คงต้องยอมรับว่า การไปร่วมประชุม UN ของนายกฯ บิ๊กตู่นั้น ประสบความสำเร็จเกินคาดหมายจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จระดับภายนอก คือ ความสำเร็จในเวทีนานาชาติ ที่ทางไทยและรัฐบาลนี้ค่อนข้างเสียเปรียบมาตลอดเวลาปีกว่า นับแต่การยึดอำนาจของ คสช.พิลกกลับมาสู่สภาพได้เปรียบแบบพลิกเกมทันที
ถ้าเป็นมวยนี่ก็คือ โดนรุมต่อยข้างเดียวมาสิบยกเซียนไม่กล้าให้ราคาปรากฏขึ้นยกใหม่มาออกหมัดสองสามชุด ชนะน็อกไปซะงั้น
จากที่เดิมนานาประเทศโดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกนั้น “รุม” รัฐบาลในประเด็นเรื่องการเข้ามาโดยการยึดอำนาจรัฐประหารบ้าง เผด็จการบ้าง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนบ้าง เรียกร้องให้ลงจากอำนาจไปเร็วๆ จัดการเลือกตั้งบ้าง
โดยมีลูกคู่หรือทีมงานจากในไทย หรือในต่างแดนที่ส่วนหนึ่งคือเครือข่ายทางการเมืองกลุ่มเดิมๆ และนักประชาธิปไตยในรูปแบบที่ท่องคาถาเลือกตั้งเป็นสรณะสูงสุดของประชาธิปไตย คอยส่ง ชง ยิง ข้อมูลออกไปให้ต้นสังกัดรับรูปมาถล่ม
หากสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพทุกภาพเป็นคนละเรื่องกันไปเลย ทั้งการได้พูดในที่ประชุมว่าด้วยการขจัดความเหลื่อมล้ำ การแสดงทัศนะว่าด้วยประชาธิปไตยในบริบทของไทย การเข้ารับรางวัลจากสหภาพโทรคมนาคม ระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) รางวัล ITU Global Sustainable Digital Development Award
รวมถึงที่สำคัญที่สุด คือการได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม G77 หรือกลุ่มความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นหมัดที่ “สะเทือน” และตบหน้าประชาธิปไตยคลั่งเลือกตั้งในบ้านเราเป็นอย่างมาก
ยิ่งภาพการได้จับมือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ยิ่งเท่ากับเป็นการกระทืบลงไปกลางกล่องดวงใจของกองแช่งให้หน้าเขียวหน้าเหลืองกันเลยทีเดียว
จากที่กองแช่งเคยแช่งกันว่า รับรองว่านายกฯ ไทยไป UN ไม่มีใครเขาคุยด้วยหรอก เพราะเป็นเผด็จการจะไม่ได้รับการยอมรับ เป็นตัวตลกในเวทีโลก บ้างก็ลุ้นให้บิ๊กตู่ไปปล่อยมุกหรือแสดงความโมโหโทโสโชว์ชาวโลก บ้างที่ช่างมโนขนาดหนักถึงขนาดลุ้นว่า เข้าอเมริกาแล้วถูกจับฐานเป็นเผด็จการยึดอำนาจไปเลยก็มี
เมื่อปรากฏว่าเรื่องออกมาเป็นหนังคนละม้วน ก็เล่นเอาไปไม่เป็นไปตามๆ กัน อย่างดีก็แค่มีเรื่องแซะว่า นายกฯ ไปแข่งอ่านโพยเร็วเป็นรถไฟความเร็วสูงซึ่งคนพูดแบบนี้ก็ไม่เคยไป หรือไม่เคยฟังการประชุมระดับนานาชาติ ว่าเขามีเวลาจำกัด และหมดเวลาปุ๊บไมค์ตัดทันที ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือวิเศษมาจากไหน เพื่อทุกคนจะได้พูดในเวลาเท่าๆ กัน ดังนั้นใครเตรียมเนื้อหาไป ก็ต้องซ้อมพูดให้เร็วๆ แบบนี้กันเป็นธรรมดานั่นเอง
