xs
xsm
sm
md
lg

วิถีชาวกรุง : วันจันทร์ วันที่ฉันไม่รู้จะกินอะไร

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

คุยกันสักนิดนะครับ!!

ก่อนจะเข้าเรื่องต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ผมไม่ได้ตีพิมพ์เรื่องราวลงบนคอลัมน์ คิดเห็นส่วนตัว ตามเวลาที่กำหนดเป็นรายปักษ์ เนื่องจากติดภารกิจสำคัญในการสร้าง "เสริมประสบการณ์ชีวิต" ซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟังในภายหลังครับ

ผมใช้พื้นที่แห่งนี้แบ่งปันข้อคิดตามชื่อของคอลัมน์มาก็เป็นเวลากว่า ๒ ปีดีดักได้ นอกจากเรื่องการผจญภัย (การท่องเที่ยว) ในที่ต่างๆ ของผมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะเขียนให้อ่านกันก็คือการ "บ่น" ในหลายๆ เรื่อง บนบรรทัดฐานตามวิจารณญาณจากประสบการณ์พร้อมข้อเสนอแนะจากสมองอันน้อยนิดของผม
จนคิดได้ว่า สงสัยต้องทำหมวดหมู่เอาไว้แบบเรื่องเล่าจากการเดินทางของผมบ้าง

"วิถีชาวกรุง" จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการจัดหมวดหมู่ข้อเขียนบ่นๆ ของผม ที่เกี่ยวกับเรื่องของผู้อาศัยในกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะอยู่ หรือแค่ผ่านมา แต่ได้รับปัญหา หรือประสบการณ์ทั้งในส่วนที่ดี และน่าปวดหัวร่วมกัน และส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีสาระตามสไตล์ผมนั่นล่ะ!! (ถ้าต้องการงานด้านวิชาการ โปรดมองผ่านเลยจ้า) ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถร่วมกันแชร์เรื่องราว หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหัวข้อย่อย ผ่านช่องทางการแสดงความเห็นด้านล่างตามอัธยาศัยครับ

เรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ ก็คือ ๑ ในปัญหาของมนุษย์ชาวออฟฟิศในหลายๆ พื้นที่ นั่นคือ ... "วันจันทร์ เป็นวันที่ไม่ค่อยมีอะไรกิน"

อันนี้เป็นปัญหาระดับชาติของผมเลยครับ!!

เนื่องจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยเขาต้องปฏิบัติตามกฏของกรุงเทพมหานครที่สั่งห้ามค้าขายในวันจันทร์ ทำให้ร้านค้าริมบาทวิถีต้องหายเกลี้ยงไปหมด ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ชาวออฟฟิศบางคนที่ต้องอยู่ทำงานยันมืดค่ำ พอจะออกมาหาอะไรกินข้างนอกที่ทำงานภายใต้งบประมาณอันจำกัดถึงกับต้องเซ็ง เพราะมันไม่มีอะไรขาย จึงไม่มีอะไรกิน บ้างก็จำต้องพึ่งสินค้าในร้านสะดวกซื้อ เช่น ข้าวกล่อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือไม่ก็ต้องเข้าร้านอาหารยามเช้าที่เปิดให้บริการถึงช่วงค่ำ ซึ่งมีน้อยมาก ...

แล้วใครเป็นคนคิดค้นให้หยุดขาย และเพื่ออะไรกันนะ?

เมื่อสืบค้นย้อนกันไปราว ๓๐ ปีที่แล้วก็พบว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นบุคคลแรกที่ประกาศให้ผู้ค้าหยุดขาย ๑ วันต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้วันพุธ เป็นวันหยุด เพื่อให้ได้มีการทำความสะอาดทางเท้าที่เขาได้ขายกันให้ดูเอี่ยมอ่องอรทัยขึ้นมา นโยบายนี้ปฏิบัติเรื่อยมาตั้งแต่สมัย ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา และคุณพิจิตร รัตตกุล จนถึงยุคของคุณสมัคร สุนทรเวช ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้าเป็นอิสระ ขายกันได้เต็มที่ แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคของผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็ได้ประกาศฟื้นคำสั่งหยุดขายแต่เปลี่ยนจากเดิมเป็นวันจันทร์แทน

