xs
xsm
sm
md
lg

ไพรเวท เจ็ทแบบบังเอิญ “ดอนเมือง-อู่ตะเภา” กับ “กานต์แอร์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: กิตตินันท์ นาคทอง




(1)

ชื่อของ “กานต์แอร์” อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูมากนักสำหรับคนที่เลือกเดินทางกับสายการบินที่มีชื่อเสียง เฉกเช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ นกแอร์ แอร์เอเชีย หรือแม้กระทั่งไลอ้อนแอร์ ฯลฯ

แต่หากใครอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือก็จะรู้จักกันดี เพราะฐานการบินอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่ โดยมีเที่ยวบินยอดนิยมอย่าง เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน และ เชียงใหม่-ปาย ที่มีลูกค้าประจำเป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ยังให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ (ไพรเวท เจ็ท) สำหรับภาคธุรกิจ รวมทั้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อบริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ

และยังได้ลงทุนก่อสร้างสนามบินเกาะพงัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวเมืองตากอากาศชื่อดังอย่างเกาะพงัน เกาะเต่า และเกาะสมุยอีกด้วย

ผมรู้จักชื่อของ ร.อ.สมพงษ์ สุขสงวน มาจากประเด็นในเว็บไซต์พันทิปได้พูดถึงโครงการก่อสร้างสนามบินเกาะพงัน เห็นว่าน่าสนใจดี ก่อนที่จะติดตามในเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ

ที่น่าสนใจคือสายการบินนี้มักจะมีบริการเพื่อสังคมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อย่างบริการรับขนน้ำนมแม่ ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ฟรี ทุกเส้นทางที่สายการบินให้บริการ

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะไม่มีโอกาสได้ใช้บริการกานต์แอร์ เพราะบ้านอยู่กรุงเทพฯ แต่ในกระทู้พันทิปหรือบล็อกเกอร์แวดวงการท่องเที่ยว ก็มักจะมีรีวิวบอกเล่าประสบการณ์เที่ยวบินกานต์แอร์เส้นทางต่างๆ

รวมไปถึงกระทู้ร้องเรียน ที่ทำให้ผมรู้ถึงวิธีการแก้ปัญหาแบบชนิดที่ว่า “ซื้อใจผู้โดยสาร” อย่างที่สายการบินอื่นทำได้ยาก และบางอย่างไม่มีอยู่ในกฎการบิน แต่มาจากใจล้วนๆ

กระทั่งเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ร.อ.สมพงษ์ ประกาศเปิดเส้นทางใหม่ หนึ่งในนั้นคือ “ดอนเมือง-อู่ตะเภา” โดยชูข้อดีคือถูกกว่าเหมารถแท็กซี่ และมีรถรับส่งฟรีไปถึงเมืองพัทยา

เป็นเส้นทางการบินที่อาจเรียกได้ว่าสั้นที่สุด เพราะห่างจากกรุงเทพฯ เพียงแค่ 190 กิโลเมตร และปราบเซียนที่สุด เพราะมีบางสายการบินเปิดบินไปแล้ว ไม่นานก็เจ๊ง เนื่องจากไม่คุ้มทุน อีกทั้งยังต้องเจอคู่แข่งอย่างรถตู้เป็นสิบท่าอีก



ด้วยความที่อยากจะลองเดินทางไปพัทยาโดยเครื่องบินครั้งหนึ่งในชีวิต เผื่อจะเอาไปเขียนรีวิวเป็นเรื่องเป็นราว เพราะแต่เดิมที่นี่มีเพียงเที่ยวบินบางกอกแอร์เวย์ไปเกาะสมุย และภูเก็ต 1 เที่ยวบินเท่านั้น

เลยตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าในราคาโปรโมชั่น 490 บาท โดยเลือกวันหยุดสงกรานต์วันแรกของตัวเอง และวันที่ไม่ใช่เที่ยวบินปฐมฤกษ์ เพราะอยากได้ประสบการณ์การเป็นลูกค้าอย่างแท้จริงมากกว่า

ย้อนกลับไปสัก 2-3 ปี เคยพาเพื่อนร่วมงานนั่งรถไฟสายกรุงเทพ – บ้านพลูตาหลวง ออกเดินทางช่วงเช้าตรู่ และมีให้บริการเฉพาะวันธรรมดา แต่ตอนนั้นเกิดถอดใจไปลงแค่พัทยาเพราะอากาศร้อนจัด รู้สึกอ่อนเพลีย ใบหน้าโทรมมาก