หรือที่บอกว่า การได้รับเลือกเป็นประธาน G77 นั้นเป็นผลงานมาแต่ครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว หรือแค่ได้เป็นตามตัวอักษรนั้นก็เป็นการจับแพะชนแกะ เพราะไม่อยากรับรู้หรือรับความจริงว่า รัฐบาล “เผด็จการ” ในสายตาพวกเขา จะมาได้รับการยอมรับในระดับโลกอย่างไร
เอาเป็นว่า ถึงอย่างไรในที่สุด แม้ว่าจะตกเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำมาตลอดปีกว่า ตอนนี้รัฐบาลไทยดึงสถานการณ์กลับคืนมาได้หมดแล้ว แถมเชิดหัวขึ้นมาได้สูงกว่าสมัยรัฐบาลก่อนๆ ที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยอีกต่างหาก
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ สมมติฐานที่พอจะอธิบายได้ก็พอมีอยู่ คือ ในระยะแรกของการเข้ามายึดอำนาจใหม่ๆ นั้น โลกตะวันตกยังไม่แน่ใจว่า สุดท้ายใครแล้วมีอำนาจแน่ๆ
บ้างก็เชื่อว่าอำนาจยังเป็นของฝ่ายการเมืองฝ่ายเดิม รัฐบาลนี้ยึดอำนาจมาได้จริงก็คงจะอยู่ไม่นานก็ไป ตราบใดที่มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเดิม อำนาจเดิม ก็ยังจะกลับมาได้อย่างแน่นอนอยู่ดี ดังที่เคยมีบทเรียนมาแล้วจากคราวรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เขาคงประเมินกันอย่างนี้ ก็เลยคิดว่ายังไม่ต้องเปลี่ยน “คนคุย” ดังนั้นมาช่วยกัน “โห่” ไล่ให้คณะทหารกลุ่มนี้ลงโรงลงไปเร็วๆ ดีกว่า เพื่อให้มีการเลือกตั้งแล้ว เมื่อ “คนคุย” คนเดิมกลับมา จะได้ไปคุยกันต่อ
เชื่อกันว่า การประเมินเรื่องใบเหลืองใบแดงกิจการประมงของยุโรป เรื่องมาตรฐานการบินพลเรือน เรื่องค้ามนุษย์ และเรื่องอื่นๆ ที่บีบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยไม่ให้ไปไหนนั้น ก็เป็นไปเพื่อการ “บีบ” ให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ ที่ว่านี้เอง
เมื่อหนึ่งปีพิสูจน์ว่าเหตุการณ์คงไม่ได้เป็นเช่นนั้นง่ายๆ ฝ่ายรัฐบาลทำท่าจะครองอำนาจอยู่นานกว่าที่คิดไว้ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หนำซ้ำทางไปยังมีทีท่าปันใจไปให้ทางจีนซึ่งรุกคืบขยายฐานอำนาจมายังภูมิภาคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนดุลอำนาจของชาติตะวันตกเริ่มเสียไป ซึ่งแน่นอนว่ากระทบกับผลประโยชน์ด้วย
อ่านเกมแล้ว ประเมินกลยุทธ์ใหม่ เห็นว่าคงต้องรีบเปลี่ยน “คนคุย” เสียแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป นี่น่าจะเป็นที่มาของท่าทีที่เปลี่ยนไปมากของนานาชาติกับรัฐบาลไทย เท่ากับเขายอมรับแล้วว่า รัฐบาลบิ๊กตู่นี้คือรัฐบาลตัวจริง ของจริง มีอะไรมาคุยกับคนนี้แล้ว ไม่ใช่คนเดิม
ซึ่งชัยชนะในเวทีระหว่างประเทศนี้ส่งผลได้เปรียบมหาศาลต่อการเมืองภายในด้วย กล่าวคือ เชื่อได้ว่าหลังจากนี้ ผลการประเมินมาตรการต่างๆ ที่ทางตะวันตกใช้บีบหรือกดดันทางประเทศไทย เช่นเรื่องประมงหรือการบินพาณิชย์ คงต้องได้รับการทบทวนให้ยุติธรรมขึ้น
