เหมือนกับในหนังสตาร์ วอร์ส ที่หลังจากเพลี่ยงพล้ำอยู่นาน ฝ่าย “กบฏ” หรือฝ่ายต่อต้านอำนาจของรัฐบาล (ซึ่งรวมถึง คสช.ด้วยในตัว) ก็เริ่มฟื้นขึ้นมาจากหลุมและรุกคืบเข้ามาชิงพื้นที่ความสนใจได้
หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้อาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 เข้าฉาย ปลุกกระแส “ชูสามนิ้ว” จนกระทั่งติดเป็นกระแสขึ้นมาในหน้าข่าวได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง
สำเร็จในแง่ของการแสดงให้เห็นว่า มีคนส่วนหนึ่ง “ไม่เอา” คสช. และไม่รัฐบาล รวมทั้งไม่เอากระบวนการปฏิรูปที่กำลังดำเนินการอยู่นี้
มีการเหมาโรงจัดโปรแกรมให้คนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้กันฟรีๆ เมื่อโรงเดิมไม่ยอมฉายให้ ก็ไปเหมาโรงใหม่ และในที่สุด ก็มีคนไปแสดงสัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” กันเอิกเกริก
แน่นอนว่าคนไปชูสามนิ้วกันต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกส่งไปสอดส่องและระงับเหตุ ก็ต้องถูกจับถูกรวบตัวกันไป
รวมทั้งส่งตำรวจไปนั่งเฝ้ากันหน้าโรงให้เป็นที่เอิกเกริก
เข้าทางฝ่ายชูสามนิ้วเข้าไปอีก เพราะก็ได้ตีข่าว และส่งสัญญาณให้สื่อนอกที่สนใจหาข่าวแปลกข่าวน่าสนใจอยู่แล้ว ไปตีข่าวไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยจับคนชูสามนิ้วตามภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดัง
จนถึงกับว่าผู้กำกับหนังเรื่องดังกล่าวมาให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ทราบว่าหนังของตัวเองทำให้คนไปชูสามนิ้วแล้วโดนจับ
ก็ไม่รู้เขาอยากจะบอกอ้อมๆ ไหมว่า “หยุดโยงหนังของข้าเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพวกเอ็งเสียที!”
เมื่อกระแสชูสามนิ้ว และต้านรัฐประหารกลับมา “ติด” ขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นอันว่าลำบากแก่ทางเจ้าหน้าที่
จะไม่จับเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะปล่อยให้มากขึ้นก็จะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบต่อต้าน ของคลื่นใต้น้ำที่เหมือนจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ หรือยังรวมกันไม่ติด จะเห็นว่าตัวเองมีพวกมาก แล้วเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก่อปัญหา
แต่ถ้าจะตามจับกันก็เหมือนกับเป็นเรื่องตลก หรือไปเข้าทางพวกอยากเป็นข่าว
และจากการชูสามนิ้ว ก็เริ่มลามไปถึงการโปรยใบปลิวต่อต้าน คสช.ที่ปรากฏบ่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตลอดสัปดาห์ ทั้งที่ถนนราชดำเนิน และในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กระแสการต่อต้านเริ่มปรากฏในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ถ้าดูรายชื่อแล้วก็จะเห็นว่าเป็นกลุ่มเดิมๆ นั่นเอง ที่เคลื่อนไหวในแนวทางนี้อยู่แล้ว
แต่เหมือนเป็นการส่งไม้ต่อกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่กรณี “ขอนแก่นชูสามนิ้ว” เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไปสู่การนั่งปิ๊กนิกให้กำลังใจเพื่อนกลางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เรียกให้ตำรวจมาจับ และการโปรยใบปลิวที่ได้กล่าวกันไปแล้ว
ซึ่งต้องยอมรับว่า นักศึกษาเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันทั้งจากความที่เป็น “ผู้เยาว์” และความเป็น “นักศึกษา” ที่ได้รับการปกป้องทั้งจากกฎหมายคุ้มครองเยาวชน และโดย “การเมือง” ที่ภาครัฐไม่ว่ายุคใดสมัยใดจะอีหลักอีเหลื่อกับการรับมือกับนักศึกษาอยู่