แต่มาคราวนี้จะลองหาประสบการณ์ไปเครื่องบินบ้าง และยิ่งสนามบินอู่ตะเภาไม่เคยใช้บริการมาก่อน เพราะมีแต่เที่ยวบินไปสมุยและภูเก็ตซึ่งค่าโดยสารแพงมาก ก็ยิ่งอยากรู้ว่าสนามบินในละแวกฐานทัพเรือแห่งนี้หน้าตามันเป็นยังไง

(2)

หลังจากที่ฉลองคืนวันศุกร์แห่งชาติ ก่อนวันหยุดยาวหนักไปหน่อย

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที 8 โมงเช้ากว่าแล้ว

ปกติถ้าเที่ยวบินออกจากดอนเมือนเวลา 10.30 น. ต้องไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ก่อน 09.45 น. (เคาน์เตอร์จะปิดเช็กอิน 45 นาทีก่อนเครื่องจะออก)

ช่วงนั้นอะไรที่ยัดใส่กระเป๋าเป้ได้ก็ยัด เพราะไปเช้าเย็นกลับ ไม่ได้ค้างคืนที่ไหน แต่กลับโดยรถตู้ เพราะตอนซื้อตั๋วเครื่องบินนั้นเที่ยวบินขากลับประมาณสองทุ่ม คงรอไม่ไหว เลยซื้อเฉพาะขาไปเพียงเที่ยวเดียว

เมื่อโบกแท็กซี่ละแวกถนนพระราม 2 มาได้ ก็บอกกับโชเฟอร์ให้ช่วยทำเวลาหน่อย อะไรที่ขึ้นทางด่วนได้ก็ขึ้น ลงทางด่วนดินแดงแล้วก็ขึ้นดอนเมืองโทลล์เวย์ไปเลย

เพราะถ้าตกเครื่อง เท่ากับว่าแผนที่จะเขียนรีวิวลงบทความนั้นพังลง

กระทั่งเมื่อนั่งรถมาถึงกลางทาง ประมาณ 08.45 น. มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามา ปลายสายจึงรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกานต์แอร์

“คุณกิตตินันท์ ที่จะเดินทางไปอู่ตะเภาใช่ไหมคะ ... พอดีทางเราจะแจ้งให้ทราบว่า เที่ยวบินของเราขอเลื่อนเป็น บ่ายโมงยี่สิบ ... เช็กอินได้ตั้งแต่สิบเอ็ดโมง ที่เคาน์เตอร์ 4H ค่ะ”

หลังวางสาย บอกกับโชเฟอร์ว่า “พี่ครับ ... ไม่ต้องรีบแล้วครับ ไปเส้นวิภาวดีฯ ข้างล่างตามปกติเลยครับ”

ขอโทษ ... วันนี้ดอนเมืองโทลล์เวย์ไม่ได้แอ้มฉันหรอกนะ (ฮา)

โชเฟอร์ถามกลับว่า ขอเวลาเติมก๊าซหน่อยได้ไหม เดี๋ยวจะกดหยุดมิเตอร์ให้ ก็ยอมเพราะเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ อีกอย่างไปดอนเมืองก็ไม่รู้จะเดินไปไหน ไม่เหมือนเดินช้อปปิ้งในศูนย์การค้า



ถึงสนามบินดอนเมือง 09.30 น. พอดี เดินไปที่เคาน์เตอร์กานต์แอร์เพื่อความแน่ใจ กลัวใครจะโทรศัพท์มาแกล้งหรือเปล่า ก็สรุปว่าเที่ยวบินเลื่อนจริง ให้กลับมาเช็กอินใหม่ตอนสิบเอ็ดโมง

ในวันนั้นมีผู้โดยสารต่อแถวเข้าคิวตรวจบัตรโดยสารจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว คนเริ่มทยอยกลับภูมิลำเนา ด้วยความที่ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เลยไปหาอะไรรับประทาน

