ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
เช้านี้ผมอยู่ที่กรุงเกียวโตครับ... รถ บขส.เจอาร์ พรีเมียม ดรีม พาผมข้ามภูมิภาคจากคันโตะ มาคันไซ ในค่ำคืนอย่างช้าๆ ประมาณ ๘ ชั่วโมงได้ ผมนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น บนรถที่ไม่ได้มีอะไรให้กินเหมือนรถทัวร์บ้านเรา อากาศบนนั้นก็ไม่หนาวมาก นอนกำลังสบาย ได้ชาร์ตแบตกล้องเต็มที่ ในใบโดยสารเขาบอกว่าจะแวะจุดพักรถ ๓ แห่ง แต่ผมคงเพลียจัด หลับไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้รู้ว่าจุดพักรถเขาหน้าตาเป็นยังไง รู้สึกตัวอีกทีก็เข้าเขตอยุธยา เอ๊ย ไม่ใช่ เข้าเขตเมืองหลวงเก่าแล้ว
พอลงจากรถผมต้องนำตั๋วคืนเขาด้วยนะ? ไม่รู้ทำไม ไม่ได้ถามเหมือนกัน ก็เดินเข้าไปภายในสถานีรถไฟเกียวโต ซึ่งดูใหญ่โตไม่แพ้หัวลำโพงบ้านเรา ฝั่งตรงข้ามสถานีจะเห็น “หอคอยเกียวโต” จุดแลนด์มาร์กของเมือง อยู่บนโรงแรมเกียวโตทาวเวอร์ ส่วนภารกิจผมตอนนี้ต้องไปเข้าห้องน้ำก่อนครับ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อและชั้นในแทนการชำระล้างร่างกาย ใครจะว่าผมซกมกก็ยอมล่ะวะ ก็มันไม่รู้นิว่าอาบน้ำได้ตรงไหน ... จากนั้นก็นำกระเป๋าไปฝากไว้ในล๊อกเกอร์ ที่นี่มีตู้เก็บของเยอะมากๆ ครับ หลายขนาดสามารถเลือกให้เหมาะกับกระเป๋าได้ แต่...ต้องเสียค่าเช่าด้วยนะ ตู้ของผมบรรจุกระเป๋าแบ๊คแพคขนาดกลางพร้อมกระเป๋ากล้องแบบถือ นี่เสียไป ๓๐๐ เยน (ถ้าจำไม่ผิด) สำหรับ ๑ วัน
เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันครับ ...
ภารกิจแรกที่เราจะไปกันวันนี้คือนั่ง “รถไฟสายโรแมนติกซากะโนะ” (Sagano Romantic Train or Sagano Torokko) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัด ในย่านอาระชิยะมะ (Arashiyama) ครับ ก่อนอื่นต้องซื้อตั๋วรถไฟสายเจอาร์ ซากะโนะ จากที่นี่ไปยังสถานีซากะ อาระชิยะมะ (Saga Arashiyama) ในราคา ๒๔๐ เยน แล้วก็เข้าไปเดินหาชานชาลาที่ ๓๓ คนรอรถไฟค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่พอขึ้นรถแล้วนั่งไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย เราต้องเดินออกจากสถานีเพื่อไปยังอาคารสีอิฐส้มใกล้ๆ นั่นคือ สถานีรถไฟโทรกโกะ ซากะ ต้นสายของรถไฟที่ผมจะไปขึ้นเนี่ยล่ะ ภายในเป็นที่จำหน่ายตั๋ว แต่เมื่อมาถึงผมนี่อึ้งเลยครับ คนรอซื้อตั๋วทะลักออกมาถึงด้านหน้าทางเข้า นี่ขนาดผมรีบมาถึงแค่ ๘ โมงกว่าๆ เองนะ... แต่ก็แหงล่ะครับ วันนี้วันอาทิตย์นิ
ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงผมก็สามารถคว้าตั๋ว ๑ ใบมาได้ แต่ไม่ได้ไปตอนนี้ครับ เพราะว่าเที่ยวล่าสุด ๐๙.๐๗ น.เต็มเสียแล้ว รถไฟจะวิ่งวันละ ๘ รอบ รอบเช้าสุดคือรอบที่ผมจะขึ้นเนี่ยล่ะ ส่วนรอบสุดท้ายคือ ๑๖.๐๗ น. ผมก็ถามว่า มีรอบไหนที่ยังพอมีที่เหลือบ้าง เขาก็เสนอรอบ ๑๑.๐๗ น.ให้ ยังว่างอีกเพียบ!! ผมก็เลยลองคำนวนแผนการณ์เดินดูแล้วจึงตกลงยินยอม จ่ายไป ๖๒๐ เยน ค่าตั๋ว แต่ขอเขาไปขึ้นในสถานีถัดไปที่ชื่อ โทรกโกะอาระชิยะมะ แทน เขาก็เขียนใบเวลาให้ว่า คุณต้องไปถึงก่อนเวลา ๑๑.๑๐ น.นะ ... ก็โอเค ว่าแต่ จะไปไหนต่อดีล่ะ...
