xs
xsm
sm
md
lg

คดีเกาะเต่ากับพวกโหนกระแส

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

กลายเป็นชนวนล่อแหลมที่อาจจะก่อปัญหาความสัมพันธ์ระดับประเทศไปแล้ว ในเรื่องที่ศาลจังหวัดเกาะสมุย มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยสองคน ซึ่งเป็นชาวพม่า ในความผิดฐานข่มขืน และฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ

โดยคดีที่เป็นเรื่องสะเทือนขวัญไปทั่วโลกนี้ เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2557 เมื่อพบศพนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคน เสียชีวิตบริเวณโขดหินชายหาดบนเกาะเต่า คือ น.ส.ฮานนาห์ วิคตอเรีย และ นายเดวิด วิลเลียม ทั้งคู่มีร่องรอยถูกตีด้วยของแข็งที่ใบหน้าหลายแผล ส่วน น.ส.ฮานนาห์นั้นมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย

ภายหลังก็มีการจับกุม “ซอ” และ “วิน” แรงงานชาวพม่าที่ทำงานอยู่บนเกาะเต่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พยานบุคคล ประกอบกับการตรวจเช็ก DNA
อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีปัญหามากในชั้นสอบสวน เพราะมีการครหาว่าตำรวจจับแพะหรือไม่ เพราะการให้ข่าวอันสับสนในชั้นแรก แถมยังผสมโรงด้วยพวกมนุษย์อยากดังในโลกโซเชียลที่ตั้งเพจเสนอทฤษฎีสมคบคิดกันยกใหญ่

รวมทั้งทางผู้ต้องหาชาวพม่าที่ถูกจับได้นั้น ในตอนแรกก็ได้ให้การรับสารภาพ แต่ในภายหลังก็กลับคำให้การว่า ที่สารภาพในชั้นแรกนั้นเป็นเพราะถูกตำรวจซ้อมให้รับสารภาพ รวมทั้งยังถูกละเมิดสิทธิในการมีล่ามและทนายความ

ทั้งมีการให้ข่าวกับทางสื่อมวลชน โดยทนายความของฝ่ายจำเลยว่า จะขอตรวจ DNA ที่พบในศพของเหยื่อ แต่ทางตำรวจก็อ้างว่าได้ใช้ตัวอย่าง DNA ไปหมดแล้ว

ในที่สุดศาลก็พิพากษาให้ประการชีวิตจำเลยทั้งสองคน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเผื่อใคร “ฟัง” ข้อเท็จจริงเผินๆ ข้อเท็จจริงจากสื่อ และปัญหาเรื้อรังเรื่องภาพลักษณ์ของตำรวจที่มักจะมีปัญหาเรื่องการจับแพะ แล้วในที่สุดเมื่อถึงชั้นศาล ศาลก็ไม่ลงโทษเพราะเป็นการจับผิดตัวหรือจับแพะก็บ่อย เช่น คดีเชอร์รี่แอน หรือเร็วๆ นี้ก็เช่นคดีจับผู้ต้องหาคดีข่มขืน แต่เมื่อเรื่องมาถึงชั้นศาลกลายเป็นจับผิดตัวเพราะชื่อ นามสกุล ตรงกับคนร้ายตัวจริง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเป็นกระแสขึ้นมา สำนักงานศาลยุติธรรมก็ได้นำเอาคำพิพากษาฉบับเต็มมาเปิดเผยต่อประชาชนผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งหากมีใครยอมเสียเวลาเข้าไปอ่าน ก็จะถึงบางอ้อ ว่าทำไมครอบครัวของผู้เสียหายชาวอังกฤษทั้งสองคนนั้นถึงยอมรับในผลของคำพิพากษา ยอมรับในกระบวนยุติธรรมของทางการไทย

เพราะในคำพิพากษานั้น ได้อธิบายไว้ว่า ทำไมศาลถึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองคนนั้นเป็นผู้กระทำความผิดจริง

สรุปคือ ศาลเห็นว่ามีพยานเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองนั่งกันอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ และผลจากการชันสูตรศพผู้ตายทั้งสองพบ DNA ของคนร้ายมากกว่า 1 คน ในช่องคลอดและช่องทวารหนักของเหยื่อสาว ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อันเป็นที่ยอมรับทั่วไปตามหลักสากลว่า สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ เกิดขึ้น และได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนจับกุมจำเลยทั้งสองด้วย จึงไม่มีโอกาสที่เจ้าพนักงานตำรวจและแพทย์ผู้ตรวจผ่าศพ และนักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของคนร้ายจะสามารถนำอสุจิหรือสารประกอบน้ำอสุจิ ซึ่งอยู่ในร่างกายส่วนลึกของจำเลยทั้งสองไปใส่ไว้ในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายได้ ซึ่งข้ออ้างเรื่อง DNA ไม่ตรง หรือการตรวจพิสูจน์มีปัญหานั้น ถ้าฝ่ายทนายความของจำเลยจะกล่าวอ้าง ก็ย่อมสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการขอตรวจ DNA ของจำเลยใหม่ ว่าไม่ตรงกับผล DNA ที่พบในตัวผู้ตาย แต่ฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้ทำการพิสูจน์ต่อศาล

ทั้งยังมีพยานบุคคลยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้ตาย มามอบให้ในช่วงเวลาหลังเกิดเหตุไม่นานอันเป็นหลักฐานยืนยันได้ส่วนหนึ่งว่าจำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้

ส่วนข้ออ้างที่ว่าถูกซ้อมให้รับสารภาพนั้น ศาลก็พิจารณาแล้วว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวพิสูจน์ไม่ได้ เพราะจากการตรวจร่างกายของจำเลยโดยแพทย์ ก็ไม่พบร่องรอยการทำร้ายหรือทารุณตามที่อ้างแต่อย่างใด

กล่าวโดยสรุป คำพิพากษาเขียนออกมาได้อย่างรับฟังว่า จำเลยน่าจะมีความผิดจริงๆนั่นแหละ แต่ด้วยกระแสจากโลกโซเชียล และความไม่ยอมรับในกระบวนยุติธรรมชั้นต้น คือตำรวจ ทำให้คดีนี้ถูกสร้างกระแสอยู่ตลอดว่าเป็นเรื่องของการจับแพะ

สำหรับทางการพม่านั้น ก็ออกจะพอเข้าใจได้ เพราะก็เหมือนทุกประเทศที่มีบุคคลในสัญชาติถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในประเทศอื่น ประเทศนั้นก็ต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้คนในสัญชาติของตนเองทั้งนั้น

ส่วนการประท้วงของชาวพม่าจนถึงขนาดปิดด่านนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเกิดจากความไม่ไว้วางใจในระบบราชการ โดยเฉพาะฝ่ายตำรวจของไทย ทำให้พวกเขาไม่มั่นใจว่าเป็นการจับแพะหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาที่ทำให้ศาลตัดสินไปเช่นนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าผู้ประท้วงจะได้อ่านหรือได้ทำความเข้าใจหรือไม่

แต่ที่อาจจะถือเป็น “ขาประจำ” ก็คือ ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล หรือฝ่ายที่มุ่งโจมตีสถาบันศาลอยู่แล้ว ก็ได้ถือโอกาส “โดยสารรถฟรี” เกาะขบวนโจมตีกระทบคราดไปถึงรัฐบาลด้วย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนยุติธรรมทางอาญา และเป็นคำพิพากษาของศาลที่อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับบัญชาของรัฐบาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลทหาร

หรือบรรดาพวกมโนโซเชียลที่คิดเองเออเองไปโดยข้อมูลมากมายจากนักสืบสมัครเล่นหน้าจอที่ช่วยกันสร้างกระแสสืบคดีผ่านหน้าจอเพื่อหวังเป็นคนดัง ซึ่งก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเมื่อผลออกมาเป็นอย่างนี้ แต่ในที่สุดการเล่นสนุกสนานของพวกที่ว่า ก็ส่งผลให้คนจำนวนหนึ่งเชื่อไปแล้วว่าเรื่องนี้มีการจับแพะ
คงจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรับภาระไปอธิบายให้ทางการพม่าเข้าใจ ตามคำพิพากษาของศาลให้แจ่มแจ้งว่า เพราะอะไรศาลจะต้องตัดสินไปเช่นนั้น
และข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวหรือกลับคำตัดสินของศาลนั้น เป็นข้อเรียกร้องที่กระทำไม่ได้ เว้นแต่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไปตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะหากก้าวล่วงอำนาจตุลาการแล้ว ก็ไม่ต่างจากการไม่ยอมรับในอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกัน

ส่วนคนไทยที่ช่างมโนเพื่ออ่านพวกเพจสืบสวนหน้าจอเกินไป ก็ขอให้ตั้งสติแล้วไปศึกษาคำพิพากษาดูบ้าง

แต่กับพวกที่อาศัยว่า มีประเด็นอะไรที่จะเสียหายแก่ประเทศชาติ เอามาใช้โจมตีรัฐบาลได้ก็กระโดดเข้างับ เข้าใส่ ขยายผล กระพือโหมกระแสเข้าไป เพื่อหวังให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองนี่ กลุ่มนี้ไม่รู้จะจัดการอย่างไรจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น