การค้าขาย การส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักน่าจะกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายใน และแก้ปัญหาความชะงักงันชะลอตัวที่เริ่มจะบีบงวดเข้ามาแล้ว ให้คลี่คลายและเดินต่อไปได้มากขึ้น ประกอบกับทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ก็น่าจะเข้ามาแก้ไขซ่อมแซมเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นได้เช่นกัน
และสำคัญที่สุด คือ บรรดา “เสียงรบกวน” ทั้งหลาย ที่เร่งให้มีการเลือกตั้ง ที่คอยหาเรื่องรัฐบาลไป “ฟ้อง” พ่อฝรั่งข้างนอกนั้นคงจะต้องหุบปากกันไปตามๆ กัน เพราะลูกค้าคงไม่ซื้อแล้ว
ประกอบกับการรับมือกับฝ่ายต่อต้านที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรนอกจากร้อนวิชาบ้าอุดมการณ์ อย่างละมุนละม่อม ไม่ช่วยไปโหมไฟ ต่อไปการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลก็จะยิ่งจุดไม่ติด สร้างข่าวชิงพื้นที่บนสื่อได้ยากขึ้น ทำได้แค่มาชุมนุมแสดงสัญลักษณ์กันยี่สิบสามสิบคนแล้วแยกย้ายกลับบ้าน แชะภาพไปโชว์โก้โม้กันเองในแวดวงกันไป
นี่คือความได้เปรียบที่รัฐบาลชิงกลับมาได้ในช่วงนี้ทั้งหมด ที่ถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญที่จะส่งผลกับอีกหลายๆ เรื่อง ไปยาวๆ กันเลยทีเดียว.
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จระดับภายนอก คือ ความสำเร็จในเวทีนานาชาติ ที่ทางไทยและรัฐบาลนี้ค่อนข้างเสียเปรียบมาตลอดเวลาปีกว่า นับแต่การยึดอำนาจของ คสช.พิลกกลับมาสู่สภาพได้เปรียบแบบพลิกเกมทันที
ถ้าเป็นมวยนี่ก็คือ โดนรุมต่อยข้างเดียวมาสิบยกเซียนไม่กล้าให้ราคาปรากฏขึ้นยกใหม่มาออกหมัดสองสามชุด ชนะน็อกไปซะงั้น
จากที่เดิมนานาประเทศโดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกนั้น “รุม” รัฐบาลในประเด็นเรื่องการเข้ามาโดยการยึดอำนาจรัฐประหารบ้าง เผด็จการบ้าง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนบ้าง เรียกร้องให้ลงจากอำนาจไปเร็วๆ จัดการเลือกตั้งบ้าง
โดยมีลูกคู่หรือทีมงานจากในไทย หรือในต่างแดนที่ส่วนหนึ่งคือเครือข่ายทางการเมืองกลุ่มเดิมๆ และนักประชาธิปไตยในรูปแบบที่ท่องคาถาเลือกตั้งเป็นสรณะสูงสุดของประชาธิปไตย คอยส่ง ชง ยิง ข้อมูลออกไปให้ต้นสังกัดรับรูปมาถล่ม
หากสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพทุกภาพเป็นคนละเรื่องกันไปเลย ทั้งการได้พูดในที่ประชุมว่าด้วยการขจัดความเหลื่อมล้ำ การแสดงทัศนะว่าด้วยประชาธิปไตยในบริบทของไทย การเข้ารับรางวัลจากสหภาพโทรคมนาคม ระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) รางวัล ITU Global Sustainable Digital Development Award
