ความเดิมตอนที่แล้ว : แย่งกันกินแย่งกันใช้ The Series (1) : หลงเป็นแกะดำที่แม่สอด
3 มกราคม 2559, 15.20 น.
หลังจากนั่งรถตู้จากแม่สอดมาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ในที่สุดเรามาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารตาก
ด้วยความที่การเดินทางในครั้งนี้มันไม่มีการวางแผน ยอมรับว่าในตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงกันต่อดี
ระหว่าง อยากอยู่เที่ยวต่อ เพราะวันหยุดเหลืออีกตั้ง 2 วัน จะรีบกลับไปทำไม กับ อยากกลับกรุงเทพฯ เลย เพราะหลังเจอถูกกระชากค่าครองชีพจากพี่วินมอเตอร์ไซค์แล้ว เงินทองในกระเป๋าร่อยหรอลงทุกทีๆ
ที่สุดแล้ว ก่อนจะถึงเมืองตากเพียงไม่กี่นาที จึงคิดได้ว่า ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ไปเที่ยวภาคเหนือต่อเลยละกัน เพราะเมื่อครั้งมาเยือนตากกับเพื่อนๆ เคยมีความคิดว่าจากเมืองตาก สามารถต่อรถไปจังหวัดทางภาคเหนือได้
จึงคิดไปว่า เราไปเชียงใหม่ด้วยเลยดีกว่า ...
สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดตาก ถือได้ว่าเป็นจุดต่อรถเมล์ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งทางภาคเหนือ เนื่องจากรถประจำทางจากจังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงราย พะเยา ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน จะต้องแวะรับส่งผู้โดยสารตรงจุดนี้
ขณะเดียวกัน จากจุดนี้ยังสามารถต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก หล่มสัก (เพชรบูรณ์) ชุมแพ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ไปถึงมุกดาหาร และบางเส้นทางเป็นรถทัวร์สายยาวไปกาญจนบุรี และไปถึงภูเก็ตได้อีกด้วย
เมื่อมาดูระยะทางพบว่า จากเมืองตากไปยังลำปาง ประมาณ 180 กิโลเมตร จากจุดนี้ไปเชียงใหม่บวกเพิ่มอีก 92 กิโลเมตร ไปลำพูนบวกเพิ่ม 70 กิโลเมตร ไปเชียงรายบวกเพิ่ม 225 กิโลเมตร และไปพะเยาบวกเพิ่ม 140 กิโลเมตร
แต่ปัญหาคือ ในวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเช้าวันจันทร์ (4 มกราคม 2559) เป็นวันทำงาน แน่นอนว่าเชียงใหม่เป็นจังหวัดหัวเมืองหลักภาคเหนือที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่ต่างจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร
ท่ามกลางผู้คนที่ยืนรอรถที่จะต่อไปเชียงใหม่ ทั้งนักศึกษา ข้าราชการ พนักงานบริษัท ลูกจ้างหลายสาขาอาชีพ เพื่อไปทำงานหรือเรียนหนังสือในวันรุ่งขึ้น ไม่ต่างจากคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด แห่แหนกันเข้ากรุงเทพฯ
ผลก็คือ เชียงใหม่ตั๋วเต็มทุกเที่ยว!
