เป็นเรื่องใหญ่ในโลกโซเชียล และลามต่อเนื่องจนหยุดไม่ได้ คุมสถานการณ์ไม่อยู่
ก็คือเรื่องที่ธนาคารใหญ่สีม่วง ประกาศรับสมัครที่ปรึกษาการเงินฝึกหัด (Financial Advisor Trainee) แต่ที่เป็นปัญหา คือการระบุเกรดเฉลี่ย และมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้เพียง 14 มหาวิทยาลัย
และในบรรดามหาวิทยาลัยที่ระบุชื่อไว้ ก็ไม่มีมหาวิทยาลัยเปิดขนาดใหญ่ อย่างมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือมหาวิทยาลัยชื่อดังบางแห่งก็ไม่ติดในรายชื่อ และที่สำคัญคือการรวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งทั่วประเทศไทยด้วย
ผลของเอกสารหลุดนั้นบานปลายทำให้เกิดการประท้วง และคว่ำบาตรการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารดังกล่าวและบริษัทในเครือ อย่างมติของสภาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 ทั่วประเทศ ร่วมกันคว่ำบาตรงดทำธุรกรรมกับธนาคารต้นเรื่อง
จนต้องมีการแก้ไขข่าวกันวุ่นวาย พยายามกู้ชื่อกู้ภาพลักษณ์ขององค์กร แต่ก็พูดตรงๆว่า งานนี้ยากมากๆ เป็นความผิดพลาดแบบน้ำผึ้งหยดเดียวจ้างที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดในโลกมา ก็ไม่รู้จะแก้เกมได้แค่ไหนเพียงไร
เพราะภาพที่หลุดออกมานั้นเป็นเอกสารประชาสัมพันธ์แบบเป็นทางการ มีการจัด Art Work ที่สวยงามตามรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของทางธนาคาร ไม่ใช่เพียงแค่การโพสต์ในเว็บไซต์หรือในเพจ ที่อ้างได้ง่ายกว่าว่า เป็นความผิดพลาดในการสื่อสาร เป็นการกระทำโดยพลการของฝ่าย HR
เรียกว่ากว่าจะออกมาเป็นเอกสารให้เห็นเช่นนั้น ก็แปลว่าต้องผ่านการพิจารณามาแล้วหลายหูหลายตา ข้ออ้างเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาดก็ฟังได้ยากขึ้นไปเท่านั้น
ความพยายามแก้ไขปัญหาต่อไปของทางธนาคาร ก็ได้แต่การสื่อสารประชาสัมพันธ์ว่า ทางธนาคารนั้นรับบัณฑิตจากทุกสถาบันเข้าเป็นบุคลากรอยู่แล้ว และให้พนักงานต่างช่วยกันโพสต์สถาบันที่จบมาพร้อมแทคชื่อธนาคาร ลงใน Social Network โดยเฉพาะผู้จบจากสถาบันที่ไม่อยู่ในลิสต์ทั้ง 14
นับเป็นบทเรียนราคาแพงและเป็นกรณีศึกษาสำคัญในวิชาการบริหารจัดการภาพลักษณ์องค์กรกันเลย ซึ่งตอกย้ำภาษิตที่ว่า “ภาพลักษณ์นั้นใช้เวลาสร้างและสั่งสมนานนับปี แต่อาจถูกทำลายลงได้เพียงภายใน 5 นาที”
อันที่จริงแล้ว การรับบัณฑิตเฉพาะจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หรือกำหนดว่าไม่รับบัณฑิตจากสถาบันไหนบ้าง หรือการกำหนดเกรดเฉลี่ยที่ไม่เท่ากันในการกลั่นกรอง (เช่น ถ้าจบจากมหาวิทยาลัยปิดของรัฐหรือมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ใช้เกรด 2.75 ขึ้นไป แต่ถ้าจบจากมหาวิทยาลัยเปิดหรือมหาวิทยาลัยเอกชนอื่นๆ อาจจะต้องว่ากันที่ 3 ขึ้นไปหรือเกียรตินิยม)