ตามแผนการเดิมผมกะว่าจะนั่งรถไฟสายนี้แล้ววนกลับมาเที่ยวในเมือง แต่เมื่อได้ตั๋วมาเช่นนี้จึงต้องเปลี่ยนกลับโปรแกรม ไปเดินเที่ยวในย่านอาระชิยะมะแทน โดยจุดแรกที่ไปคือ “สะพานโทเง็ตสึเคียว” (Togetsukyo) อยู่ทางตอนใต้ของสถานีรถไฟครับ เขาว่านี่คือ สะพานข้ามพระจันทร์ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งอาระชิยะมะ เรียกได้ว่า ถ้าไม่มานี่เหมือนมาไม่ถึง เอาวะ ไหนๆ ก็มาแล้วต้องลองไปดู เดินไปไม่ไกลมาก ผมตามๆ กลุ่มเด็กนักเรียนสาว ม.ปลาย มาสักพักก็เจอครับ (เกี่ยวมั้ยนั่น?) ภาพที่เห็นคือสะพานปูนยาวๆ พาดขวางแม่น้ำที่น้ำไหลเอื่อยๆ ด้านซ้ายมือเป็นทางน้ำไหล แต่ด้านขวามือเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้สลับสีเขียว แดง ส้ม เหลือง เต็มพื้นที่ แม้ว่าช่วงที่มาจะเริ่มโรยราไปบ้างแล้ว แต่สิ่งที่เหลืออยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังสักนิด
ตามประวัติว่าสะพานนี้แต่เดิมสร้างขึ้นในยุคเฮย์อัน ช่วง พ.ศ.๑๓๓๗ - ๑๗๒๘ ส่วนที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้สร้างเสร็จในพ.ศ.๒๔๗๗ ตัวสะพานนี้แบ่งแม่น้ำออกเป็น ๒ สาย นั่นคือแม่น้ำ โฮซุ (Hozu) ทางทิศตะวันตก และ แม่น้ำคัตสึระ (Katsura) ในทิศตะวันออก สุดปลายทางของสะพานนั่นก็มีทางขึ้นเขาให้เข้าไปชมสวนลิงอิวะทะยะมะได้ แต่ผมไม่ได้ไปหรอก เดินเล่นอยู่ริมตลิ่งถ่ายรูปชิลล์ๆ ตรงนี้มีทางลาดให้ลงไปยืมริมขอบแม่น้ำได้สบาย เสร็จสมอารมณ์หมายก็เดินทางกลับมาอีกฝั่งที่ติดภูเขา จะเห็นเหมือนฝายกั้นน้ำขนาดใหญ่ คาดว่าจะกักไว้ให้ชาวบ้านทำกสิกรรม จะเห็นได้ว่า ริมตลิ่งฝั่งนั้นจะมีบ้านเรือนและเรืออยู่หลายลำให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมกันด้วย
จากวิวสวยๆ เราเดินย้อนกลับมาทางเก่า ไม่ไกลนักก็จะเจอวัดเก่าแก่ที่ชื่อ “เท็งริว” (Tenryu ji) เวลานี้คนคึกคักมากเลยครับ วัดนี้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี ๒๕๓๗ ด้วย สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๘๘๒ โดยบัญชาของโชกุน อาชิกะงะ ทาคะอุจิ (Ashikaga Takauji) เพื่ออุทิศแด่ พระจักรพรรดิ์โงะ ไดโงะ (Go-Daigo) ผู้ซึ่งเคยเป็นเพื่อนแต่ภายหลังกลับเป็นศัตรูกัน โดยมีการสร้างภายหลังพระองค์เสียชีวิตได้ ๑ ปี จะว่าเป็นวัดหลวงก็ได้ วัดนี้ยังมีความสำคัญต่อศาสนาพุทธนิกายเซน และยังพบว่ามีการเชื่อมความสัมพันธ์กับราชวงศ์หมิง ของจีนด้วย มีอาณาเขตที่กว้างขวางมาก แต่ทว่าในยุคต่อๆ มาหลายส่วนของวัดกลับถูกไฟแห่งสงครามเผาผลาญทำลายตลอด จนกระทั่งได้รับการบูรณะอีกครั้งในยุคเมจิ
แค่เดินก้าวเข้ามาก็รู้สึกถึงความสวยงามของใบไม้สีแดงสดในหลายจุด ให้ได้เดินถ่ายรูปสวยๆ กันเพลินตา จนมาถึงจุดจำหน่ายตั๋ว เราต้องเสียค่าเข้า ๕๐๐ เยน เพื่อดูภายในอาคารหลัก แต่หากจะเยี่ยมชมในอาคารด้านขวามือที่เรียกว่า ฮัตโตะ (Hatto) หรือ หอแสดงธรรม ซึ่งมีภาพวาดมังกรขนาดใหญ่ในเมฆหมอกบนเพดาน แต่ต้องเสียตังค์เพิ่มด้วยจ้า แน่นอนว่า ผมไม่เข้า ฮ่าๆๆ พอจ่ายค่าตั๋วเสร็จเราก็เข้าสู่อาคารทรงสวยๆ ขนาดใหญ่ ดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของวัด อันนี้ชื่อ คุริ (Kuri) สร้างขึ้นในปี ๒๔๔๒ และเพิ่งบูรณะเมื่อปี ๕๖ นี่เอง ห้องนี้ใช้เป็นครัว และสำนักบริหารของวัด ไม่ต้องงง ผมก็งง ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ ภายในเราจะพบกับภาพวาดพระโพธิสัตว์ธรรมา ภาพหน้ามนุษย์ในชุดคลุมหัวสีส้มแป๊ด ที่ดูแปลกๆ ตานั่นล่ะ
ถัดมาก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า โฮโจะ (Hojo) ห้องของเจ้าอาวาส ประดิษฐานแท่นบูชารูปภาพพระพุทธเจ้า เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย สิ่งที่ผมเห็นคือห้องโถงโล่งๆ มีแต่เสื่อวางอยู่ อ่อ ผมเห็นตรงฝาผนังมีรูปวาดมังกรอยู่ด้วย ด้านหน้าอาคารนี้จะมีสวนหินขนาดใหญ่ นี่ก็ถือเป็นไฮไลต์ของวัดครับ มีชื่อว่า “โซเง็นจิ เตย์เอ็น” (Sogenchi Teien) ที่คงความงามมากว่า ๗๐๐ ปีโดยฝีมือของพระครู มุโซะ โซเซะคิ (Muso Soseki) เป็นสวนที่มีหินเรียงรายริมบ่อน้ำพร้อมฉากหลังเป็นภูเขา ยิ่งช่วงนี้ใบไม้เปลี่ยนสีนี่ ก็สวยดี แม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจเถอะ
สำรวจรอบๆ บริเวณเห็นทางเดินมีหลังคาสวยๆ เดินไปอีกอาคารหนึ่ง ก็เดินตามเขาไป ตรงนี้่คือ ทาโฮะเด็ง (Tahoden) ภายในมีห้องบูชาพระรูปจักรพรรดิ์ โงะ-ไดโงะ ซึ่งจะมีจิตรกรรมฝาผนังรูปเสือ กิเลน พร้อมโต๊ะเรียนเรียงรายตั้งไว้ในห้อง ตามประวัติเขาว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่ซึ่งจักรพรรดิ์ ทรงศึกษาเมื่อครั้งยังพระเยาว์ ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์คาเมะยะมะ (Kameyama) ผู้เป็นพระอัยกา
ผมเดินมาจนสุดทางแล้ว ก็พลันมองนาฬิกา ตายละหว่า จะ ๑๐ โมงครึ่งแล้ว รีบเดินกลับไปเอารองเท้าที่เขาให้ถอดไว้ก่อนเข้าที่ด้านหน้า แล้วเดินถือข้ามห้องโถงลงมาในสวนหิน พลางรีบจ้ำๆ ไปไหน? นั่นสิ .. ผมพลางเปิดแผนที่ในมือ เห็นว่าด้านหลังวัดมีทางออกไปสู่สถานีรถไฟได้ เพื่อความชัวร์จึงถามเจ้าหน้าที่วัด ว่ามันมีทางออกจริงไหม เขาบอกว่า มี .. แต่เดินไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ... ห๊ะ!! บ้าไปแล้ว ผมไม่เชื่อหรอก แต่ใจก็กังวล เขาว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยโกหก แต่ก็เดินแบบไม่เร็วมากนัก ไปตามทางเรื่อยๆ เพราะตรงนี้สวยมากเพราะเป็นซุ้มต้นไม้มีใบไม้สีส้มแดงเป็นระยะ มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อยู่ด้วย และแล้วก็ถึงทางออกจนได้ ...