รวมถึงที่สำคัญที่สุด คือการได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม G77 หรือกลุ่มความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นหมัดที่ “สะเทือน” และตบหน้าประชาธิปไตยคลั่งเลือกตั้งในบ้านเราเป็นอย่างมาก
ยิ่งภาพการได้จับมือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ยิ่งเท่ากับเป็นการกระทืบลงไปกลางกล่องดวงใจของกองแช่งให้หน้าเขียวหน้าเหลืองกันเลยทีเดียว
จากที่กองแช่งเคยแช่งกันว่า รับรองว่านายกฯ ไทยไป UN ไม่มีใครเขาคุยด้วยหรอก เพราะเป็นเผด็จการจะไม่ได้รับการยอมรับ เป็นตัวตลกในเวทีโลก บ้างก็ลุ้นให้บิ๊กตู่ไปปล่อยมุกหรือแสดงความโมโหโทโสโชว์ชาวโลก บ้างที่ช่างมโนขนาดหนักถึงขนาดลุ้นว่า เข้าอเมริกาแล้วถูกจับฐานเป็นเผด็จการยึดอำนาจไปเลยก็มี
เมื่อปรากฏว่าเรื่องออกมาเป็นหนังคนละม้วน ก็เล่นเอาไปไม่เป็นไปตามๆ กัน อย่างดีก็แค่มีเรื่องแซะว่า นายกฯ ไปแข่งอ่านโพยเร็วเป็นรถไฟความเร็วสูงซึ่งคนพูดแบบนี้ก็ไม่เคยไป หรือไม่เคยฟังการประชุมระดับนานาชาติ ว่าเขามีเวลาจำกัด และหมดเวลาปุ๊บไมค์ตัดทันที ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือวิเศษมาจากไหน เพื่อทุกคนจะได้พูดในเวลาเท่าๆ กัน ดังนั้นใครเตรียมเนื้อหาไป ก็ต้องซ้อมพูดให้เร็วๆ แบบนี้กันเป็นธรรมดานั่นเอง
หรือที่บอกว่า การได้รับเลือกเป็นประธาน G77 นั้นเป็นผลงานมาแต่ครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว หรือแค่ได้เป็นตามตัวอักษรนั้นก็เป็นการจับแพะชนแกะ เพราะไม่อยากรับรู้หรือรับความจริงว่า รัฐบาล “เผด็จการ” ในสายตาพวกเขา จะมาได้รับการยอมรับในระดับโลกอย่างไร
เอาเป็นว่า ถึงอย่างไรในที่สุด แม้ว่าจะตกเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำมาตลอดปีกว่า ตอนนี้รัฐบาลไทยดึงสถานการณ์กลับคืนมาได้หมดแล้ว แถมเชิดหัวขึ้นมาได้สูงกว่าสมัยรัฐบาลก่อนๆ ที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยอีกต่างหาก
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ สมมติฐานที่พอจะอธิบายได้ก็พอมีอยู่ คือ ในระยะแรกของการเข้ามายึดอำนาจใหม่ๆ นั้น โลกตะวันตกยังไม่แน่ใจว่า สุดท้ายใครแล้วมีอำนาจแน่ๆ
บ้างก็เชื่อว่าอำนาจยังเป็นของฝ่ายการเมืองฝ่ายเดิม รัฐบาลนี้ยึดอำนาจมาได้จริงก็คงจะอยู่ไม่นานก็ไป ตราบใดที่มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเดิม อำนาจเดิม ก็ยังจะกลับมาได้อย่างแน่นอนอยู่ดี ดังที่เคยมีบทเรียนมาแล้วจากคราวรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เขาคงประเมินกันอย่างนี้ ก็เลยคิดว่ายังไม่ต้องเปลี่ยน “คนคุย” ดังนั้นมาช่วยกัน “โห่” ไล่ให้คณะทหารกลุ่มนี้ลงโรงลงไปเร็วๆ ดีกว่า เพื่อให้มีการเลือกตั้งแล้ว เมื่อ “คนคุย” คนเดิมกลับมา จะได้ไปคุยกันต่อ