ในตอนนั้นต้องตามหาตั๋วรถทัวร์ไปเชียงใหม่ตามเคาน์เตอร์ต่างๆ ด้วยความหวังอันน้อยนิด ส่วนใหญ่ขึ้นป้ายคำว่า “เชียงใหม่ เต็มทุกเที่ยว” โดยไม่ต้องรอให้ใครถาม
บางบริษัทบอกว่าต้องรอรถมาจากทางสุโขทัยจะมีที่นั่งว่างเหลือหรือไม่
ขณะเดียวกัน ก็พยายามหาตัวเลือกอื่นๆ เช่น จังหวัดทางมุกดาหารที่เราคิดไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งจังหวัดใกล้ๆ อย่างสุโขทัย พิษณุโลก แต่ถึงยังไงในใจก็อยากไปเชียงใหม่อยู่ดี
ระหว่างนั้นก็โพสต์สเตตัสบ่นในเฟซบุ๊กว่า “งานเข้า เชียงใหม่ตั๋วเต็ม ... เอาไงดีๆ”
คอมเมนท์แรกตอบว่า “ก็ลำปางดิ”
ข้อความนี้ทำให้เกิดแผนในใจว่า ขึ้นรถไปลงลำปางก่อน แล้วค่อยหาทางไปเชียงใหม่ก็ได้ เพราะลำปางถือเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางระหว่าง ไปลำพูน เชียงใหม่ กับไปพะเยา เชียงราย และเหนือสุดในสยามที่แม่สาย
ระหว่างที่เดินตามเคาน์เตอร์ขายตั๋วไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงจากเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถทัวร์เจ้าหนึ่ง (ขอสงวนนาม) กล่าวคำว่า “ใครจะไปลำปางมีที่ว่าง 10 ที่”
ในตอนนั้นด้วยความที่อยากจะออกจากจุดที่รอคอยเร็วๆ ก็เลยตัดสินใจต่อแถว
ระหว่างนั้นคนที่ยืนประกาศบอกว่า “เตรียมเงินไว้เลยนะครับ คนละ 151 บาท”
แต่เมื่อพนักงานจะทำการขายตั๋ว ก็มีพนักงานอีกคนหนึ่งเบรกไว้ก่อน แล้วทำการตัดแถว เนื่องจากมีผู้ที่มายืนรอต่อคิวเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะให้ทั้งหมดไปขึ้นรถที่ชานชาลา
รถทัวร์ที่จะเดินทางไปลำปาง เป็นรถปรับอากาศสองชั้นมาจากกรุงเทพฯ น่าจะเที่ยวเวลาช่วงสายๆ เราตัดสินใจนั่งชั้นล่าง เนื่องจากชั้นบนมีคนขึ้นไปแล้ว
คิดในใจว่าอย่างน้อยถ้าถึงลำปาง เราก็ไปได้ครึ่งทางแล้ว
สักพัก พนักงานในรถก็ออกมาเรียกเก็บค่าโดยสารคนที่ขึ้นจากตากทั้งหมด เป็นคนละ 200 บาท แถมไม่มีตั๋วโดยสารเป็นหลักฐานอีกต่างหาก
นึกในใจว่า แล้ว 151 บาทที่ประกาศในสถานีขนส่งมันคืออะไร?
ที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินรถร่วม บขส. ถูกร้องเรียนบ่อยครั้ง ทั้งด้านการบริการ สภาพรถ และหนึ่งในนั้นคือ การเก็บค่าโดยสารเกินราคา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวมาว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ในฐานะที่กำกับดูแลรถร่วมฯ สั่งปรับเจ้าของรถร่วม 3 ราย นับหมื่นบาท หลังพบว่าเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนด บางรายที่ทำผิดซ้ำถึงกับให้ปิดช่องขายตั๋ว
แต่มาคราวนี้ กลับเจอวิธีการเก็บค่าโดยสารเกินราคาที่แยบยลกว่าเดิม คือออกจากสถานีขนส่งไปแล้ว ค่อยมาเรียกเก็บ แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่มีปากมีเสียงอะไร และไม่อยากมีเรื่องกับใคร ก็เลยนั่งอยู่บนรถอย่างเงียบๆ
หลังจากวันนั้นก็ไม่คิดจะร้องเรียนไปยังหน่วยงานไหน คิดเสียว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่นอกจากถูกฟันค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างที่แม่สอดแล้ว ก็ถูกฟันค่ารถทัวร์จากตากไปลำปางอีก
แทบจะถูกเอารัดเอาเปรียบครบทุกรสชาติ
3 มกราคม 2559, 18.00 น.
ออกเดินทางจากเมืองตากประมาณ 4 โมงเย็นเศษ ไปตามเส้นทางถนนพหลโยธินอีก 180 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารลำปาง 6 โมงเย็นพอดี จึงออกตามหาตั๋วรถทัวร์หรือรถโดยสารเพื่อต่อไปยังเชียงใหม่
แต่ปรากฏว่าได้คำตอบเดิม คือ รถไปลำพูน เชียงใหม่ เต็มทุกเที่ยว!