ใช้เวลาไปไม่ถึง ๑๐ นาที!! ... สงสัยเราจะเดินเร็วไปหน่อย
ทางออกประตูวัดทิศเหนือนี้จะบรรจบกับเส้นทางสวยงามอีกแห่งที่คนไทยเรียกกันว่า “ป่าไผ่” (Chikurin no Komichi) เป็นทางเดินที่มีต้นไผ่สีเขียวสูงหลายเมตรเรียงรายอยู่ ๒ ข้างทางอย่างสวยงาม ยาวประมาณ ๑๐๐ - ๒๐๐ เมตร ได้กระมัง ตรงริมทางมีการนำเศษไม้ไผ่มามัดรวมเป็นรั้วกั้นระหว่างป่ากับตัวถนนที่ดูเรียบเนียนด้วย แบบว่า น่าขี่จักรยานมาก จริงๆ ที่นี่เขาก็มีจักรยานให้เช่านะ แต่เวลาผมคงอยู่ไม่นานเลยไม่ได้ทดลองขับเสียหน่อย ซึ่งทางเดินนี้จะพาเราไปยังจุดหมายต่อไปของเรา กับ “สถานีรถไฟโทรกโกะ อาระชิยะมะ”
สังเกตุเห็นแถวนี้จะมีหนุ่มๆ คนเข็นรถลากมาจอดรอนักท่องเที่ยวให้พานั่งชมเมืองกันด้วย คาดว่าสาวๆ ไทยคงจะอยากขึ้นกันแน่ๆ แต่ละคนนี่หุ่นและหน้าตาใช้ได้เลย แต่ราคานี่ไม่ทราบครับ ไม่ได้ขึ้น .. ที่สถานีรถไฟนี้ดูเหมือนชานชาลาชนบท มีเพียงที่นั่งรอ ร้านของชำ ร้านอาหารเล็กๆ และจุดเก็บตั๋ว อ่อ ห้องน้ำเป็นแบบคลาสสิคแต่ก็สะอาดดีครับ ตัวของอาคารอยู่บนเขา มองลงมาก็จะเห็นทางรถไฟ และมีจังหวะให้ได้ถ่ายภาพมุมสูงรถไฟวิ่งกลับไปยังต้นสายได้บ้าง
ไม่นานนักก็ได้เวลาที่ผมจะต้องขึ้นรถแล้ว จึงลงมารอที่ด้านล่าง มีเรื่องเซอร์ไพรส์ครับ!! บังเอิญมากๆ ที่ได้เจอคุณป้า ๒ คนซึ่งนั่งรถไฟขบวนเดียวกันจากสถานีเกียวโตอีกครั้งที่นี่ คือในรถไฟขบวนนั้น แกนั่งหันหน้าเข้าหาผม พอเจอกันอีกครั้งแกเลยจำผมได้ ก็ดูตกใจแล้วก็ยิ้มหัวเราะกัน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ... แกยังได้นั่งที่นั่งตรงข้ามผมเหมือนกับตอนที่มาจากเกียวโตบนรถไฟขบวนนี้อีกด้วย!! ฮ่าๆๆ
พูดถึงรถไฟสายโรแมนติกซากะโนะ นี่ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวบ้านเราเหมือนกัน (แต่วันที่ไปนี่ไม่ค่อยเจอคนชาติเดียวกันเท่าไหร่) ตามประวัติว่า แต่ก่อนเส้นทางนี้เป็นสายรถไฟหลักที่เชื่อมระหว่างตัวเมืองเกียวโตกับหัวเมืองเหนือ เปิดใช้บริการเมื่อปี ๒๔๔๒ แต่ด้วยเส้นทางนี้มันช่างอ้อมเสียเหลือเกิน เขาก็เลยสร้างรถไฟสายใหม่ที่ยิงตรงลูกเดียวมาแทนที่ในอีก ๙๐ ปีต่อมา แล้วก็ใช้สายรถไฟนี้เพื่อการท่องเที่ยวแทน โดยเริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี ๓๔ นี้เอง จอดทั้งหมด ๔ สถานี ปลายทางอยู่ที่สถานีโทรกโกะ คาเมะโอะกะ (Torokko Kameoka)
ตัวรถไฟหัวรถจักรเป็นแบบสมัยเก่าเหมือนบ้านเราที่ยังใช้อยู่ ส่วนตัวห้องโดยสารมี ๕ โบกี้ เปิดโล่งด้านริมหน้าต่าง ส่วนหลังคาเป็นแบบกระจกใส โดยรถไฟจะลัดเลาะริมเขาไปเรื่อยๆ ตามริมธารแม่น้ำโฮซุ ที่เวลานี้ใบไม้เปลี่ยนสีบนเขาต่างพรึ่บพั่บ ดูแล้วก็เออ น่าโรแมนติคตามชื่ออยู่บ้าง มันก็ดูสวยดีครับ ระหว่างทางก็จะได้เห็นพวกที่ล่องเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำด้วย คือเขาจะมีบริการให้นักท่องเที่ยวลงเรือแบบโบราณล่องไปตามน้ำ แล้วก็มีกิจกรรมเช่นแวะกินข้าว ดูธรรมชาติ หรืออะไรเนี่ยล่ะ ไอ้ตัวผมก็ไม่ได้ขึ้น เพราะเวลามีไม่มากพอ ก็เลยได้แค่นั่งรถไฟกินบรรยากาศ
พลางคิดไปว่า ถ้าคนน้อยกว่านี้ เราคงได้ถ่ายรูปสวยๆ อีกหลายๆ ใบ ฮ่าๆๆ
