xs
xsm
sm
md
lg

หรือโลกจะล้อมไทยอีกรอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พระบาท นามเมือง

เป็นไปตามที่คาด เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตามกฎหมายถือว่าเป็นจำเลยในคดีทุจริตจำนำข้าว เดินทางไปฝรั่งเศสตามที่อ้างว่าได้รับเชิญจากทางรัฐสภายุโรป

ในคำสั่งของศาลไม่ได้ให้รายละเอียดอันใดไว้ นอกจากสั่งว่ากรณียังไม่มีเหตุอันควร ไม่อนุญาตตามคำร้อง ซึ่งคาดว่าศาลก็น่าจะพิจารณาถึงผลดีผลเสียของการปล่อยให้จำเลยเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ประกอบความน่าเชื่อถือของข้ออ้างในการขออนุญาตอันได้แก่จดหมายเชิญที่อ้างว่ามาจากสภายุโรปแล้ว จึงมีความเห็นเช่นนั้น

เป็นอันว่าจบไปแล้วเรื่องหนึ่ง สำหรับ “ยุโรปฉบับมโน”

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้มีข้อสังเกตน่าสงสัยว่า ข่าวคราวที่เกิดจาก “ต่างชาติ” นั้นเหมือนจงใจจะพุ่งเข้ามาทิ่มแทงประเทศไทยมากเป็นพิเศษ จนรู้สึกผิดปกติไปบ้าง

เริ่มจากท่าทีของนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ออกมาแสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย

ทั้งๆ ที่ด้วยสถานะและตำแหน่งหน้าที่ เขาควรจะ “รู้” ว่ากฎหมายนี้มีเพื่อเจตนารมณ์ใด และเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักที่ถือเป็นหัวใจของชาติไทย ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของบรรดานักวิชาการ “เสื้อแดง” ที่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอให้ยกเลิกกฎหมายมาตรานี้

ยิ่งหากเราพิจารณาในทางการทูตแล้ว ในทุกการกระทำ การพบปะ การให้สัมภาษณ์ จะต้องมีการวางแผน ในทางการทูต ท่าทีของทูตที่สื่อแสดงต่อสาธารณะ ไม่มีคำว่าส่วนตัว หรือไม่มีประเด็นทางการเมือง

จึงน่าสงสัยว่า การที่แสดงจุดยืนเช่นนี้ออกมานั้น มียุทธศาสตร์อะไร และประสงค์จะส่งสัญญาณใดต่อประชาชนและประเทศไทย

ต่อด้วยการที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ประกาศลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจากประเภทที่ 1 เป็นประเภทที่ 2 หรือการปักธงแดง ซึ่งจะมีผลให้สายการบินของไทยไม่สามารถเปิดเส้นทางการบินเพิ่มเติมในสหรัฐอเมริกาได้อีก

และธงแดงของ FAA ก็น่าจะสอดคล้องกับ ICAO และอาจจะส่งผลให้สำนักงานมาตรฐานการบินยุโรปหรือ EASA ถือตามนั้นด้วย เรียกว่า โดนแขวนป้ายครบทุกสถาบันรับรองการบินหลัก ทั้งๆ ที่ทางการไทยพยายามแก้ปัญหาอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ก็เหมือนกับฝ่ายต่างชาติไม่พยายามมองเห็นเสียอย่างนั้น คล้ายกับข้ออ้างเรื่องการค้ามนุษย์และกีดกันสินค้าอาหารทะเลของไทย

ยังเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีข่าวลือกระจายไปในวงการไลน์ของนักลงทุนเล่นหุ้นว่า สหภาพยุโรปหรือ EU เตรียมที่จะยกระดับมาตรการคว่ำบาตรไทย เพื่อบีบให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

ผลของข่าวลือทำให้หุ้นตกลงไปกว่า 17 จุด ในช่วงบ่ายวันพุธที่ผ่านมา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีท่าทีออกมาว่าสหรัฐอเมริกาอาจจะตัดสิทธิพิเศษทางการค้าหรือ GSP ของไทยในปีหน้า ซึ่งบางคนมองว่าเป็นการบีบอย่างเป็นรูปธรรมจากสหรัฐอเมริกาหลังจากที่นายเดวีส์กระทุ้งนำร่องไปแล้ว

ฉุดให้การส่งออกของไทยวิกฤตหนักเข้าไปใหญ่อีก หลังจากที่ติดลบอยู่ถึง 5% ในปีนี้ นี่คือการรุมโจมตีระลอกใหญ่จากนอกประเทศที่รัฐบาลต้องรับมือพร้อมๆ กัน