ช่องขายตั๋วบริษัทเดินรถรายใหญ่ในภาคเหนืออย่าง “กรีนบัส” ขึ้นป้ายหน้าเคาน์เตอร์อย่างชัดเจน ช่องขายตั๋ว บขส. มีผู้คนเข้ามาต่อคิวเป็นจำนวนมาก พนักงานต้องออกจากช่องขายตั๋ว บอกคนที่มาต่อคิวว่า รถที่ไปเชียงใหม่คืนนี้หมดแล้ว
ส่วนช่องขายตั๋วนครชัยแอร์ ให้คำตอบแต่เพียงว่า รอเช็กรถตอนสองทุ่ม (เป็นรถมาจากระยอง) ขณะนี้ยังจองตั๋วให้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีคนลงลำปางเท่าไหร่ และเหลือที่นั่งเท่าไหร่
ในตอนนั้นด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอด 2 วันเต็ม ต้องนอนแบบหลับๆ ตื่นๆ บนรถทัวร์ และด้วยสังขารที่ไม่เอื้ออำนวย
ที่สุดแล้วจึงต้องยอมแพ้ ตัดสินใจไม่รอรถไปเชียงใหม่ในคืนนี้
เราจึงเปลี่ยนแผนมาเป็นการออกตามหาที่พัก โดยการสืบค้นจากกูเกิลอีกครั้ง ปรากฏว่าไปตามลายแทงแล้ว ที่พักที่อยู่ใกล้สถานีขนส่งมากที่สุด คืนนี้ที่พักเต็ม
เหลืออยู่ตัวเลือกเดียว คือโรงแรมตึกสูงฝั่งตรงข้ามสถานีขนส่งที่มีชื่อว่า “เดอะ เซเนอรี” (The Zenery) ซึ่งพบเห็นมาจากป้ายโฆษณาในสถานีขนส่ง มองผิวเผินคล้ายโรงแรมเพิ่งเปิดใหม่
คิดในใจว่าหรูขนาดนี้สงสัยจะแพงเป็นหลักพันแน่ๆ ที่ผ่านมาต่อให้จองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ ก็ยังต้องหาแบบราคาถูกพอให้ซุกหัวนอนได้ ตั้งใจไว้ว่างบต้องไม่เกิน 500-600 บาท เกินได้เพียงเล็กน้อย จะให้นอนโรงแรมคืนละหลักพันบาทคงรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยมากไปหน่อย
ในตอนนั้นเงินในกระเป๋าร่อยหรอลงทุกที และยังต้องเผื่อเงินส่วนหนึ่งไว้หารถกลับกรุงเทพฯ ถ้าไม่เผื่อตรงนี้ไว้ก็กลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินติดตัวเป็นกอบเป็นกำในช่วงปีใหม่ปีนี้
แต่คิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าเงินสดไม่พอ บัตรเครดิตก็มี ถ้าโรงแรมนี้รับบัตรเครดิตก็จบ
เป็นไงเป็นกันวะ!
เราเดินข้ามถนนไปที่โรงแรมทันที สอบถามพนักงานต้อนรับว่ามีห้องว่างเหลืออยู่หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่ามีห้องมาตรฐานคืนละ 700 บาท
เมื่อถามว่ารับบัตรเครดิตหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า รับบัตรเครดิต แต่ค่ามัดจำกุญแจ 300 บาทต้องจ่ายเป็นเงินสด และจะได้รับคืนเมื่อเช็กเอาท์ไปแล้ว
สรุปว่าคืนนี้รอดตาย ได้ที่ซุกหัวนอนแบบเต็มที่หนึ่งคืน
พูดถึงบัตรเครดิต หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะมันคือการเอาเงินอนาคตมาใช้ แล้วต้องแบกหนี้สินพร้อมกับเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารไปเรื่อยๆ หากชำระเงินเพียงบางส่วน หรือชำระขั้นต่ำ
จากประสบการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้มองเห็นประโยชน์ของบัตรเครดิตในยามคับขัน เวลาที่เงินสดติดตัวร่อยหรอลง ขอเพียงแค่มีวงเงินเหลืออยู่เพียงพอ ก็สามารถนำมาใช้จ่ายแทนเงินสดในยามคับขันได้
แต่ไม่แนะนำให้ถอนเงินสดจากบัตรเครดิตโดยตรง หากบัตรใบนั้นยังคิดค่าธรรมเนียม 3% ของจำนวนเงินที่กด และยังต้องเสียดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่กดเงินสดออกมา
นอกจากนี้ หากมียอดใช้จ่ายตั้งแต่หลักพันบาท บางธนาคารยังให้ผ่อนชำระแบบแบ่งจ่าย 0% ได้ 3 เดือน เพื่อที่จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย ตอนนั้นมีธุระจำเป็นรูดตั๋วเครื่องบินไปพันกว่าบาท ยังทำรายการแบ่งจ่ายรายเดือนอยู่เลย
พอดีว่าคราวนี้ตั๋วเครื่องบินแพงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ เลยตัดสินใจมองข้ามไป
ด้วยความที่โรงแรมแห่งนี้อยู่ตรงข้ามสถานีขนส่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองลำปางพอสมควร หลังอาบน้ำแต่งตัวสักพักก็เริ่มหิว จึงออกไปหาอะไรกิน พบว่าที่แม็คโครซึ่งอยู่ติดกันขายแต่อาหารสด ไม่มีศูนย์อาหารใดๆ
ข้ามถนนไปยังฝั่งบิ๊กซี จะหาอะไรกินในห้าง ร้านค้าส่วนใหญ่รวมทั้งศูนย์อาหารก็ปิดหมดแล้ว ครั้นจะซื้ออาหารปรุงสำเร็จไปกินที่ห้องก็ไม่อยากลำบาก ย้อนมาที่หน้าสถานีขนส่งก็มีแม่ค้าผัดกะเพรารถเข็นหน้าเซเว่นฯ แต่ก็ไม่มีที่นั่ง
ที่สุดแล้วมื้อนี้จึงจบลงด้วยสโลแกน อิ่มทุกซอย อร่อยทุกที่ ... ชายสี่บะหมี่เกี้ยว
นึกในใจว่า นี่กูอยู่ลำปาง เพื่อจะมากินชายสี่บะหมี่เกี๊ยวกันถึงนี่เลยเหรอวะ
แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงด้วยความหิวต่อไป ...