ใช้เวลาราว ๒๕ นาที ก็ไปถึงปลายทาง มวลชนต่างแห่แหนลงมาจากรถ ส่วนบางคนที่เริ่มต้นสายสถานีนี้ก็ก้าวเดินขึ้นไปในภายหลัง ผมลงมายืนดูพลางเดินเล่นอย่างใจเย็นจนรถไฟออกจากชานชาลา จึงได้เห็นว่า ฝั่งตรงข้ามมันมีรูปปั้นครอบครัวตัวทานูกิใส่หมวกประดับไว้ด้วย ส่วนภายในสถานีนั้นเป็นอาคารไม้ มีห้องขายตั๋ว มีรูปภาพชายชราแต่งกายชุดราชการแขวนอยู่ แต่เขียนชื่อพร้อมประวัติเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยไม่รู้ว่าใคร มีโซนขายของเล่น ของที่ระลึกพวกรถไฟจำลองด้วยนะ พอเดินออกมาด้านนอกก็จะเจอกับทุ่งนากว้างๆ บรรยากาศชนบทดี มีทางแนะนำสำหรับคนที่จะไปขึ้นเรือล่องแม่น้ำ ส่วนผมก็ต้องเดินออกจากสถานีนี้เลาะตามทางรถไฟไปยังสถานีรถไฟเจอาร์อุมะโฮะริ (Umahori) เพื่อขึ้นรถไฟกลับสู่ซากะ อาระชิยะมะ
รถไฟไปเกียวโตนี่ใช่ว่าจะแป๊บเดียวมาทีนะ เท่าที่ยืนรอก็เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาสักคันได้ แต่ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง จึงรีบลงแล้วบึ่งไปขึ้นรถไฟอีกสายหนึ่งครับ โอ้... อะไรจะวุ่นวายขนาดนี้ ระหว่างทางก็เริ่มรู้สึกหิว เลยเดินหาอะไรกินลองท้องเล่นๆ เจอร้านขายมันฝรั่งบดคลุกเนื้อสัตว์บดและเกล็ดขนมปังแล้วทอด หรือว่า ครอกเก้ต์ แห่งหนึ่ง คนต่อคิวเยอะมากๆ ที่สำคัญ ราคาไม่แพงชิ้นละ ๙๐ - ๑๒๐ เยน ก็เลยลองถามสาววัยกระเตาะแถวนั้นดู เขาก็แนะนำบอกต้องกินเลยนะนี่อร่อยมาก ของขึ้นชื่อของที่นี่ ... โอเค ต่อคิวก็ได้ รอไปประมาณ ๑๕ นาที มีไส้เนื้อบด ไก่ ผัก และอื่นๆ ... ผมก็เลยสั่งมาตั้งชิ้นนึง (โถ...) ไส้เนื้อบด กัดคำแรก โอ้โห ... ร้อนครับ ก็แหงล่ะมันเพิ่งทอดใหม่ๆ ผมก็ค่อยๆ เป่าให้คลายเย็นแล้วชิมอีกหน อืม.. กรอบ นุ่ม เนื้อกับมันนี่ผสมสัดส่วนพอๆ กันดีแหะ อร่อยครับ
แล้วผมก็เดินกินไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย สถานีรถไฟ เคย์ฟุกุ อาระชิยะมะ โอ๊ะ ... ผมลืมเล่าไป จริงๆ เมื่อตอนเดินไปดูสะพานนี่ผมก็ผ่านมาทางสถานีนี้รอบนึงแล้ว และก็ซื้อของหวานที่ร้าน “อะริงโคะ” (arinco) ซึ่งผมได้คัดลอกเอาไว้ในบันทึกว่า ร้านนี้มีเค้กโรลอร่อย แต่พอเห็นราคาผมถึงกลับต้องเปลี่ยนใจ ได้เพียงแค่ซื้อไอ้นี่มาแทนครับ อะริงโคะ แซนด์ ที่ดูรูปร่างแล้วคล้ายๆ กับไอติมรถเข็นตักลงบนขนมปังยังไงไม่รู้ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันคือไอติม แต่ จริงๆ คือไส้ครีมแยมโรลโปะบนขนมปัง โรยด้วยผงชาเขียว และถั่วแดง ๒ เม็ด ในราคา ๒๕๐ เยน ... นิดเดียวเนี่ยล่ะ กัดไปคำแรกนึกว่าจะหวานมาก แต่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คล้ายๆ มูสกลิ่นวนิลา หวานกำลังกิน อร่อยเลยล่ะ แต่ราคานี่ ... คงได้ครั้งเดียว ฮ่าๆๆๆ
กลับมาอีกครั้งเวลานี้ คนเต็มแน่นสถานีไปหมด หลายคนรอเวลารถไฟออก บ้างก็เดินซื้ออาหารรับประทาน เพราะที่นี่มีหลายร้านมากมายให้เลือกลอง
ส่วนผมก็ไปที่ตู้ขายตั๋ว หยอดตังค์กดค่าโดยสารในราคาเที่ยวละ ๒๑๐ เยน ไปสู่จุดหมายแห่งใหม่ ในอีกไม่กี่นาทีนี้ ...
อ่านต่อฉบับหน้า...