ตอนนี้กระแสการต่อต้านจากนักศึกษานั้นเริ่มจุดติดไปในหมู่นักศึกษา “คอเดียวกัน” ของแต่ละมหาวิทยาลัยแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตากันต่อไป
และราวกับเป็นจังหวะอันเหมาะสมตรงกันพอดี เมื่อเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ปรากฏความเคลื่อนไหวสำคัญในโลกโซเชียลของฝ่าย “เสื้อแดง” และฝ่ายไม่เอารัฐประหาร คือการกลับคืนจอของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.และหายเงียบไปจากประเทศไทยและโลกโซเชียลนับตั้งแต่การยึดอำนาจเต็มรูปแบบในวันที่ 22 พฤษภาคม
น่าสังเกตว่า “สมศักดิ์ เจียม” อาจจะถือฤกษ์ 6 เดือนรัฐประหารพอดีเป๊ะ ปรากฏตัวกลับมาในโลกเฟซบุ๊กอีกครั้ง ด้วยการมาเคลื่อนไหวและโพสต์ข้อความแสดงให้บรรดา “แฟนๆ” เห็นว่า “ยังสบายดีนะจ๊ะเด็กๆ” โดยมิได้เปิดเผยว่าตอนนี้อยู่ที่ใด ด้วยวิธีการใด แต่คนส่วนใหญ่เดาว่าน่าจะอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งทางยุโรป และน่าจะได้สิทธิลี้ภัยทางการเมือง เหมือนนักการเมืองและนักวิชาการตลอดจนนักกิจกรรมในฟากโน้นหลายคน
เมื่อไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อาจารย์สมศักดิ์ เจียม ก็บรรเลงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์เต็มที่แบบไม่ต้องระวังกฎหมายจะตามถึง คล้ายจะทำใจว่าถ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์ถึงรากถึงโคน ก็คงจะไม่ได้กลับเมืองไทยแล้ว
ซึ่งในที่นี้ คสช.ก็ “รับรู้” ถึงการกลับมาปรากฏตัวคืนจอของ “สมศักดิ์ เจียม” แล้ว ผ่านการแถลงข่าวโต้ตอบของ พ.อ.วินธัย สุวารี ที่ออกมาโต้ตอบที่ทางอาจารย์สมศักดิ์ได้โจมตีทหารว่าการเรียนการสอนในสถาบันทางทหารนั้นล้มเหลว
ก็จับตาดูว่า ทาง คสช.จะว่ากระไรต่อไปกับการ “คืนจอ” ของนักวิชาการขวัญใจชาวเสื้อแดงและฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช.ทั้งหลาย
ปิดท้ายด้วยการที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ผู้ต้องหาคดีทุจริตจำนำข้าวที่ยังไม่รู้ว่าผลทั้งการถอดถอนและดำเนินคดีจะออกมาอย่างไร ก็ออกมาให้ข่าวต่อบรรดาสื่อถึงชีวิตที่สบาย เรียบง่าย หลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ว่าเธอมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น ทำกับข้าวกับปลา จ่ายตลาด เดินเที่ยวไหนต่อไหนได้อย่างสบายอารมณ์
ว่างๆ ก็มา “เพาะเห็ด” เป็นงานอดิเรก เพื่อ “รอเวลาที่จะกลับมาลงเลือกตั้งในครั้งหน้า หากโอกาสจะอำนวย” เพราะที่ผ่านมานั้นตนเองเหมือนคนที่ได้รับกุญแจไปขับรถ แต่ถูกจี้ชิงรถไป...
แต่สำหรับประชาชนแล้ว รถคันนี้ไปชนโน่นชนนี่มาตลอดทาง คนเจ็บคนตายตั้งมากมาย ทั้งรถก็เสียหายย่อยยับ ในที่สุดก็มีคนในเครื่องแบบมาล็อกตัวเอาคนขับให้ลุกออกไป ชาวบ้านก็โล่งใจกับเปราะหนึ่ง
อ้าว ทำไปทำมา รถเสียก็ไม่ซ่อม จะเคลมจะดำเนินคดีก็เงื้อๆ ง่าๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรสักอย่าง ส่วนคนขับที่ว่านั้นไปปลูกเห็ดสบายใจแล้ว แถมบอกว่า “ไว้คราวหน้าจะมาขับให้ใหม่นะคะ”
พร้อมกับบรรดาลูกหาบ ทีมงาน และผู้สนับสนุนที่แสดงท่าทีชัดเจนว่า กำลังรอวันตื่นขึ้นมาแย่งรถกลับไปให้ ก็ต้องดูว่า ทาง “คนในเครื่องแบบ” ที่ช่วยมาอุ้มตัวออกจากรถไปคราวนั้น จะว่ากันอย่างไรต่อไป.
หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้อาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 เข้าฉาย ปลุกกระแส “ชูสามนิ้ว” จนกระทั่งติดเป็นกระแสขึ้นมาในหน้าข่าวได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง
สำเร็จในแง่ของการแสดงให้เห็นว่า มีคนส่วนหนึ่ง “ไม่เอา” คสช. และไม่รัฐบาล รวมทั้งไม่เอากระบวนการปฏิรูปที่กำลังดำเนินการอยู่นี้
มีการเหมาโรงจัดโปรแกรมให้คนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้กันฟรีๆ เมื่อโรงเดิมไม่ยอมฉายให้ ก็ไปเหมาโรงใหม่ และในที่สุด ก็มีคนไปแสดงสัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” กันเอิกเกริก
แน่นอนว่าคนไปชูสามนิ้วกันต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกส่งไปสอดส่องและระงับเหตุ ก็ต้องถูกจับถูกรวบตัวกันไป
รวมทั้งส่งตำรวจไปนั่งเฝ้ากันหน้าโรงให้เป็นที่เอิกเกริก
เข้าทางฝ่ายชูสามนิ้วเข้าไปอีก เพราะก็ได้ตีข่าว และส่งสัญญาณให้สื่อนอกที่สนใจหาข่าวแปลกข่าวน่าสนใจอยู่แล้ว ไปตีข่าวไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยจับคนชูสามนิ้วตามภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดัง
จนถึงกับว่าผู้กำกับหนังเรื่องดังกล่าวมาให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ทราบว่าหนังของตัวเองทำให้คนไปชูสามนิ้วแล้วโดนจับ
ก็ไม่รู้เขาอยากจะบอกอ้อมๆ ไหมว่า “หยุดโยงหนังของข้าเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพวกเอ็งเสียที!”
เมื่อกระแสชูสามนิ้ว และต้านรัฐประหารกลับมา “ติด” ขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นอันว่าลำบากแก่ทางเจ้าหน้าที่
จะไม่จับเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะปล่อยให้มากขึ้นก็จะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบต่อต้าน ของคลื่นใต้น้ำที่เหมือนจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ หรือยังรวมกันไม่ติด จะเห็นว่าตัวเองมีพวกมาก แล้วเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก่อปัญหา
แต่ถ้าจะตามจับกันก็เหมือนกับเป็นเรื่องตลก หรือไปเข้าทางพวกอยากเป็นข่าว
และจากการชูสามนิ้ว ก็เริ่มลามไปถึงการโปรยใบปลิวต่อต้าน คสช.ที่ปรากฏบ่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตลอดสัปดาห์ ทั้งที่ถนนราชดำเนิน และในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กระแสการต่อต้านเริ่มปรากฏในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ถ้าดูรายชื่อแล้วก็จะเห็นว่าเป็นกลุ่มเดิมๆ นั่นเอง ที่เคลื่อนไหวในแนวทางนี้อยู่แล้ว
แต่เหมือนเป็นการส่งไม้ต่อกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่กรณี “ขอนแก่นชูสามนิ้ว” เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไปสู่การนั่งปิ๊กนิกให้กำลังใจเพื่อนกลางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เรียกให้ตำรวจมาจับ และการโปรยใบปลิวที่ได้กล่าวกันไปแล้ว
ซึ่งต้องยอมรับว่า นักศึกษาเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันทั้งจากความที่เป็น “ผู้เยาว์” และความเป็น “นักศึกษา” ที่ได้รับการปกป้องทั้งจากกฎหมายคุ้มครองเยาวชน และโดย “การเมือง” ที่ภาครัฐไม่ว่ายุคใดสมัยใดจะอีหลักอีเหลื่อกับการรับมือกับนักศึกษาอยู่
