกระเพาะปลาธรรมดาแถวเยาวราชในกรุงเทพฯ แต่โดยส่วนตัวรสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก
ก็ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่อย่างน้อย แค่กินกระเพาะปลาก็ได้มาถึงตลาดริมเมยแล้ว
กลับจากตลาดริมเมยด้วยรถสองแถว ไป บขส. แม่สอดเพื่อกลับเมืองตาก ตอนเข้ามาด้านใน บขส. แม่สอด เห็นรถตู้ไปตากจอดอยู่ แต่ไม่ได้มารับผู้โดยสาร มาแค่ลงเวลาแล้วจากไปเท่านั้น
สอบถามพนักงานขายตั๋วได้ความว่า ต้องไปขึ้นที่ท่ารถตู้เก่าในตัวอำเภอ เพราะที่นี่ไม่มีที่นั่งว่าง พร้อมกับแนะว่าให้นั่งรถสองแถวคันสีส้มที่จะเข้าตัวอำเภอ
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มาซักที สุดท้ายเลยขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งที่ท่ารถตู้
คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคุยกันระหว่างทางว่า ที่นี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างปกติราคาจะประมาณนี้อยู่แล้ว จาก บขส. แม่สอด ไปตลาดริมเมยก็คิด 60 บาท หรือจาก บขส. แม่สอด ไปตัวอำเภอก็คิด 60 บาท
เขาแนะนำว่า ถ้าอยากจะเดินทางประหยัดที่สุด แนะนำให้นั่งรถสองแถว หรือไม่อย่างนั้นก็นั่งแท็กซี่มิเตอร์ เดินทางไปยังที่ใกล้ๆ ราคาจะประหยัดกว่ากันเยอะ
ช่วงเทศกาลแบบนี้คนส่วนมากไปต่อคิวกันที่ท่ารถตู้เก่ากันเยอะ ทำให้ไม่มีที่นั่งว่างไปถึง บขส. แม่สอด ส่วนมากคนที่มาที่นี่มักจะมาเที่ยวน้ำตก เช่น น้ำตกธารารักษ์, น้ำตกพาเจริญ, น้ำตกนางครวญ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ น้ำตกทีลอซู
ลองถามเขาว่า โรบินสันเปิดใหม่เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า ก็ใหญ่ดีนะ เขาทำสวย พร้อมกับแซวว่า ยังไม่ต้องไปหรอกรถตู้ ไปเดินเล่นโรบินสันดีกว่า ก็ได้แต่หัวเราะกันไป
นึกในใจว่า ถ้าจะเดินห้างระดับแบบนี้ ไปเดินแถวโรบินสันบางรัก หลังเลิกงานไม่ดีกว่าหรือ
ก่อนหน้านี้ที่แม่สอดเคยมีห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ คือ “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์ตร้า แม่สอด” เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 โดยภายในมีโรงภาพยนตร์อีจีวี หลังก่อนหน้านี้เปิดห้างค้าปลีกไซซ์กลางอย่าง "ตลาดโลตัส" ในตัวอำเภอแม่สอดมาก่อน
ต่อมามีห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง "เมกาโฮม" ในเครือโฮมโปร เปิดสาขาแม่สอดเป็นแห่งที่ 2 บนพื้นที่ 25 ไร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ตรงข้ามสถานีขนส่งและสนามบินแม่สอด
ปีต่อมา แม็คโคร เปิดห้างค้าส่งขนาดใหญ่เป็นสาขาที่ 73 บนพื้นที่ 6,700 ตารางเมตร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2557
และเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ได้เปิดสาขาที่ 42 ในรูปแบบไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ บนพื้นที่ 35,000 ตารางเมตร พร้อมกับโรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีนีม่า ซิตี้
ถึงท่ารถตู้ไปตาก บริเวณตลาดสด ถนนชิดวนา ปรากฏว่ามีคนต่อคิวกันยาวมาก ยิ่งกว่าต่อแถวซื้อคริสปี้ครีม เพราะวันต่อมาจะเป็นวันทำงานและวันเปิดเรียนวันแรกของปี จึงมีหลายคนต้องรีบเดินทางกลับ
ยืนรอมาได้สักพัก ปรากฏว่ามีเจ้าของรถตู้คันหนึ่ง เรียกรถที่เป็นของลูกน้องตนเองมารับ เพราะจะไปธุระในตัวเมืองตากพอดี เลยตัดแถวใหม่มาต่างหาก ตัวผู้เขียนเองได้แถวใหม่มาด้วยโดยไม่รู้ตัว ถือว่าโชคดีไปที่ได้กลับเมืองตากเร็วขึ้น
หนึ่งชั่วโมงเศษที่ออกเดินทางจากม่สอดก็ได้แต่หลับตลอดทาง สภาพรถแอร์เริ่มไม่เย็น แดดร้อน แถมชาวพม่ามีกลิ่นตัวที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ด้วยความอ่อนเพลียก็หลับแบบนี้ไปตลอดทาง จนถึงตัวเมืองตากราวบ่ายสามโมงเศษ
การมาเยือนแม่สอดครั้งแรกในชีวิตเที่ยวนี้ รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่มาที่นี่โดยไม่มีการวางแผน ไม่ทำการบ้าน คิดว่าดูแลตัวเองได้ ปรากฏว่าการต้องมานั่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างเดินทางเป็นเรื่องลำบากกว่าที่คิด
เปรียบได้กับชีวิตคนเรา ถ้าไม่มีการวางแผนไว้ข้างหน้า หากรับมือไม่ดี ทุกอย่างพังหมด
เอาไว้โอกาสหน้าจะมาเยือนแม่สอด เพื่อมาแก้มือใหม่อีกครั้ง ...
(อ่านต่อ แย่งกันกินแย่งกันใช้ The Series ตอนที่ 2 ฉบับหน้า)