ไม่นับเรื่องการตีข่าวประโคมในเรื่องสิทธิมนุษยชนยิบย่อยอีกหลายเรื่อง เช่นที่ทางการไทยส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวจีนส่งไปให้ทางการของจีน ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัยซึ่งทำให้รัฐบาลจะต้องออกมาให้คำตอบ

สารพัดช่องทางการโจมตีที่มีที่มาจากนอกประเทศ มุ่งเข้าแทงพร้อมๆ กันในแผลต่างๆ ของประเทศไทย ในเวลาเดียวกันนั้นช่างน่าสงสัยคล้ายกับตั้งใจจะซ้ำให้ถึงตาย คือให้รัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นอยู่ไม่ได้ ต้องคลายอำนาจและเร่งจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยอาจจะต้องร่นหรือลดเวลาตามโรดแมปออกไปอีก

น่าสงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะมีใครอยู่เบื้องหลัง ที่สั่งทุ่มสุดตัวให้เล่นเต็มแรงหรือเปล่า

อย่าคิดว่าการต่างประเทศนี่ใครจะสั่งไม่ได้ เหมือนที่ฝ่ายเสื้อแดงหรือไม่ชอบรัฐบาลเยาะเย้ยกันนะครับว่า “แม้วซื้อได้ทุกสิ่งในจักรวาลเลยหรือ”

อันที่จริงมันก็ไม่ถึงกับจะซื้อกันไม่ได้นะครับ ถ้าเงินถึง และเรารู้จักล็อบบี้ยิสต์ของจริงพอที่จะต่อสายไปได้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เช่น ติดต่อสื่อ หรือแม้แต่นักการเมือง หรือฝ่ายที่กุมนโยบายระดับประเทศ

และบางทีเรื่องอาจจะไม่ต้องถึงกับระดับรัฐเลยก็ได้ หากหาช่องปล่อย “ข่าวลือ” ได้ดีพอ ก็สามารถปั้นเรื่องขึ้นแทงจนหน่วยที่อ่อนไหวที่สุดอย่างตลาดหุ้นซวดเซได้ เช่นข่าวลือเรื่องสหภาพยุโรปจะคว่ำบาตรไทยนี้ ไม่มีมูลหรือไม่มีเค้าลางหรือการให้สัมภาษณ์เปิดเผยจากแหล่งข่าวที่มีความเป็นไปได้หรืออาจจะมีข้อบ่งชี้ได้เลยก็เห็นว่าอย่างนี้ก็ยังทำได้ เรียกว่าสร้างขี้หมาได้โดยไม่มีมูล! เลยทีเดียว

บวกกับปัญหาภายในที่เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลหรือทหาร อย่างเรื่องอุทยานราชภักดิ์ที่ก่อให้เกิดคำถามที่ทำลายความเชื่อมั่นเรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งการแถลงข่าวหรือการดำเนินคดีโดยเปิดเผยของทางทหารและรัฐบาลเอง ก็ยังเรียกความมั่นใจของประชาชนกลับคืนมาไม่ได้ เช่นแม้จะบอกว่าทหารไม่เกี่ยว แต่ก็กลับมีผู้ต้องหาเป็นทหารที่มีความสนิทสนมลากเส้นไปได้ถึงคนในรัฐบาล

จากที่สัมผัสถึงกระแสสังคมดูอย่างไม่เข้าข้างกัน ก็จะเห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีข้อกังขา ถ้าเป็นฝ่ายที่ไม่ชอบทหารและรัฐบาลอยู่ก็อาจจะเสียงดังหน่อย หรือถ้ายังเอาใจช่วยฝ่ายรัฐบาลอยู่บ้างก็อาจจะเสียงเบา หรือไม่พูดถึง ทว่าถ้าถามกันจริงๆ ทุกคนก็ยังติดใจสงสัย ซึ่งเอาเข้าจริงปัญหาอาจจะเล็ก แต่ก็ถูกกระพือหรือกระทืบให้ใหญ่จากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่แกล้งตายรอโอกาสอยู่แล้ว อย่างสองสหายตู่ - เต้น

ถือเป็นความเพลี่ยงพล้ำจากภายในกันเองจริงๆ

และยิ่งอีกฝ่ายรุกหนักด้วยการลากโลกมาล้อมไทยแล้ว

ต้องบอกว่ารัฐบาลตอนนี้กำลังรับศึกหนักทั้งนอก ทั้งใน และหลายด้านจริงๆ.
กำลังโหลดความคิดเห็น