ปรากฏว่าร้านอาหารในสนามบินแพงมาก อาหารจานเดียวปาเข้าไปเกือบสองร้อย อาหารชุดก็สาม-สี่ร้อย แม้จะพกเงินมาพอสมควรแต่ก็เสียดายเงิน คิดดูอีกที ในเมื่อเวลามันเหลือ ก็นึกออกว่าจะไปกินข้าวที่ไหน

ตัดสินใจเดินไปทางเคาน์เตอร์เช็กอินแถวที่ 1 สังเกตป้ายบอกทาง “อาคารสำนักงานท่าอากาศยานดอนเมือง – ที่ทำการบริษัทการบิน” แล้วลงบันได จะเจอธนาคารกสิกรไทย กับธนาคารกรุงเทพ

ตรงจุดนั้นเดินม้วนขวา ตรงไปจะเห็นอาคารอิฐสีส้มทางทิศเหนือ ตรงไปเรื่อยๆ ผ่านที่จอดรถพวกลิมูซีน แล้วจะเจอ “ศูนย์อาหารเมจิก ฟู้ด พอยท์” ทางด้วยสีส้มทางด้านขวามือ

ศูนย์อาหารนี้ ขายอาหารราคาเดียวกับค่าครองชีพ ส่วนใหญ่จานละ 35-40 บาท น้ำเปล่าขวดละ 10 บาท เปิดบริการถึง 3 ทุ่ม ลูกค้าส่วนหนึ่งเป็นพนักงานสายการบิน เจ้าหน้าที่สนามบิน แต่ก็มีนักเดินทางใช้บริการจำนวนไม่น้อย

หลังอิ่มจากข้าวมันไก่ทอดกับน้ำเปล่า ในราคารวมกันไม่ถึงร้อยบาทเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับอาคารผู้โดยสาร แต่ในช่วงนั้นเวลายังเหลือ ไม่รู้จะไปไหน จึงเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้น สังเกตป้าย “บริเวณดูเครื่องบิน”



ตรงจุดนั้นเป็นห้องโถงเก่าๆ เมื่อก่อนเคยเป็นห้องพักรับรองของการบินไทย และภัตตาคาร สกายวิว ฟู้ด พอยท์ แต่ปิดให้บริการ เหลือเพียงลานกว้างโทรมๆ มีเก้าอี้นั่งไม่กี่ตัว พื้นกระเบื้องเย็นๆ แต่เงียบสงบ

เห็นฝรั่งคนหนึ่งนำไอแพดมาชาร์จไฟ ก็เลยขอเสียบชาร์จไอโฟนที่ช่องเสียบข้างๆ โดยนั่งกับพื้นเพราะสบายกว่านั่งเก้าอี้ มองเห็นผู้คนพาลูกพาหลานมาชมเครื่องบิน บ้างก็เอาหนังสือมาอ่าน บางคนนั่งหลับกับพื้นก็มี

พื้นที่ตรงนั้นไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เพราะคนที่ไม่ใช่ผู้โดยสารยังสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ตรงนั้นได้ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ รปภ. ของสนามบินเข้ามาตรวจตราบ้างก็ตาม แต่ข้อดีก็คือเงียบสงบ แอร์เย็น ไม่ร้อนอบอ้าว

ถ้า ทอท. ยอมปรับปรุงบริเวณดูเครื่องบินเป็นจุดพักผ่อนสาธารณะให้นักเดินทางก่อนเช็กอิน โดยไม่มีร้านค้ามารบกวน หรืออย่างน้อยถ้ามีเจ้าหน้าที่ รปภ. มาดูแล หรือติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัยบ้างก็จะดี

(3)

หลังทำกิจกรรมฆ่าเวลาในสนามบินมาได้สักพักใหญ่ๆ สิบเอ็ดโมงเช้า เวลานัดเช็กอินก็มาถึง

เราเดินกลับมายังเคาน์เตอร์ 4H เวลานั้นยังไม่มีใครมา เจ้าหน้าที่ขอบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อตรวจสอบตั๋วเครื่องบิน ก่อนที่จะหยิบผังที่นั่งมาให้เลือก

ตกใจตรงที่เครื่องบินที่เราจะนั่งในวันนี้ ไม่ใช่เครื่องบิน ATR 72 ที่ใช้รับส่งผู้โดยสารทั่วไป