หรือบางองค์กรเป็นเรื่องที่แอบรู้กันว่า บริษัทนั้นบริษัทนี้ “สี” ไหนได้เปรียบ หรือองค์กรชื่อนี้ถ้าไม่จบจาก 3 มหาวิทยาลัยหลักก็ไม่ต้องไปสมัครให้เสียเวลา
แต่ที่กล่าวมานั้นก็คือแนวทางปฏิบัติที่ไม่มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีหลักฐาน มีเพียงคำร่ำลือปากต่อปากที่เล่าต่อกันมา หากใครโวยวายว่าทำไมถึงไม่รับเขาเข้าทำงาน ทางองค์กรก็จะมีข้ออ้างคำตอบมากมายที่ชี้แจงได้ว่า เพราะอะไรๆ ถึงไม่รับคุณเข้าทำงาน เช่นนี้ก็พูดยาก
เมื่อมี “เอกสารลายลักษณ์อักษร” ออกมาแบบนี้ เหมือนยืนยันสมมติฐานที่รู้กันมาเงียบๆ ก็คล้ายๆ กับคุยในใจ พูดกันวงในไม่มีใครรู้ แต่พอประกาศออกไมค์นี่สิมันน่าแค้น
นี่เองที่ทำให้เกิดการเดือดดาลทั้งแผ่นดิน ถึงขนาดว่าอดีตรัฐมนตรี ผู้บริหารมหาวิทยาลัยรังสิต ยังถึงกับออกโรงมาร่วมด้วย
เรียกว่าเป็นความผิดพลาดระดับมหากาพย์จากเรื่องนิดเดียวเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่พาให้บานปลายของทางรัฐบาลในช่วงอาทิตย์ที่แล้วคือการสั่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับนักศึกษากลุ่มดาวดิน และนักศึกษาที่จัดกิจกรรมรำลึกรัฐประหาร ที่หอศิลป์ กทม.
ในทางการต่อสู้ทางการเมืองแล้ว การรับมือกับนักศึกษานั้นเป็นเรื่องค่อนข้างจัดการยาก เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นักศึกษานั้นได้แต้มต่อในเชิงภาพลักษณ์ของ “พลังบริสุทธิ์ทางการเมือง” และความที่เป็น “เยาวชน”
การต่อสู้ของนักศึกษาเป็นภาพโรแมนติกทางการเมืองมาตั้งแต่ยุค Sixty (ช่วง ค.ศ. 1960 - 1970) และถึงยุค 14 ตุลา 16 จนถึง 6 ตุลา 19 และจนถึงในปัจจุบันเช่นการต่อสู้ของนักศึกษาฮ่องกงเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปีที่แล้ว
ส่วนนักศึกษากลุ่มดาวดินนี้ หากยอมรับกันตรงๆ ก็คือว่า เท่าที่ดูจากประวัติของทุกคน อาจจะยังไม่ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกับฝ่ายการเมืองเสื้อแดงสักเท่าไร เพราะกลุ่มดาวดินนั้นมีประวัติการต่อสู้ที่ชัดเจนในเรื่องเหมืองแร่ทองคำที่จังหวัดเลยมาก่อน
หรือกลุ่มนักศึกษาหอศิลป์ ซึ่งแม้ว่าบางคนจะสนิทสนมกับอาจารย์ในกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ถ้ายอมรับกันจริงๆ ก็คือว่า สายความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กับเครือข่ายเสื้อแดงและกลุ่มอำนาจเก่านั้น ค่อนข้างห่าง และไม่เป็นรูปธรรม
และอาจจะยังห่างเกินไปเมื่อเทียบกับการรับมือที่รุนแรงระดับการจับไปขังไว้ในเรือนจำ ซึ่งรังแต่จะก่อแรงกระเพื่อมในหมู่คนกลางๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารอยู่แล้วแต่ไม่ออกมาแสดงตัว ก็เริ่มมีการแสดงตัวมากขึ้น เช่น “นิ้วกลม” นักเขียนชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นและคนทำงานรุ่นใหม่ ที่ปกติเขียนหนังสือแนวอบอุ่นโลกสวย ก็ออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าสนับสนุนกลุ่มดาวดิน เป็นเรื่องช็อกวงการ หรือในหมู่นักเขียนรุ่นใหญ่ กวีซีไรต์ ฝ่ายที่แสดงตนมาตลอดว่าไม่เห็นด้วยการการทำรัฐประหาร ก็ออกมาแสดงตนกันมากขึ้น