ข้อมูลบางส่วน : http://www.sagano-kanko.co.jp/brochure/thailand.pdf , http://www.japan-guide.com/e/e3965.html ,http://www.tenryuji.com/en ,http://pantip.com/topic/31052616 ,วิกิพีเดีย
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
เช้านี้ผมอยู่ที่กรุงเกียวโตครับ... รถ บขส.เจอาร์ พรีเมียม ดรีม พาผมข้ามภูมิภาคจากคันโตะ มาคันไซ ในค่ำคืนอย่างช้าๆ ประมาณ ๘ ชั่วโมงได้ ผมนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น บนรถที่ไม่ได้มีอะไรให้กินเหมือนรถทัวร์บ้านเรา อากาศบนนั้นก็ไม่หนาวมาก นอนกำลังสบาย ได้ชาร์ตแบตกล้องเต็มที่ ในใบโดยสารเขาบอกว่าจะแวะจุดพักรถ ๓ แห่ง แต่ผมคงเพลียจัด หลับไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้รู้ว่าจุดพักรถเขาหน้าตาเป็นยังไง รู้สึกตัวอีกทีก็เข้าเขตอยุธยา เอ๊ย ไม่ใช่ เข้าเขตเมืองหลวงเก่าแล้ว
พอลงจากรถผมต้องนำตั๋วคืนเขาด้วยนะ? ไม่รู้ทำไม ไม่ได้ถามเหมือนกัน ก็เดินเข้าไปภายในสถานีรถไฟเกียวโต ซึ่งดูใหญ่โตไม่แพ้หัวลำโพงบ้านเรา ฝั่งตรงข้ามสถานีจะเห็น “หอคอยเกียวโต” จุดแลนด์มาร์กของเมือง อยู่บนโรงแรมเกียวโตทาวเวอร์ ส่วนภารกิจผมตอนนี้ต้องไปเข้าห้องน้ำก่อนครับ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อและชั้นในแทนการชำระล้างร่างกาย ใครจะว่าผมซกมกก็ยอมล่ะวะ ก็มันไม่รู้นิว่าอาบน้ำได้ตรงไหน ... จากนั้นก็นำกระเป๋าไปฝากไว้ในล๊อกเกอร์ ที่นี่มีตู้เก็บของเยอะมากๆ ครับ หลายขนาดสามารถเลือกให้เหมาะกับกระเป๋าได้ แต่...ต้องเสียค่าเช่าด้วยนะ ตู้ของผมบรรจุกระเป๋าแบ๊คแพคขนาดกลางพร้อมกระเป๋ากล้องแบบถือ นี่เสียไป ๓๐๐ เยน (ถ้าจำไม่ผิด) สำหรับ ๑ วัน
เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันครับ ...
ภารกิจแรกที่เราจะไปกันวันนี้คือนั่ง “รถไฟสายโรแมนติกซากะโนะ” (Sagano Romantic Train or Sagano Torokko) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัด ในย่านอาระชิยะมะ (Arashiyama) ครับ ก่อนอื่นต้องซื้อตั๋วรถไฟสายเจอาร์ ซากะโนะ จากที่นี่ไปยังสถานีซากะ อาระชิยะมะ (Saga Arashiyama) ในราคา ๒๔๐ เยน แล้วก็เข้าไปเดินหาชานชาลาที่ ๓๓ คนรอรถไฟค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่พอขึ้นรถแล้วนั่งไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย เราต้องเดินออกจากสถานีเพื่อไปยังอาคารสีอิฐส้มใกล้ๆ นั่นคือ สถานีรถไฟโทรกโกะ ซากะ ต้นสายของรถไฟที่ผมจะไปขึ้นเนี่ยล่ะ ภายในเป็นที่จำหน่ายตั๋ว แต่เมื่อมาถึงผมนี่อึ้งเลยครับ คนรอซื้อตั๋วทะลักออกมาถึงด้านหน้าทางเข้า นี่ขนาดผมรีบมาถึงแค่ ๘ โมงกว่าๆ เองนะ... แต่ก็แหงล่ะครับ วันนี้วันอาทิตย์นิ
ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงผมก็สามารถคว้าตั๋ว ๑ ใบมาได้ แต่ไม่ได้ไปตอนนี้ครับ เพราะว่าเที่ยวล่าสุด ๐๙.๐๗ น.เต็มเสียแล้ว รถไฟจะวิ่งวันละ ๘ รอบ รอบเช้าสุดคือรอบที่ผมจะขึ้นเนี่ยล่ะ ส่วนรอบสุดท้ายคือ ๑๖.๐๗ น. ผมก็ถามว่า มีรอบไหนที่ยังพอมีที่เหลือบ้าง เขาก็เสนอรอบ ๑๑.๐๗ น.ให้ ยังว่างอีกเพียบ!! ผมก็เลยลองคำนวนแผนการณ์เดินดูแล้วจึงตกลงยินยอม จ่ายไป ๖๒๐ เยน ค่าตั๋ว แต่ขอเขาไปขึ้นในสถานีถัดไปที่ชื่อ โทรกโกะอาระชิยะมะ แทน เขาก็เขียนใบเวลาให้ว่า คุณต้องไปถึงก่อนเวลา ๑๑.๑๐ น.นะ ... ก็โอเค ว่าแต่ จะไปไหนต่อดีล่ะ...