แต่เป็น “ไพรเวท เจ็ท” ขนาด 6 ที่นั่ง สำหรับให้บริการเช่าเหมาลำแก่ลูกค้าธุรกิจ เฉพาะคนที่เป็นผู้บริหาร หรือเลขานุการเท่านั้นที่จะมีวาสนา หรือมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินแบบนี้



เราเลือกที่นั่ง 2B ช่วงนั้นในใจเริ่มลังเลแล้วว่า จะยอมถอยดีไหม ทิ้งตั๋วแล้วกลับไปนอนตีพุงอยู่กับบ้าน เพราะตัวเองจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแค่ 490 บาท แต่ได้นั่งเครื่องบินหรูแบบนี้

ถ้าสมมติมีผู้โดยสารเพียงคนเดียวจะลำบากใจแค่ไหน ที่เขาจะต้องให้บริการแบบชนิดที่ว่ายอมขาดทุนขนาดนี้ ... แต่ก็อีกนั่นแหละ ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีใครเดินทางมาด้วยอีกไหม

ถามพนักงานเคาน์เตอร์ ทราบว่าที่ยืนยันมาแล้วมีอยู่ 4 คน ...

เอาวะ ไหนๆ ก็มีลูกค้าเดินทางไปกับเราด้วย ถ้าติดสอยห้อยตามไปด้วย เขาคงจะใช้ที่นั่งบนเครื่องบินได้คุ้มกระมัง (แม้จะรู้สึกไม่คุ้มค่าน้ำมันเครื่องบินก็ตาม) เลยตัดสินใจเดินทางต่อ



หลังออกจากเคาน์เตอร์ เราเดินต่อคิวตรวจบัตรโดยสาร พนักงานรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เพราะสายการบินนี้มาทำการบินที่สนามบินดอนเมืองน้อยมาก อีกทั้งไม่ได้โฆษณาเป็นที่รู้จักเหมือนนกแอร์ แอร์เอเชีย ฯลฯ

เธอถามพนักงานตรวจบัตรโดยสารอีกคนที่อยู่ข้างๆ ก็บอกว่า “อ๋อ ... สายการบินเปิดใหม่ไปเมื่อวานนี้ ชื่ออะไรนะ...” ก็ตอบไปว่ากานต์แอร์ เขาถึงอนุญาตให้เข้าไปจุดเอกซเรย์





เที่ยวบินวันนี้อยู่ที่ประตูทางออกหมายเลข 71 ซึ่งเป็นบัสเกต อธิบายง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้เทียบกับงวงประตูเครื่องบิน แต่ไปขึ้นรถบัส หรือรถตู้เพื่อพาไปถึงลานจอดเครื่องบินที่อยู่ห่างออกไป

หลังจากนั่งรอได้สักพัก บ่ายโมงตรง รถตู้โลโก้กานต์แอร์ก็จอดที่หน้าประตู เจ้าหน้าที่ขอตรวจบัตรโดยสาร พร้อมบัตรประชาชน ก่อนที่จะมอบกล่องอาหารว่างมาให้ เพราะถ้าเป็นไพรเวท เจ็ทจะไม่มีลูกเรือให้บริการ



ในกล่องอาหารว่างของกานต์แอร์ จะมีน้ำแร่มองต์เฟลอขวดเล็ก 1 ขวด พร้อมกับกล้วยอบน้ำผึ้ง ตาก ห่อในซองพลาสติกสีเงิน 2 ชิ้น นับว่าเป็นแนวคิดดี ที่นำสินค้าโอทอปมาเสิร์ฟของว่างบนเครื่องบิน

เมื่อผู้โดยสารมีเพียงแค่ 5 คน (เด็กเล็กนั่งตักแม่ รวมเป็น 6 คน) การตรวจบัตรโดยสารก็ใช้เวลาอันรวดเร็ว รถตู้ของเราจึงขับออกจากประตูทางออก มุ่งหน้าไปยังจุดจอดเครื่องบินเล็ก ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของสนามบิน ติดกับกองบิน 6

ตรงจุดนั้นเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินเล็ก ผู้โดยสารทุกคนนั่งรออยู่ในรถตู้ ไม่นานนักเครื่องบินไพรเวท เจ็ทที่เราจะเดินทางก็มาถึง ทราบภายหลังเป็นเป็นเครื่องบินบีชคราฟท์ พรีเมียร์ วัน (Beechcraft Premier 1) บรรทุกผู้โดยสารได้ 6 คน แต่เพราะที่นั่ง 1B มาแบบครอบครัว จึงขอตัวนั่ง 3B แทน