ในช่วงปี ๒๕๕๑ คุณสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ได้มีแนวคิดให้ กทม.ซึ่งอยู่คนละพรรคหันกลับมาใช้นโยบายค้าขายอิสระที่แกได้ทำเอาไว้ ซึ่งก็มีเสียงตอบโต้กันสักระยะ ก่อนที่ กทม.จะอะลุ่มอะล่วยจะยอมปรับเปลี่ยนให้หยุดสัปดาห์เว้นสัปดาห์แทน จนมาถึงยุค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ในช่วงแรกก็ปรับเปลี่ยนให้กลับมาหยุดทุกจันทร์ ก่อนจะกลับมาให้หยุดจันทร์เว้นจันทร์ และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะให้หยุดทุกจันทร์อีกซะแล้ว ... งงเลย

แน่นอนครับ การให้บรรดาหาบเร่แผงลอยหยุดค้าขายเพื่อทำความสะอาดนี่เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แถมยังส่งผลดีต่อทัศนียภาพในบางพื้นที่ เช่น เขตที่มีอาคาร สถาปัตยกรรมโบราณ หรือตึกที่ดูสวยทันสมัย แม้กระทั่งพื้นที่ทั่วไป ที่ทำให้มองแล้วดูโล่งตา น่าถ่ายรูปไปอวดชาวบ้าน และเป็นการทำให้ผู้ค้าที่อยู่หรือเช่าสถานที่ที่ไม่ใช่บาทวิถีในบริเวณนั้นได้มีรายได้เพิ่มขึ้น

แต่ในอีกมุมก็กระทบต่อการดำรงชีพของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนึง ในฐานะผู้ซื้อ และผู้ขาย นอกเหนือจากที่ผมไม่มีอะไรกินแล้ว พวกผู้ค้าเองก็ยังประสบปัญหาใหญ่เช่นกัน ... เอาง่ายๆ การหยุดวันจันทร์ในพื้นที่ที่มีมนุษย์ชาวออฟฟิศนี่ทำให้พวกเขาต้องขาดรายได้ไปไม่น้อยเลยเนื่องจากเป็นวันทำงาน และแน่นอนว่า พนักงานเหล่านี้ส่วนมากก็คงไม่มาทำงานในวันเสาร์ - อาทิตย์ จึงทำให้ผู้ค้าในละแวกนั้นจำต้องขาดรายได้ไปถึง ๓ วันต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

แล้วเราควรแก้ปัญหานี้ยังไง? ผมเสนออย่างนี้ครับ ในยุคที่สังคมเราค่อนข้างเป็นประชาธิปไตยใกล้จะเต็มที่ คนก็น่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้ว ผมว่าทาง กทม. โดยเทศกิจ และสำนักงานเขต ควรเชิญผู้ค้าเหล่านี้มาหาข้อตกลงร่วมกัน ว่าจะเอาวันไหนเป็นวันหยุด แทนที่เดิมให้หยุดวันเดียวกันทั่วทั้งจังหวัด

ยกตัวอย่างเช่น แถวๆ ละแวก ถนนพระอาทิตย์ ที่ทำงานของผม ควรให้หยุดวันอาทิตย์ เหมือนกับเหล่าบรรดาร้านค้าหลายๆ ร้านในย่านนั้นหรือไม่ ซึ่งหากทำได้นี่สามารถไปใช้โปรโมตการท่องเที่ยวได้เลยนะ วันอาทิตย์ เที่ยวถ่ายรูปอาคารสวยที่ ถนนพระอาทิตย์ อะไรอย่างนี้

วินๆ กันทั้ง ๒ ฝ่าย

แต่ ... เอาเข้าจริงก็ดูยาก เพราะฝ่ายภาครัฐเองอาจจะไม่เข้าใจมากจนลึกซึ้งถึงขนาดที่ผมคิด ก็เป็นได้

ปล.ส่วนเรื่องปัญหาการค้ากีดขวางทางเดิน การจราจร หรืออื่นๆ ไว้วันหลังจะมาว่ากันเนอะ
กำลังโหลดความคิดเห็น