ตามแผนการเดิมผมกะว่าจะนั่งรถไฟสายนี้แล้ววนกลับมาเที่ยวในเมือง แต่เมื่อได้ตั๋วมาเช่นนี้จึงต้องเปลี่ยนกลับโปรแกรม ไปเดินเที่ยวในย่านอาระชิยะมะแทน โดยจุดแรกที่ไปคือ “สะพานโทเง็ตสึเคียว” (Togetsukyo) อยู่ทางตอนใต้ของสถานีรถไฟครับ เขาว่านี่คือ สะพานข้ามพระจันทร์ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งอาระชิยะมะ เรียกได้ว่า ถ้าไม่มานี่เหมือนมาไม่ถึง เอาวะ ไหนๆ ก็มาแล้วต้องลองไปดู เดินไปไม่ไกลมาก ผมตามๆ กลุ่มเด็กนักเรียนสาว ม.ปลาย มาสักพักก็เจอครับ (เกี่ยวมั้ยนั่น?) ภาพที่เห็นคือสะพานปูนยาวๆ พาดขวางแม่น้ำที่น้ำไหลเอื่อยๆ ด้านซ้ายมือเป็นทางน้ำไหล แต่ด้านขวามือเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้สลับสีเขียว แดง ส้ม เหลือง เต็มพื้นที่ แม้ว่าช่วงที่มาจะเริ่มโรยราไปบ้างแล้ว แต่สิ่งที่เหลืออยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังสักนิด
ตามประวัติว่าสะพานนี้แต่เดิมสร้างขึ้นในยุคเฮย์อัน ช่วง พ.ศ.๑๓๓๗ - ๑๗๒๘ ส่วนที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้สร้างเสร็จในพ.ศ.๒๔๗๗ ตัวสะพานนี้แบ่งแม่น้ำออกเป็น ๒ สาย นั่นคือแม่น้ำ โฮซุ (Hozu) ทางทิศตะวันตก และ แม่น้ำคัตสึระ (Katsura) ในทิศตะวันออก สุดปลายทางของสะพานนั่นก็มีทางขึ้นเขาให้เข้าไปชมสวนลิงอิวะทะยะมะได้ แต่ผมไม่ได้ไปหรอก เดินเล่นอยู่ริมตลิ่งถ่ายรูปชิลล์ๆ ตรงนี้มีทางลาดให้ลงไปยืมริมขอบแม่น้ำได้สบาย เสร็จสมอารมณ์หมายก็เดินทางกลับมาอีกฝั่งที่ติดภูเขา จะเห็นเหมือนฝายกั้นน้ำขนาดใหญ่ คาดว่าจะกักไว้ให้ชาวบ้านทำกสิกรรม จะเห็นได้ว่า ริมตลิ่งฝั่งนั้นจะมีบ้านเรือนและเรืออยู่หลายลำให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมกันด้วย
จากวิวสวยๆ เราเดินย้อนกลับมาทางเก่า ไม่ไกลนักก็จะเจอวัดเก่าแก่ที่ชื่อ “เท็งริว” (Tenryu ji) เวลานี้คนคึกคักมากเลยครับ วัดนี้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี ๒๕๓๗ ด้วย สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๘๘๒ โดยบัญชาของโชกุน อาชิกะงะ ทาคะอุจิ (Ashikaga Takauji) เพื่ออุทิศแด่ พระจักรพรรดิ์โงะ ไดโงะ (Go-Daigo) ผู้ซึ่งเคยเป็นเพื่อนแต่ภายหลังกลับเป็นศัตรูกัน โดยมีการสร้างภายหลังพระองค์เสียชีวิตได้ ๑ ปี จะว่าเป็นวัดหลวงก็ได้ วัดนี้ยังมีความสำคัญต่อศาสนาพุทธนิกายเซน และยังพบว่ามีการเชื่อมความสัมพันธ์กับราชวงศ์หมิง ของจีนด้วย มีอาณาเขตที่กว้างขวางมาก แต่ทว่าในยุคต่อๆ มาหลายส่วนของวัดกลับถูกไฟแห่งสงครามเผาผลาญทำลายตลอด จนกระทั่งได้รับการบูรณะอีกครั้งในยุคเมจิ
แค่เดินก้าวเข้ามาก็รู้สึกถึงความสวยงามของใบไม้สีแดงสดในหลายจุด ให้ได้เดินถ่ายรูปสวยๆ กันเพลินตา จนมาถึงจุดจำหน่ายตั๋ว เราต้องเสียค่าเข้า ๕๐๐ เยน เพื่อดูภายในอาคารหลัก แต่หากจะเยี่ยมชมในอาคารด้านขวามือที่เรียกว่า ฮัตโตะ (Hatto) หรือ หอแสดงธรรม ซึ่งมีภาพวาดมังกรขนาดใหญ่ในเมฆหมอกบนเพดาน แต่ต้องเสียตังค์เพิ่มด้วยจ้า แน่นอนว่า ผมไม่เข้า ฮ่าๆๆ พอจ่ายค่าตั๋วเสร็จเราก็เข้าสู่อาคารทรงสวยๆ ขนาดใหญ่ ดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของวัด อันนี้ชื่อ คุริ (Kuri) สร้างขึ้นในปี ๒๔๔๒ และเพิ่งบูรณะเมื่อปี ๕๖ นี่เอง ห้องนี้ใช้เป็นครัว และสำนักบริหารของวัด ไม่ต้องงง ผมก็งง ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ ภายในเราจะพบกับภาพวาดพระโพธิสัตว์ธรรมา ภาพหน้ามนุษย์ในชุดคลุมหัวสีส้มแป๊ด ที่ดูแปลกๆ ตานั่นล่ะ
ถัดมาก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า โฮโจะ (Hojo) ห้องของเจ้าอาวาส ประดิษฐานแท่นบูชารูปภาพพระพุทธเจ้า เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย สิ่งที่ผมเห็นคือห้องโถงโล่งๆ มีแต่เสื่อวางอยู่ อ่อ ผมเห็นตรงฝาผนังมีรูปวาดมังกรอยู่ด้วย ด้านหน้าอาคารนี้จะมีสวนหินขนาดใหญ่ นี่ก็ถือเป็นไฮไลต์ของวัดครับ มีชื่อว่า “โซเง็นจิ เตย์เอ็น” (Sogenchi Teien) ที่คงความงามมากว่า ๗๐๐ ปีโดยฝีมือของพระครู มุโซะ โซเซะคิ (Muso Soseki) เป็นสวนที่มีหินเรียงรายริมบ่อน้ำพร้อมฉากหลังเป็นภูเขา ยิ่งช่วงนี้ใบไม้เปลี่ยนสีนี่ ก็สวยดี แม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจเถอะ
สำรวจรอบๆ บริเวณเห็นทางเดินมีหลังคาสวยๆ เดินไปอีกอาคารหนึ่ง ก็เดินตามเขาไป ตรงนี้่คือ ทาโฮะเด็ง (Tahoden) ภายในมีห้องบูชาพระรูปจักรพรรดิ์ โงะ-ไดโงะ ซึ่งจะมีจิตรกรรมฝาผนังรูปเสือ กิเลน พร้อมโต๊ะเรียนเรียงรายตั้งไว้ในห้อง ตามประวัติเขาว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่ซึ่งจักรพรรดิ์ ทรงศึกษาเมื่อครั้งยังพระเยาว์ ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์คาเมะยะมะ (Kameyama) ผู้เป็นพระอัยกา
ผมเดินมาจนสุดทางแล้ว ก็พลันมองนาฬิกา ตายละหว่า จะ ๑๐ โมงครึ่งแล้ว รีบเดินกลับไปเอารองเท้าที่เขาให้ถอดไว้ก่อนเข้าที่ด้านหน้า แล้วเดินถือข้ามห้องโถงลงมาในสวนหิน พลางรีบจ้ำๆ ไปไหน? นั่นสิ .. ผมพลางเปิดแผนที่ในมือ เห็นว่าด้านหลังวัดมีทางออกไปสู่สถานีรถไฟได้ เพื่อความชัวร์จึงถามเจ้าหน้าที่วัด ว่ามันมีทางออกจริงไหม เขาบอกว่า มี .. แต่เดินไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ... ห๊ะ!! บ้าไปแล้ว ผมไม่เชื่อหรอก แต่ใจก็กังวล เขาว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยโกหก แต่ก็เดินแบบไม่เร็วมากนัก ไปตามทางเรื่อยๆ เพราะตรงนี้สวยมากเพราะเป็นซุ้มต้นไม้มีใบไม้สีส้มแดงเป็นระยะ มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อยู่ด้วย และแล้วก็ถึงทางออกจนได้ ...