บอกตามตรงว่า ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้นั่งเครื่องบินไพรเวท เจ็ท แบบนี้



หลังขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว นักบินคนไทยได้แจ้งให้ทราบถึงวิธีการคาดเข็มขัด ตามมาด้วยนักบินฝรั่งสูงใหญ่ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี เห็นเด็กเล็กที่นั่งตักแม่แล้วเขาจึงเปิดชั้นวางของ หยิบขนมปังกรอบมาให้พร้อมกับโบกมือส่งยิ้ม

เมื่อนักบินฝรั่งให้สัญญาณนิ้วโป้ง ซึ่งหมายถึงพร้อมจะเทคออฟ (เครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า) แล้ว จึงค่อยๆ เคลื่อนไปยังรันเวย์ ได้เห็นเครื่องบินทหารหลายลำ โดยเฉพาะ ซี 130 ที่เป็นพระเอกในยามประเทศชาติประสบภัยพิบัติต่างๆ





เครื่องบินค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นสู่ท้องฟ้า ในตอนนั้นสภาพอากาศไม่เป็นใจนัก เนื่องจากมีฝนฟ้าคะนองตกมาอย่างหนัก กระทั่งเครื่องบินไต่ระดับความสูงอ้อมอ่าวไทยไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้สึกหวาดกลัว

จากนั้นได้บินผ่านไปทางทิศใต้ของเกาะล้าน ขึ้นสู่ฝั่งโดยที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก ก่อนบินเลี้ยวขวาเพื่อเข้าสู่รันเวย์ของสนามบินอู่ตะเภา เห็นเมฆฝนที่กำลังตกใส่พื้นที่ อ.บางละมุงสีดำทะมึนอยู่ไกลๆ



เราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจากสนามบินดอนเมือง มาถึงสนามบินอู่ตะเภาในเวลา 14.00 น. อย่างปลอดภัย ก่อนที่จะนั่งรถตู้เพื่อเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพเรือดูแลอยู่หน้าประตู

(4)



เนื่องจากสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินทหาร ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตร จึงทำให้ไม่มีรถโดยสารเข้ามาให้บริการ เดิมทางกานต์แอร์ระบุว่าจะมีรถรับส่งไปที่พัทยา แต่เจ้าหน้าที่ก็แนะว่าให้สอบถามที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า

ปกติแล้วจะมีรถตู้ให้บริการจากอู่ตะเภาไปพัทยา คิดค่าโดยสารคนละ 250 บาท แต่เท่าที่สอบถามเคาน์เตอร์ก็บอกว่า ช่วงนี้ไม่มีรถตู้ มีแต่แท็กซี่ เหมาคันละ 800 บาท เมื่อถามว่าไปสัตหีบเท่าไหร่ เธอก็บอกว่าไม่มีรถไปที่นั่น

ช่วงนั้นเริ่มมืดแปดด้านแล้ว เดินออกจากสนามบินมีแต่ทหารนั่งเล่นหมากรุก บังเอิญเจอ ร.อ.สมพงษ์ เจ้าของกานต์แอร์เดินผ่าน ยังคงใส่เสื้อม่อฮ่อมสีขาว กางเกงขายาว ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวแบบสบายๆ ที่พบเห็นบ่อยครั้ง

ในตอนนั้นดูเหมือนว่ากำลังยุ่ง เลยทำได้แค่ทักทาย ไม่กล้ารบกวนคุยกันแบบยาวๆ แต่ดูเหมือนว่ายังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ ผมสอบถามเรื่องรถรับส่งไปพัทยา ท่านก็ชี้ไปที่ลูกน้องอีกคนหนึ่งที่ถือวิทยุสื่อสารดูแลอยู่

ลูกน้องคนนั้นบอกกับผมว่า ช่วงบ่ายสามโมงจะมีเครื่องบิน ATR จากอุบลราชธานีลงมา ให้รอรถบัสติดป้ายกระดาษว่า "กานต์แอร์" ติดอยู่ รถจะจอดที่ลานจอดรถให้เดินขึ้นไปได้เลย