เรียกว่าการจับนักศึกษาอาจจะด้วยว่าเพื่อปราม หรือแสดงให้เห็นถึงการเอาจริงเอาจังในการรักษาความสงบเรียบร้อย กลับส่งผลลุกลามที่คาดไม่ถึง แม้จะไม่มากมายนัก แต่ก็ทำให้ฝ่ายเสื้อแดงที่ต้องจำใจสงบเงียบรออยู่นั้น กระโดดขึ้นมา “ขี่กระแส” ตามกันไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
กับสิ่งที่ต้องระวังต่อไป เพราะเริ่มเห็นถึงความไม่พอใจหรือ “แรงกระเพื่อม” ของประชาชนบ้างแล้ว เช่นเรื่องการที่ท่านนายกฯ ออกมาเปรยๆ เรื่องการทบทวนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นไม้ตายสำคัญของฝ่ายทักษิณที่ไม่มีใครกล้าแตะมาตลอด 20 ปี แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังต้องปรับเป็นการรักษาแบบฟรี ไม่กล้ายกเลิกหรือทำอะไรได้
การที่กองทัพเรือมีมติให้ซื้อเรือดำน้ำจากจีน ซึ่งแม้แต่ประชาชนกลุ่มคนที่เชียร์ให้ซื้อเรือดำน้ำ หรือบรรดาแฟนๆ กองทัพกลุ่มผู้นิยมอาวุธไฮเทคยังออกมาแสดงน้ำเสียงผิดหวัง
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น และประสบปัญหาภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤตทั่วประเทศเช่นนี้
เรียกว่าการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ทั้งเรื่องนักศึกษา ทบทวนโครงการ 30 บาท และเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ออกจะลำบาก.
ก็คือเรื่องที่ธนาคารใหญ่สีม่วง ประกาศรับสมัครที่ปรึกษาการเงินฝึกหัด (Financial Advisor Trainee) แต่ที่เป็นปัญหา คือการระบุเกรดเฉลี่ย และมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้เพียง 14 มหาวิทยาลัย
และในบรรดามหาวิทยาลัยที่ระบุชื่อไว้ ก็ไม่มีมหาวิทยาลัยเปิดขนาดใหญ่ อย่างมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือมหาวิทยาลัยชื่อดังบางแห่งก็ไม่ติดในรายชื่อ และที่สำคัญคือการรวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งทั่วประเทศไทยด้วย
ผลของเอกสารหลุดนั้นบานปลายทำให้เกิดการประท้วง และคว่ำบาตรการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารดังกล่าวและบริษัทในเครือ อย่างมติของสภาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 ทั่วประเทศ ร่วมกันคว่ำบาตรงดทำธุรกรรมกับธนาคารต้นเรื่อง
จนต้องมีการแก้ไขข่าวกันวุ่นวาย พยายามกู้ชื่อกู้ภาพลักษณ์ขององค์กร แต่ก็พูดตรงๆว่า งานนี้ยากมากๆ เป็นความผิดพลาดแบบน้ำผึ้งหยดเดียวจ้างที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดในโลกมา ก็ไม่รู้จะแก้เกมได้แค่ไหนเพียงไร