ใช้เวลาไปไม่ถึง ๑๐ นาที!! ... สงสัยเราจะเดินเร็วไปหน่อย
ทางออกประตูวัดทิศเหนือนี้จะบรรจบกับเส้นทางสวยงามอีกแห่งที่คนไทยเรียกกันว่า “ป่าไผ่” (Chikurin no Komichi) เป็นทางเดินที่มีต้นไผ่สีเขียวสูงหลายเมตรเรียงรายอยู่ ๒ ข้างทางอย่างสวยงาม ยาวประมาณ ๑๐๐ - ๒๐๐ เมตร ได้กระมัง ตรงริมทางมีการนำเศษไม้ไผ่มามัดรวมเป็นรั้วกั้นระหว่างป่ากับตัวถนนที่ดูเรียบเนียนด้วย แบบว่า น่าขี่จักรยานมาก จริงๆ ที่นี่เขาก็มีจักรยานให้เช่านะ แต่เวลาผมคงอยู่ไม่นานเลยไม่ได้ทดลองขับเสียหน่อย ซึ่งทางเดินนี้จะพาเราไปยังจุดหมายต่อไปของเรา กับ “สถานีรถไฟโทรกโกะ อาระชิยะมะ”
สังเกตุเห็นแถวนี้จะมีหนุ่มๆ คนเข็นรถลากมาจอดรอนักท่องเที่ยวให้พานั่งชมเมืองกันด้วย คาดว่าสาวๆ ไทยคงจะอยากขึ้นกันแน่ๆ แต่ละคนนี่หุ่นและหน้าตาใช้ได้เลย แต่ราคานี่ไม่ทราบครับ ไม่ได้ขึ้น .. ที่สถานีรถไฟนี้ดูเหมือนชานชาลาชนบท มีเพียงที่นั่งรอ ร้านของชำ ร้านอาหารเล็กๆ และจุดเก็บตั๋ว อ่อ ห้องน้ำเป็นแบบคลาสสิคแต่ก็สะอาดดีครับ ตัวของอาคารอยู่บนเขา มองลงมาก็จะเห็นทางรถไฟ และมีจังหวะให้ได้ถ่ายภาพมุมสูงรถไฟวิ่งกลับไปยังต้นสายได้บ้าง
ไม่นานนักก็ได้เวลาที่ผมจะต้องขึ้นรถแล้ว จึงลงมารอที่ด้านล่าง มีเรื่องเซอร์ไพรส์ครับ!! บังเอิญมากๆ ที่ได้เจอคุณป้า ๒ คนซึ่งนั่งรถไฟขบวนเดียวกันจากสถานีเกียวโตอีกครั้งที่นี่ คือในรถไฟขบวนนั้น แกนั่งหันหน้าเข้าหาผม พอเจอกันอีกครั้งแกเลยจำผมได้ ก็ดูตกใจแล้วก็ยิ้มหัวเราะกัน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ... แกยังได้นั่งที่นั่งตรงข้ามผมเหมือนกับตอนที่มาจากเกียวโตบนรถไฟขบวนนี้อีกด้วย!! ฮ่าๆๆ
พูดถึงรถไฟสายโรแมนติกซากะโนะ นี่ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวบ้านเราเหมือนกัน (แต่วันที่ไปนี่ไม่ค่อยเจอคนชาติเดียวกันเท่าไหร่) ตามประวัติว่า แต่ก่อนเส้นทางนี้เป็นสายรถไฟหลักที่เชื่อมระหว่างตัวเมืองเกียวโตกับหัวเมืองเหนือ เปิดใช้บริการเมื่อปี ๒๔๔๒ แต่ด้วยเส้นทางนี้มันช่างอ้อมเสียเหลือเกิน เขาก็เลยสร้างรถไฟสายใหม่ที่ยิงตรงลูกเดียวมาแทนที่ในอีก ๙๐ ปีต่อมา แล้วก็ใช้สายรถไฟนี้เพื่อการท่องเที่ยวแทน โดยเริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี ๓๔ นี้เอง จอดทั้งหมด ๔ สถานี ปลายทางอยู่ที่สถานีโทรกโกะ คาเมะโอะกะ (Torokko Kameoka)
ตัวรถไฟหัวรถจักรเป็นแบบสมัยเก่าเหมือนบ้านเราที่ยังใช้อยู่ ส่วนตัวห้องโดยสารมี ๕ โบกี้ เปิดโล่งด้านริมหน้าต่าง ส่วนหลังคาเป็นแบบกระจกใส โดยรถไฟจะลัดเลาะริมเขาไปเรื่อยๆ ตามริมธารแม่น้ำโฮซุ ที่เวลานี้ใบไม้เปลี่ยนสีบนเขาต่างพรึ่บพั่บ ดูแล้วก็เออ น่าโรแมนติคตามชื่ออยู่บ้าง มันก็ดูสวยดีครับ ระหว่างทางก็จะได้เห็นพวกที่ล่องเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำด้วย คือเขาจะมีบริการให้นักท่องเที่ยวลงเรือแบบโบราณล่องไปตามน้ำ แล้วก็มีกิจกรรมเช่นแวะกินข้าว ดูธรรมชาติ หรืออะไรเนี่ยล่ะ ไอ้ตัวผมก็ไม่ได้ขึ้น เพราะเวลามีไม่มากพอ ก็เลยได้แค่นั่งรถไฟกินบรรยากาศ
พลางคิดไปว่า ถ้าคนน้อยกว่านี้ เราคงได้ถ่ายรูปสวยๆ อีกหลายๆ ใบ ฮ่าๆๆ