จังหวะเดียวกันกับผู้โดยสารสุภาพสตรีที่นั่งฝั่งตรงข้ามเดินออกมาพอดี เธอบอกว่า สอบถามเคาน์เตอร์ข้างใน เขาบอกว่าให้หารกัน เลยบอกกับเขาว่าค่าแท็กซี่ 800 บาทนะ เธอก็อุทานว่า “อู้หู...” ซึ่งมันก็แพงจริงๆ

จากนั้นจึงบอกกับเธอว่า เดี๋ยวบ่ายสามโมงกานต์แอร์จะมีรถรับส่งไปพัทยา รอเครื่อง ATR ลงมาก่อน จึงนั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าสนามบิน เธอถามว่า “มาทำรีวิวเหรอคะ” ก็พูดคุยกันทั้งเรื่องพันทิป เรื่องดราม่าพอสมควร

ทราบมาว่าเธอเดินทางกลับบ้านที่พัทยา โดยซื้อตั๋วราคาโปรโมชั่น 490 บาทเหมือนกัน เพื่อนเธอก็ถามว่า ไปพัทยาแค่นี้ทำไมต้องนั่งเครื่องบิน รถตู้ก็มี ซึ่งพอเอาเข้าจริงรถตู้ก็ช้าเพราะแวะส่งคนตามรายทางเหมือนกัน



บ่ายสามโมงเศษๆ เราขึ้นรถบัสไปลงที่พัทยา รถบัสที่กานต์แอร์จ้างมามีอยู่ราวๆ 30 ที่นั่งเหมือนรถบัสนักท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าในตอนนั้นมีผู้โดยสารเพียงแค่ 6 คน มาจากดอนเมือง 2 คน และอุบลราชธานี 4 คน เป็นชาวต่างชาติ 3 คน

ไม่นานนักเราก็ออกเดินทางจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังเมืองพัทยา ใช้เส้นทางสาย 331 ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนห้วยใหญ่ โชเฟอร์บอกว่าหนีรถติดช่วงสงกรานต์ จะส่งให้ที่สำนักงานกานต์แอร์ พัทยาจุดเดียวเพื่อความรวดเร็ว

เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ก็มาถึงสำนักงานกานต์แอร์ พัทยาในเวลา 16.10 น. โดยสวัสดิภาพ จากจุดนี้เรารอรถสองแถวสีน้ำเงิน ไปลงที่แยกเทพประสิทธิ์ คิดค่าโดยสารคนละ 10 บาท ก่อนที่เราจะขอลงรถตรงจุดนั้น







ในวันนั้นเรามีเวลาอยู่พัทยาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ จึงทำได้แค่ไปชมวิวมุมสูงพัทยาที่ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เขาพระตำหนัก ที่จุดนั้นเป็นสถานีวิทยุและสถานีฐานของ ททบ. 5

ช่วงเย็นแวะรับประทานอาหารที่ร้านสเต็ก ฮิปโปโปเตมัส ชั้น 6 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยาบีช ตรงนั้นจะเห็นวิวเขาพระตำหนักและท่าเรือแหลมบาลีฮายยามเย็น ก่อนนั่งรถตู้กลับกรุงเทพฯ รอบ 1 ทุ่ม ถึงอนุสาวรีย์ชัย 2 ทุ่มครึ่ง

จำได้ว่าก่อนจะเป็นร้านฮิปโปโปเตมัส ที่ตรงนี้เคยเป็นร้าน A & W มาก่อน ผมกับเพื่อนร่วมงานเคยมานั่งพักเหนื่อย จิบรูทเบียร์เย็นๆ ชมวิวพัทยาในห้องแอร์ แต่หลังจากนั้นหมดสัญญาเช่า กลายเป็นร้านเสต็กถึงปัจจุบัน

ทริปวันเดียวนั่งเครื่องบินไปพัทยาก็จบลง พร้อมกับประสบการณ์ที่น่าจดจำ และหาไม่ได้จากการนั่งรถตู้ธรรมดา แม้มันจะยาวนานกว่าเพราะเที่ยวบินดีเลย์ก็ตาม แต่ก็ได้เห็นความพยายามในการให้บริการเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ

(5)