เชื่อกันว่า การประเมินเรื่องใบเหลืองใบแดงกิจการประมงของยุโรป เรื่องมาตรฐานการบินพลเรือน เรื่องค้ามนุษย์ และเรื่องอื่นๆ ที่บีบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยไม่ให้ไปไหนนั้น ก็เป็นไปเพื่อการ “บีบ” ให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ ที่ว่านี้เอง
เมื่อหนึ่งปีพิสูจน์ว่าเหตุการณ์คงไม่ได้เป็นเช่นนั้นง่ายๆ ฝ่ายรัฐบาลทำท่าจะครองอำนาจอยู่นานกว่าที่คิดไว้ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หนำซ้ำทางไปยังมีทีท่าปันใจไปให้ทางจีนซึ่งรุกคืบขยายฐานอำนาจมายังภูมิภาคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนดุลอำนาจของชาติตะวันตกเริ่มเสียไป ซึ่งแน่นอนว่ากระทบกับผลประโยชน์ด้วย
อ่านเกมแล้ว ประเมินกลยุทธ์ใหม่ เห็นว่าคงต้องรีบเปลี่ยน “คนคุย” เสียแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป นี่น่าจะเป็นที่มาของท่าทีที่เปลี่ยนไปมากของนานาชาติกับรัฐบาลไทย เท่ากับเขายอมรับแล้วว่า รัฐบาลบิ๊กตู่นี้คือรัฐบาลตัวจริง ของจริง มีอะไรมาคุยกับคนนี้แล้ว ไม่ใช่คนเดิม
ซึ่งชัยชนะในเวทีระหว่างประเทศนี้ส่งผลได้เปรียบมหาศาลต่อการเมืองภายในด้วย กล่าวคือ เชื่อได้ว่าหลังจากนี้ ผลการประเมินมาตรการต่างๆ ที่ทางตะวันตกใช้บีบหรือกดดันทางประเทศไทย เช่นเรื่องประมงหรือการบินพาณิชย์ คงต้องได้รับการทบทวนให้ยุติธรรมขึ้น
การค้าขาย การส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักน่าจะกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายใน และแก้ปัญหาความชะงักงันชะลอตัวที่เริ่มจะบีบงวดเข้ามาแล้ว ให้คลี่คลายและเดินต่อไปได้มากขึ้น ประกอบกับทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ก็น่าจะเข้ามาแก้ไขซ่อมแซมเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นได้เช่นกัน
และสำคัญที่สุด คือ บรรดา “เสียงรบกวน” ทั้งหลาย ที่เร่งให้มีการเลือกตั้ง ที่คอยหาเรื่องรัฐบาลไป “ฟ้อง” พ่อฝรั่งข้างนอกนั้นคงจะต้องหุบปากกันไปตามๆ กัน เพราะลูกค้าคงไม่ซื้อแล้ว
ประกอบกับการรับมือกับฝ่ายต่อต้านที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรนอกจากร้อนวิชาบ้าอุดมการณ์ อย่างละมุนละม่อม ไม่ช่วยไปโหมไฟ ต่อไปการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลก็จะยิ่งจุดไม่ติด สร้างข่าวชิงพื้นที่บนสื่อได้ยากขึ้น ทำได้แค่มาชุมนุมแสดงสัญลักษณ์กันยี่สิบสามสิบคนแล้วแยกย้ายกลับบ้าน แชะภาพไปโชว์โก้โม้กันเองในแวดวงกันไป
นี่คือความได้เปรียบที่รัฐบาลชิงกลับมาได้ในช่วงนี้ทั้งหมด ที่ถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญที่จะส่งผลกับอีกหลายๆ เรื่อง ไปยาวๆ กันเลยทีเดียว.