ใช้เวลาราว ๒๕ นาที ก็ไปถึงปลายทาง มวลชนต่างแห่แหนลงมาจากรถ ส่วนบางคนที่เริ่มต้นสายสถานีนี้ก็ก้าวเดินขึ้นไปในภายหลัง ผมลงมายืนดูพลางเดินเล่นอย่างใจเย็นจนรถไฟออกจากชานชาลา จึงได้เห็นว่า ฝั่งตรงข้ามมันมีรูปปั้นครอบครัวตัวทานูกิใส่หมวกประดับไว้ด้วย ส่วนภายในสถานีนั้นเป็นอาคารไม้ มีห้องขายตั๋ว มีรูปภาพชายชราแต่งกายชุดราชการแขวนอยู่ แต่เขียนชื่อพร้อมประวัติเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยไม่รู้ว่าใคร มีโซนขายของเล่น ของที่ระลึกพวกรถไฟจำลองด้วยนะ พอเดินออกมาด้านนอกก็จะเจอกับทุ่งนากว้างๆ บรรยากาศชนบทดี มีทางแนะนำสำหรับคนที่จะไปขึ้นเรือล่องแม่น้ำ ส่วนผมก็ต้องเดินออกจากสถานีนี้เลาะตามทางรถไฟไปยังสถานีรถไฟเจอาร์อุมะโฮะริ (Umahori) เพื่อขึ้นรถไฟกลับสู่ซากะ อาระชิยะมะ
รถไฟไปเกียวโตนี่ใช่ว่าจะแป๊บเดียวมาทีนะ เท่าที่ยืนรอก็เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาสักคันได้ แต่ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง จึงรีบลงแล้วบึ่งไปขึ้นรถไฟอีกสายหนึ่งครับ โอ้... อะไรจะวุ่นวายขนาดนี้ ระหว่างทางก็เริ่มรู้สึกหิว เลยเดินหาอะไรกินลองท้องเล่นๆ เจอร้านขายมันฝรั่งบดคลุกเนื้อสัตว์บดและเกล็ดขนมปังแล้วทอด หรือว่า ครอกเก้ต์ แห่งหนึ่ง คนต่อคิวเยอะมากๆ ที่สำคัญ ราคาไม่แพงชิ้นละ ๙๐ - ๑๒๐ เยน ก็เลยลองถามสาววัยกระเตาะแถวนั้นดู เขาก็แนะนำบอกต้องกินเลยนะนี่อร่อยมาก ของขึ้นชื่อของที่นี่ ... โอเค ต่อคิวก็ได้ รอไปประมาณ ๑๕ นาที มีไส้เนื้อบด ไก่ ผัก และอื่นๆ ... ผมก็เลยสั่งมาตั้งชิ้นนึง (โถ...) ไส้เนื้อบด กัดคำแรก โอ้โห ... ร้อนครับ ก็แหงล่ะมันเพิ่งทอดใหม่ๆ ผมก็ค่อยๆ เป่าให้คลายเย็นแล้วชิมอีกหน อืม.. กรอบ นุ่ม เนื้อกับมันนี่ผสมสัดส่วนพอๆ กันดีแหะ อร่อยครับ
แล้วผมก็เดินกินไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย สถานีรถไฟ เคย์ฟุกุ อาระชิยะมะ โอ๊ะ ... ผมลืมเล่าไป จริงๆ เมื่อตอนเดินไปดูสะพานนี่ผมก็ผ่านมาทางสถานีนี้รอบนึงแล้ว และก็ซื้อของหวานที่ร้าน “อะริงโคะ” (arinco) ซึ่งผมได้คัดลอกเอาไว้ในบันทึกว่า ร้านนี้มีเค้กโรลอร่อย แต่พอเห็นราคาผมถึงกลับต้องเปลี่ยนใจ ได้เพียงแค่ซื้อไอ้นี่มาแทนครับ อะริงโคะ แซนด์ ที่ดูรูปร่างแล้วคล้ายๆ กับไอติมรถเข็นตักลงบนขนมปังยังไงไม่รู้ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันคือไอติม แต่ จริงๆ คือไส้ครีมแยมโรลโปะบนขนมปัง โรยด้วยผงชาเขียว และถั่วแดง ๒ เม็ด ในราคา ๒๕๐ เยน ... นิดเดียวเนี่ยล่ะ กัดไปคำแรกนึกว่าจะหวานมาก แต่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คล้ายๆ มูสกลิ่นวนิลา หวานกำลังกิน อร่อยเลยล่ะ แต่ราคานี่ ... คงได้ครั้งเดียว ฮ่าๆๆๆ
กลับมาอีกครั้งเวลานี้ คนเต็มแน่นสถานีไปหมด หลายคนรอเวลารถไฟออก บ้างก็เดินซื้ออาหารรับประทาน เพราะที่นี่มีหลายร้านมากมายให้เลือกลอง
ส่วนผมก็ไปที่ตู้ขายตั๋ว หยอดตังค์กดค่าโดยสารในราคาเที่ยวละ ๒๑๐ เยน ไปสู่จุดหมายแห่งใหม่ ในอีกไม่กี่นาทีนี้ ...
อ่านต่อฉบับหน้า...
ข้อมูลบางส่วน : http://www.sagano-kanko.co.jp/brochure/thailand.pdf , http://www.japan-guide.com/e/e3965.html ,http://www.tenryuji.com/en ,http://pantip.com/topic/31052616 ,วิกิพีเดีย