เวลาอ่านกระทู้เกี่ยวกับกานต์แอร์ มีหลายเรื่องที่อ่านแล้วก็แอบสงสารเจ้าของ อย่างเช่น กรณีหมอกควันทางภาคเหนือ นักบินพยายามร่อนลงจอดที่สนามบินแม่ฮ่องสอน แต่ไม่สามารถทำได้เพราะท้องฟ้าขาวโพลน

สุดท้ายก็ต้องกลับมาลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ นักบินขอโทษที่ไม่สามารถลงจอดได้ ส่วนสายการบินคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน พร้อมเหมารถตู้ไปแม่ฮ่องสอนให้นั่งฟรี ต่ออีก 5 ชั่วโมง แถมเบาะกว้างนั่งสบายกว่ารถตู้เปรมประชา

หรือจะเป็นกรณีสองแม่ลูกโวยวายว่ามาเช็กอินไปแม่ฮ่องสอนไม่ทัน ทั้งที่เป็นความผิดของผู้โดยสาร แต่ปรากฏว่าคดีพลิก เพราะสิ่งที่ไม่ได้บอกในกระทู้คือ ทางเจ้าของสั่งให้บินรอบถัดไปฟรี พร้อมจัดหาที่พักและเสื้อผ้าให้เด็กด้วย

ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นสายการบินอื่นทำไม่ได้ เพราะผู้โดยสารมาเช็กอินสายเอง ไปซื้อตั๋วใหม่อย่างเดียว

อาจเรียกได้ว่าในบรรดาสายการบินที่ให้บริการที่สนามบินเชียงใหม่ กานต์แอร์ถือว่ายืดหยุ่นที่สุดแล้ว ยิ่งถ้าวันไหนใช้ไพรเวท เจ็ท ผู้โดยสารมีน้อย เครื่องพร้อม คนพร้อม สล็อตเที่ยวบินว่าง ก็ออกเดินทางได้เลย

ครั้งหนึ่งผมเคยอ่านรีวิวของผู้ใช้นามแฝง “ยุ่งชะมัด สัตวแพทย์” ในช่วงนั้นกานต์แอร์เปิดเส้นทางข้ามภาค เชียงใหม่-อุบลราชธานี และ เชียงใหม่-หัวหิน รวมทั้งเปิดเที่ยวบิน ดอนเมือง-แม่สอด เพื่อทดลองตลาด

ปรากฏว่าช่วงที่หมอยุ่งฯ เดินทางไปหัวหิน ใช้ไพรเวท เจ็ทแบบบีชคราฟท์ พรีเมียร์ วัน ขนาด 6 ที่นั่งเหมือนกัน ก่อนที่ในภายหลังจะใช้เครื่องบิน ATR ขนาด 66 ที่นั่งให้บริการ

ในวันนั้นอ่านกระทู้นี้แล้วก็รู้สึกว่า หมอยุ่งฯ นี้โชคดีจังเลยที่ได้นั่งไพรเวท เจ็ทแบบนั้น ขนาดเราเองจะจองตั๋วเครื่องบิน ถ้าไม่ใช่ราคาโปรโมชั่น ยังคิดแล้วคิดอีก ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาเหมือนกับเขาเมื่อไหร่

แต่ก็ไม่นึกว่าจะได้เจอประสบการณ์แบบนี้กับตัวเอง!



ธุรกิจสายการบินเป็นเรื่องที่ท้าทาย มีผู้เล่นในตลาดทั้งไทยและต่างชาติ หลายครั้งการเปิดเส้นทางใหม่ ก็เหมือนกับการลองผิดลองถูก ทดลองตลาดว่าจะไปได้แค่ไหน ผลตอบรับดีก็เพิ่มเที่ยวบิน ถ้าไม่ดีก็ยุบเส้นทาง

ที่ผ่านมาเคยมีประสบการณ์นั่งเครื่องบิน ATR ของไทยไลอ้อนแอร์ จากหาดใหญ่ไปหัวหินมาก่อน ช่วงนั้นยังเปิดบินไปสุราษฎร์ธานี เมดาน และ สุบังจายา แต่ต่อมาก็คืนเครื่อง ATR ให้กับบริษัทแม่ที่อินโดนีเซีย เพราะบินไปแล้วไม่คุ้มทุน