เพราะภาพที่หลุดออกมานั้นเป็นเอกสารประชาสัมพันธ์แบบเป็นทางการ มีการจัด Art Work ที่สวยงามตามรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของทางธนาคาร ไม่ใช่เพียงแค่การโพสต์ในเว็บไซต์หรือในเพจ ที่อ้างได้ง่ายกว่าว่า เป็นความผิดพลาดในการสื่อสาร เป็นการกระทำโดยพลการของฝ่าย HR
เรียกว่ากว่าจะออกมาเป็นเอกสารให้เห็นเช่นนั้น ก็แปลว่าต้องผ่านการพิจารณามาแล้วหลายหูหลายตา ข้ออ้างเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาดก็ฟังได้ยากขึ้นไปเท่านั้น
ความพยายามแก้ไขปัญหาต่อไปของทางธนาคาร ก็ได้แต่การสื่อสารประชาสัมพันธ์ว่า ทางธนาคารนั้นรับบัณฑิตจากทุกสถาบันเข้าเป็นบุคลากรอยู่แล้ว และให้พนักงานต่างช่วยกันโพสต์สถาบันที่จบมาพร้อมแทคชื่อธนาคาร ลงใน Social Network โดยเฉพาะผู้จบจากสถาบันที่ไม่อยู่ในลิสต์ทั้ง 14
นับเป็นบทเรียนราคาแพงและเป็นกรณีศึกษาสำคัญในวิชาการบริหารจัดการภาพลักษณ์องค์กรกันเลย ซึ่งตอกย้ำภาษิตที่ว่า “ภาพลักษณ์นั้นใช้เวลาสร้างและสั่งสมนานนับปี แต่อาจถูกทำลายลงได้เพียงภายใน 5 นาที”
อันที่จริงแล้ว การรับบัณฑิตเฉพาะจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หรือกำหนดว่าไม่รับบัณฑิตจากสถาบันไหนบ้าง หรือการกำหนดเกรดเฉลี่ยที่ไม่เท่ากันในการกลั่นกรอง (เช่น ถ้าจบจากมหาวิทยาลัยปิดของรัฐหรือมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ใช้เกรด 2.75 ขึ้นไป แต่ถ้าจบจากมหาวิทยาลัยเปิดหรือมหาวิทยาลัยเอกชนอื่นๆ อาจจะต้องว่ากันที่ 3 ขึ้นไปหรือเกียรตินิยม)
หรือบางองค์กรเป็นเรื่องที่แอบรู้กันว่า บริษัทนั้นบริษัทนี้ “สี” ไหนได้เปรียบ หรือองค์กรชื่อนี้ถ้าไม่จบจาก 3 มหาวิทยาลัยหลักก็ไม่ต้องไปสมัครให้เสียเวลา
แต่ที่กล่าวมานั้นก็คือแนวทางปฏิบัติที่ไม่มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีหลักฐาน มีเพียงคำร่ำลือปากต่อปากที่เล่าต่อกันมา หากใครโวยวายว่าทำไมถึงไม่รับเขาเข้าทำงาน ทางองค์กรก็จะมีข้ออ้างคำตอบมากมายที่ชี้แจงได้ว่า เพราะอะไรๆ ถึงไม่รับคุณเข้าทำงาน เช่นนี้ก็พูดยาก
เมื่อมี “เอกสารลายลักษณ์อักษร” ออกมาแบบนี้ เหมือนยืนยันสมมติฐานที่รู้กันมาเงียบๆ ก็คล้ายๆ กับคุยในใจ พูดกันวงในไม่มีใครรู้ แต่พอประกาศออกไมค์นี่สิมันน่าแค้น
นี่เองที่ทำให้เกิดการเดือดดาลทั้งแผ่นดิน ถึงขนาดว่าอดีตรัฐมนตรี ผู้บริหารมหาวิทยาลัยรังสิต ยังถึงกับออกโรงมาร่วมด้วย
เรียกว่าเป็นความผิดพลาดระดับมหากาพย์จากเรื่องนิดเดียวเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่พาให้บานปลายของทางรัฐบาลในช่วงอาทิตย์ที่แล้วคือการสั่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับนักศึกษากลุ่มดาวดิน และนักศึกษาที่จัดกิจกรรมรำลึกรัฐประหาร ที่หอศิลป์ กทม.