ตอนนี้กระแสการต่อต้านจากนักศึกษานั้นเริ่มจุดติดไปในหมู่นักศึกษา “คอเดียวกัน” ของแต่ละมหาวิทยาลัยแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตากันต่อไป
และราวกับเป็นจังหวะอันเหมาะสมตรงกันพอดี เมื่อเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ปรากฏความเคลื่อนไหวสำคัญในโลกโซเชียลของฝ่าย “เสื้อแดง” และฝ่ายไม่เอารัฐประหาร คือการกลับคืนจอของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.และหายเงียบไปจากประเทศไทยและโลกโซเชียลนับตั้งแต่การยึดอำนาจเต็มรูปแบบในวันที่ 22 พฤษภาคม
น่าสังเกตว่า “สมศักดิ์ เจียม” อาจจะถือฤกษ์ 6 เดือนรัฐประหารพอดีเป๊ะ ปรากฏตัวกลับมาในโลกเฟซบุ๊กอีกครั้ง ด้วยการมาเคลื่อนไหวและโพสต์ข้อความแสดงให้บรรดา “แฟนๆ” เห็นว่า “ยังสบายดีนะจ๊ะเด็กๆ” โดยมิได้เปิดเผยว่าตอนนี้อยู่ที่ใด ด้วยวิธีการใด แต่คนส่วนใหญ่เดาว่าน่าจะอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งทางยุโรป และน่าจะได้สิทธิลี้ภัยทางการเมือง เหมือนนักการเมืองและนักวิชาการตลอดจนนักกิจกรรมในฟากโน้นหลายคน
เมื่อไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อาจารย์สมศักดิ์ เจียม ก็บรรเลงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์เต็มที่แบบไม่ต้องระวังกฎหมายจะตามถึง คล้ายจะทำใจว่าถ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์ถึงรากถึงโคน ก็คงจะไม่ได้กลับเมืองไทยแล้ว
ซึ่งในที่นี้ คสช.ก็ “รับรู้” ถึงการกลับมาปรากฏตัวคืนจอของ “สมศักดิ์ เจียม” แล้ว ผ่านการแถลงข่าวโต้ตอบของ พ.อ.วินธัย สุวารี ที่ออกมาโต้ตอบที่ทางอาจารย์สมศักดิ์ได้โจมตีทหารว่าการเรียนการสอนในสถาบันทางทหารนั้นล้มเหลว
ก็จับตาดูว่า ทาง คสช.จะว่ากระไรต่อไปกับการ “คืนจอ” ของนักวิชาการขวัญใจชาวเสื้อแดงและฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช.ทั้งหลาย
ปิดท้ายด้วยการที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ผู้ต้องหาคดีทุจริตจำนำข้าวที่ยังไม่รู้ว่าผลทั้งการถอดถอนและดำเนินคดีจะออกมาอย่างไร ก็ออกมาให้ข่าวต่อบรรดาสื่อถึงชีวิตที่สบาย เรียบง่าย หลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ว่าเธอมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น ทำกับข้าวกับปลา จ่ายตลาด เดินเที่ยวไหนต่อไหนได้อย่างสบายอารมณ์
ว่างๆ ก็มา “เพาะเห็ด” เป็นงานอดิเรก เพื่อ “รอเวลาที่จะกลับมาลงเลือกตั้งในครั้งหน้า หากโอกาสจะอำนวย” เพราะที่ผ่านมานั้นตนเองเหมือนคนที่ได้รับกุญแจไปขับรถ แต่ถูกจี้ชิงรถไป...
แต่สำหรับประชาชนแล้ว รถคันนี้ไปชนโน่นชนนี่มาตลอดทาง คนเจ็บคนตายตั้งมากมาย ทั้งรถก็เสียหายย่อยยับ ในที่สุดก็มีคนในเครื่องแบบมาล็อกตัวเอาคนขับให้ลุกออกไป ชาวบ้านก็โล่งใจกับเปราะหนึ่ง
อ้าว ทำไปทำมา รถเสียก็ไม่ซ่อม จะเคลมจะดำเนินคดีก็เงื้อๆ ง่าๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรสักอย่าง ส่วนคนขับที่ว่านั้นไปปลูกเห็ดสบายใจแล้ว แถมบอกว่า “ไว้คราวหน้าจะมาขับให้ใหม่นะคะ”
พร้อมกับบรรดาลูกหาบ ทีมงาน และผู้สนับสนุนที่แสดงท่าทีชัดเจนว่า กำลังรอวันตื่นขึ้นมาแย่งรถกลับไปให้ ก็ต้องดูว่า ทาง “คนในเครื่องแบบ” ที่ช่วยมาอุ้มตัวออกจากรถไปคราวนั้น จะว่ากันอย่างไรต่อไป.