xs
xsm
sm
md
lg

อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็น “ว่าที่เหยื่อรายต่อไป”

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ในสัปดาห์นี้มีข่าวชวนขนพองสยองเกล้ามากมาย สำหรับ “มวลชน” หรือคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต่อต้านรัฐบาล เริ่มตั้งแต่ข่าวการจับกุมผู้เผยแพร่ผังเรื่องทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ที่เป็นข้อมูลปลอม ตามด้วยข่าวที่ศาลทหารตัดสินลงโทษ ผู้เผยแพร่ข่าวเรื่องปฏิวัติซ้อนเป็นเวลากว่า 7 ปี

ส่วนที่สะเทือนที่สุด คงได้แก่ การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษแกนนำเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต และรับโทษสูงขึ้นในหลายต่อหลายคน

ในวงการแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล หรือฝ่ายเสื้อแดงค่อนข้างหวั่นไหวและวิตกกับแนวทาง “เอาจริง” ของศาลทั้งหลายในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

และยิ่งขำขื่นๆ เมื่อนึกถึงวาทะ “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง

ในที่สุดเมื่อการเผาเกิดขึ้นจริง แต่คนเผาก็ต้องรับโทษไปตามโทษานุโทษ ไม่มีใครมา “รับผิดชอบ” ให้ได้

และถ้าจะเอากันจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่รับผิดชอบให้กันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะความผิดทางอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัว ถ้าใครจะถูกลงโทษ ก็ต้องถูกลงโทษเฉพาะตัว จะเรียกใครมาช่วยรับโทษรับผิดได้อย่างไรกัน

ในที่สุด เรื่องก็เลยกลายเป็นว่า แกนนำทั้งหลายลอยนวล ส่วนคนตัวเล็กตัวน้อยนั้นก็ต้องคดี โดนลงโทษจากกฎหมายกบิลเมืองกันไป

ต้องเข้าใจว่าแกนนำพวกนี้ฉลาดครับ ส่วนใหญ่จะเรียนกฎหมายมา หรือมีที่ปรึกษา ไม่ก็รู้ว่า ตัวเองกระทำอะไรแค่ไหนจะไม่ต้องรับผิดรับโทษ

ส่วนชาวบ้านทั่วไปที่เป็นแนวร่วมนั้น ไม่มีความรู้ มีแต่อารมณ์ที่พาไป มีแต่ใจที่ฮึกเหิม เพราะคิดว่ากำลังต่อสู้กับความอยุติธรรม

แกนนำพวกนี้ก็เลยใช้วิธีแบบนี้แหละ คือสร้างสถานการณ์ เร้าอารมณ์ โหมให้คนเกิดความรู้สึกอยากลุกขึ้นมาทำอะไร ด้วยเจตนารมณ์ของตัวเอง ที่เขาเชื่อว่ามาจากความคิดของตัวเอง โดยไม่รู้สึกตัวว่า กำลังถูกชักใยอยู่ภายใต้บรรยากาศที่บรรดา “แกนนำ” พวกนั้นสร้างขึ้นมา

ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง “เผา” แต่ยังรวมถึงเรื่องผิดกฎหมายอื่นๆ ด้วย เช่น คดีเรื่องแผนผังทุจริตอุทยานราชภักดิ์ หรือแม้แต่คดีหมิ่นสถาบัน

กลไกของการสร้างเหยื่อผู้กระทำผิดนั้น เป็นวิธีเดียวกันนั่นแหละ ก็คือสร้างบรรยากาศเข้าไว้ ให้คนเกิดความฮึกเหิม ให้รู้สึกว่ากำลังจะต่อสู้กับการฉ้อฉลกลโกงทำลายประเทศ (ยิ่งกว่าจำนำข้าว) หรือสร้างความรู้สึกว่าประชาชนกำลังถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ อย่าทนอยู่เลย ต้องลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองเสีย และที่ประเทศเป็นอย่างนี้ เพราะฝ่ายตรงข้ามอิจฉาท่านทักษิณ เลยอยากให้พวกท่านยากจนดักดาน เขาจะได้ปกครองง่ายๆ

รวมถึงความพยายามชักจูงว่า การกระทำบางอย่างนั้นสามารถกระทำได้ กฎหมายไม่เอาผิด เป็นเรื่องที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง เพื่อให้คนรู้สึกว่า แค่นี้ๆ จะเป็นอะไรไป

แน่นอนเมื่อใครสักคนถูกจุดติด ก็จะกระทำความผิดอย่างที่พวกเขาอยากให้ทำ โพสต์สิ่งที่พวกเขาคิดอยากให้โพสต์ หรือส่งต่อกระจายข่าวลือผิดๆ ไป โดยตัวผู้กระทำนั้นไม่มี “เกราะ” ป้องกันตัวใดๆ ทั้งความรู้ ความสามารถในการต่อสู้คดี