พูดถึงสภาพโรงแรม ทราบมาว่าเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่แล้วนี่เอง บรรยากาศคล้ายกับอยู่คอนโดมิเนียม คือ ต้องแตะคีย์การ์ดถึงจะเข้าไปในลิฟท์ได้ อารมณ์เหมือนเป็นเด็กหอมากกว่านักท่องเที่ยว ถือว่ารู้สึกปลอดภัย
แต่ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าห้องพักกว้างขวาง เตียงนุ่มๆ ไว้พักผ่อนเอาแรง พร้อมกับนอนฟังเพลงให้รู้สึกง่วง
ก่อนที่จะมานั่งคิดถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะเอายังไงต่อ
4 มกราคม 2559, 03.00 น.
หลังกลับจากที่พัก นอนหลับไปประมาณ 3-4 ชั่วโมง
ด้วยความที่ไม่คุ้นชินสถานที่ อีกทั้งอากาศที่เย็นประมาณ 20 องศา สมกับคำว่า “ลำปางหนาวมาก” ก็ทำให้ต้องลุกออกจากที่นอนก่อนถึงเวลาอันควร
บรรยากาศในโรงแรมเหมาะกับการเปิดม่านชมภายนอก นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งขวดที่ซื้อมาเมื่อคืน พร้อมกับแกล้มเล็กน้อย
พยายามนั่งคิดทบทวนเรื่องราวส่วนตัวในช่วงที่ผ่านมาอยู่เพียงลำพัง
สักพักได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเข้ามาในหัว
นั่นคือ เสียงหวูดรถไฟ ...
เมื่อนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วเข้าเว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบตารางเดินรถ
ปรากฏว่าหนึ่งในนั้นมีรถไฟฟรี ขบวนรถที่ 407 นครสวรรค์ - เชียงใหม่ จอดรับผู้โดยสารที่ลำปางเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง
ระหว่างที่ดูตารางเดินรถไฟ นึกในใจมันมีความเชื่อที่ว่า หากคนที่ขึ้นมาที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรกด้วยรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตาน จะได้แต่งงานกับคนเชียงใหม่ หรือลงหลักปักฐานพำนักกันที่เชียงใหม่
แต่ที่ผ่านมา เรามาเยือนเชียงใหม่ครั้งแรกด้วยวิธีการประหลาด คือ นั่งรถไฟไปลงพิษณุโลก แล้วต่อด้วยรถทัวร์จากพิษณุโลกไปเชียงใหม่ เพราะฉะนั้นอาจเรียกได้ว่ายังไม่เคยลอดอุโมงค์ขุนตานสักครั้งในชีวิต
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คราวนี้ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าเช้านี้ยังหารถตู้เข้าเชียงใหม่ไม่ได้ เราจะนั่งรถไฟฟรี ไปสัมผัสอุโมงค์ขุนตานเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิตกัน
ต่อให้นั่งขบวนรถพัดลมแล้วต้องเจอกับเนื้อตัวที่มอมแมม คล้ายกับอยู่ในดงสนิมก็ยอม.
(อ่านต่อ แย่งกันกินแย่งกันใช้ The Series ตอนจบ ฉบับหน้า)