แต่การเดินทางในวันนั้นก็มีเรื่องน่าจดจำอยู่อย่างหนึ่ง เพราะได้สัมผัสกับสนามบินที่จากเดิมได้แต่นั่งรถผ่านเวลาไปหัวหิน ไม่คิดว่าจะได้ใช้บริการเลยสักครั้งในชีวิต เลยได้เห็นทั้งสนามบินเงียบๆ และวิวมุมสูงชะอำ-หัวหินได้อย่างใกล้ชิด

การเดินทางจากดอนเมืองไปอู่ตะเภาในครั้งนี้ ทีแรกก็นึกในใจว่า เที่ยวบินดีเลย์แล้วจะเป็นยังไง แต่พอรู้ว่าเอาไพรเวท เจ็ทมารับลูกค้า ก็เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ที่นักเดินทางธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย ไม่น่าจะได้รับอะไรที่พิเศษขนาดนี้

สุดท้ายคงไม่มีอะไรนอกจากขอบคุณที่ทำให้เกิดเรื่องราวดีๆ ทั้งกานต์แอร์ ทั้งเพื่อนร่วมทาง ทั้งจุดหมายปลายทางที่เราไม่เคยไปอย่างสนามบินอู่ตะเภา อย่างน้อยเชื่อว่า ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเห็นความทุ่มเท และรู้สึกดีกับภาพลักษณ์ เมื่อโอกาสมาถึงก็พร้อมที่จะเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ต่อไป.

• • •



อู่ตะเภานี่มันเป็นยังไง?

สนามบินอู่ตะเภาตั้งอยู่ที่ ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากกรุงเทพฯ 190 กิโลเมตร เป็นสนามบินภายใต้การดูแลของกองทัพเรือ เป็นที่ตั้งของกองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ และ กองการสนามบินอู่ตะเภา

แม้จะพัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติ แต่เนื่องจากอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ จึงทำให้ไม่มีเที่ยวบินประจำมากนัก เที่ยวบินระหว่างประเทศที่มาใช้บริการเป็นแบบเช่าเหมาลำส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจากประเทศรัสเซีย

ส่วนเที่ยวบินในประเทศ มีบางกอกแอร์เวย์ เส้นทางเกาะสมุย และภูเก็ตวันละ 1 เที่ยวบิน ภายหลังกานต์แอร์ได้เปิดเส้นทางวันละ 2 เที่ยวบิน โดยวิ่งสลับวันระหว่างอุบลราชธานีกับขอนแก่น และเชียงใหม่กับอุดรธานี



อาคารผู้โดยสารเป็นอาคารชั้นเดียว แยกส่วนกันระหว่างผู้โดยสารขาออก และผู้โดยสารขาเข้า ประตูขึ้นเครื่องบินเป็นแบบบัสเกต ปัจจุบันกำลังก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ซึ่งอยู่ติดกัน

สิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ไม่มีร้านสะดวกซื้อ มีแต่ร้านขายของชำ ร้านอาคาร อยู่ฝั่งตรงข้ามอาคารผู้โดยสาร ตู้เอทีเอ็มมีของธนาคารทหารไทยเพียงเครื่องเดียว อยู่หน้าทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออก

การเดินทางออกจากสนามบิน หากต้องการเดินทางไปพัทยาด้วยตัวเองมีอยู่สองตัวเลือก คือ รถตู้คนละ 250 บาท มีให้บริการเฉพาะช่วงที่มีเที่ยวบินบางกอกแอร์เวย์ลงมา หรือรถแท็กซี่ราคาเหมา 800 บาทต่อคันต่อเที่ยว

ส่วนการเดินทางเข้ามาที่สนามบิน ถ้าไม่มีรถส่วนตัว มาด้วยรถบัส หรือรถตู้โดยสารประจำทางมาตามถนนสุขุมวิท จะต้องลงรถที่แยกบ้าน กม.10 บริเวณโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ๊ฯ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

จากนั้นให้ต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือรถตุ๊กๆ ในตลาดให้ไปส่งที่สนามบิน โดยเข้าไปด้านในอีก 2 กิโลเมตร ก็จะถึงอาคารผู้โดยสาร หากต้องการให้กลับมารับ แนะนำให้ขอเบอร์คนขับรถเอาไว้ เพราะออกจากสนามบินลำบากมาก.

กำลังโหลดความคิดเห็น