หรือในขณะที่นักวิชาการทั้งหลายที่เป็นแนวร่วมของฝ่ายเสื้อแดงหรือไม่เอารัฐบาล กระทำการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ใช้ถ้อยคำอ้อมค้อม ไม่โพสต์ ไม่แชร์อะไรที่สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการผิดกฎหมาย เพราะเขารู้ดีว่า กฎหมายนั้นมีขอบเขตแค่ไหน แต่ฝ่ายประชาชนคนธรรมดานั้นไม่ทราบไม่รู้ถึงขอบเขตที่ว่านั่น เช่น อาจจะคิดว่า แหม คนนั้นก็พูดเรื่องนี้ ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งหมดแหละว่านี่คือใคร หมายถึงใคร ถ้างั้นเราพูดบ้าง ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดแบบเอ่ยชื่อใส่ชื่อใส่หน้าคนทำอินโฟกราฟิกไปเลย จะเป็นไรไป เพราะมันก็เหมือนที่พี่คนนี้ อาจารย์คนนั้น นักข่าวคนโน้นพูดนั่นแหละ

หากที่มันไม่เหมือน ก็คือ ไอ้พี่ ไอ้เพื่อน ไอ้อาจารย์นักข่าวอะไรนั่น เขารู้หลบเป็นปีก ไปจนสุดขอบที่กฎหมายจะยังไม่เอาผิดต่างหาก

แต่คนกระตือรือร้นที่ไปลงชื่อจริง ใส่ภาพ ใส่อะไรๆ นั่นแหละครับ หลุดเส้นไปเข้าองค์ประกอบความผิดหมดแล้ว

หรืออย่างวัยรุ่น นิสิต นักศึกษา ที่ออกมาเคลื่อนไหวก็ดี นี่ก็เช่นกัน

กับดักอย่างหนึ่งของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว คือความต้องการในการสำแดงตัวตน เพื่อให้ตัวเองมีอัตลักษณ์

ทุกคนอยากเป็นฮีโร่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อยากเป็นผู้กอบกู้ประเทศชาติ หรือผู้ผดุงความยุติธรรมกันทั้งสิ้น

แน่นอนว่าถ้าในทางใดที่เขาสามารถต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่าได้ นั่นคือการ “ก้าวข้าม” ไปสู่เขตแดนที่พวกเขาปรารถนา คือได้เป็นผู้กล้า ผู้ต่อต้าน เป็นกบฏ ผู้มีอัตลักษณ์แตกต่างจากพวกคนเชื่องๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือหรือทำมาหากิน ซึ่งเป็นวิถีคนธรรมดา

แรงขับแบบนี้เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้ถลำตัวไปเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ที่มีความคมเขี้ยวกว่าได้ง่าย

สิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นเจตจำนงของตัวเอง เป็นเจตนาบริสุทธิ์คิดเองได้นั้น ที่แท้แล้วเป็นการเดินไปตามสภาวะทางจิตวิทยาที่ผู้เจนจัดกว่าแอบสร้างไว้ให้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับหนูที่เดินในเขาวงกตตามเส้นทางที่มนุษย์โรยเนยแข็งเอาไว้ หนูพวกนั้นก็คิดว่าพวกมันเลือกเส้นทางเองโดยไม่รู้ตัวว่าแท้แล้วเดินตามสิ่งเร้าที่ใครสักคนสร้างขึ้นอยู่

ในขณะที่คนหนุ่มสาวคิดว่าตัวเองเป็นผู้กล้า แต่คนที่วางเส้นทางไว้ให้ เขามองพวกท่านว่าเป็นแค่เหยื่อ ที่จะเป็นเบี้ยหมากสักตัวให้พวกเขาร้องแรกแหกกระเชอต่อโลก ว่าช่วยด้วยเจ้าข้า รัฐบาลทหารละเมิดสิทธิของประชาชน เพื่อให้เกิดข่าวขึ้นสักวูบหนึ่ง สักวันสองวันในหน้าสื่อหรือในโลกโซเชียล

แต่ “ผู้กล้า” ที่ถูกจับไปดำเนินคดีนั้นถูกจำคุกไปเป็นปีๆ เพื่อให้เกิดเป็นแคมเปญ Free คนนั้นที Free คนนี้ที ของพวกรู้มากที่อยู่นอกคุก

ถ้าตระหนักในเรื่องนี้แล้ว ก็อย่าได้เผลอไผลทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อทางการเมืองโดยไม่จำเป็นกันเลย.
กำลังโหลดความคิดเห็น