ในทางการต่อสู้ทางการเมืองแล้ว การรับมือกับนักศึกษานั้นเป็นเรื่องค่อนข้างจัดการยาก เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นักศึกษานั้นได้แต้มต่อในเชิงภาพลักษณ์ของ “พลังบริสุทธิ์ทางการเมือง” และความที่เป็น “เยาวชน”
การต่อสู้ของนักศึกษาเป็นภาพโรแมนติกทางการเมืองมาตั้งแต่ยุค Sixty (ช่วง ค.ศ. 1960 - 1970) และถึงยุค 14 ตุลา 16 จนถึง 6 ตุลา 19 และจนถึงในปัจจุบันเช่นการต่อสู้ของนักศึกษาฮ่องกงเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปีที่แล้ว
ส่วนนักศึกษากลุ่มดาวดินนี้ หากยอมรับกันตรงๆ ก็คือว่า เท่าที่ดูจากประวัติของทุกคน อาจจะยังไม่ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกับฝ่ายการเมืองเสื้อแดงสักเท่าไร เพราะกลุ่มดาวดินนั้นมีประวัติการต่อสู้ที่ชัดเจนในเรื่องเหมืองแร่ทองคำที่จังหวัดเลยมาก่อน
หรือกลุ่มนักศึกษาหอศิลป์ ซึ่งแม้ว่าบางคนจะสนิทสนมกับอาจารย์ในกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ถ้ายอมรับกันจริงๆ ก็คือว่า สายความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กับเครือข่ายเสื้อแดงและกลุ่มอำนาจเก่านั้น ค่อนข้างห่าง และไม่เป็นรูปธรรม
และอาจจะยังห่างเกินไปเมื่อเทียบกับการรับมือที่รุนแรงระดับการจับไปขังไว้ในเรือนจำ ซึ่งรังแต่จะก่อแรงกระเพื่อมในหมู่คนกลางๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารอยู่แล้วแต่ไม่ออกมาแสดงตัว ก็เริ่มมีการแสดงตัวมากขึ้น เช่น “นิ้วกลม” นักเขียนชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นและคนทำงานรุ่นใหม่ ที่ปกติเขียนหนังสือแนวอบอุ่นโลกสวย ก็ออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าสนับสนุนกลุ่มดาวดิน เป็นเรื่องช็อกวงการ หรือในหมู่นักเขียนรุ่นใหญ่ กวีซีไรต์ ฝ่ายที่แสดงตนมาตลอดว่าไม่เห็นด้วยการการทำรัฐประหาร ก็ออกมาแสดงตนกันมากขึ้น
เรียกว่าการจับนักศึกษาอาจจะด้วยว่าเพื่อปราม หรือแสดงให้เห็นถึงการเอาจริงเอาจังในการรักษาความสงบเรียบร้อย กลับส่งผลลุกลามที่คาดไม่ถึง แม้จะไม่มากมายนัก แต่ก็ทำให้ฝ่ายเสื้อแดงที่ต้องจำใจสงบเงียบรออยู่นั้น กระโดดขึ้นมา “ขี่กระแส” ตามกันไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
กับสิ่งที่ต้องระวังต่อไป เพราะเริ่มเห็นถึงความไม่พอใจหรือ “แรงกระเพื่อม” ของประชาชนบ้างแล้ว เช่นเรื่องการที่ท่านนายกฯ ออกมาเปรยๆ เรื่องการทบทวนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นไม้ตายสำคัญของฝ่ายทักษิณที่ไม่มีใครกล้าแตะมาตลอด 20 ปี แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังต้องปรับเป็นการรักษาแบบฟรี ไม่กล้ายกเลิกหรือทำอะไรได้
การที่กองทัพเรือมีมติให้ซื้อเรือดำน้ำจากจีน ซึ่งแม้แต่ประชาชนกลุ่มคนที่เชียร์ให้ซื้อเรือดำน้ำ หรือบรรดาแฟนๆ กองทัพกลุ่มผู้นิยมอาวุธไฮเทคยังออกมาแสดงน้ำเสียงผิดหวัง
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น และประสบปัญหาภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤตทั่วประเทศเช่นนี้
เรียกว่าการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ทั้งเรื่องนักศึกษา ทบทวนโครงการ 30 บาท และเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ออกจะลำบาก.