อาจกล่าวได้ว่า ช่วงเวลาของการ “ฮันนีมูน” ของรัฐบาลนั้นหมดไปแล้ว
ที่หมดเร็วส่วนหนึ่งก็เพราะว่า แม้รัฐบาลนี้จะได้ชื่อว่าเป็น “รัฐบาลใหม่”
แต่ใหม่อย่างไร ก็ปฏิเสธเสียไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ตัวผู้นำรัฐบาลก็ยังเป็นคนเดิมที่ประชาชนคุ้นหน้า มาตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช.ในสายตาประชาชน ก็เท่ากับเป็นการแปรรูปของรัฐบาลให้มันถูกต้องตามรูปแบบการปกครองอย่างในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลนั้นอยู่ในรูปแบบของการใช้อำนาจพิเศษของ คสช.ซึ่งในสายตาต่างชาตินั้นมองว่าเป็นการปกครองในระบอบรัฐทหาร หรือใช้อำนาจเผด็จการของผู้ยึดครองอำนาจรัฐ
เพื่อให้สภาพของการปกครองกลับมาสู่สภาวะใกล้เคียงปกติ จึงจำเป็นต้องมีการจัดรูปแบบการใช้อำนาจใหม่ ให้เป็นรูปแบบรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหารเสียก่อน
แต่สำหรับประชาชนแล้ว ก็เหมือนเหล้าเก่าผสมใหม่ ใส่ขวดใหม่ แทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม เพราะท่านผู้กุมบังเหียนก็ยังเป็นคนเดิม (แถมสลับบทบาทไปมาได้ระหว่างหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก)
ในความรู้สึกของประชาชน รัฐบาลนี้จึงเหมือนกับบริหารประเทศมาแล้วเกือบ 4 เดือน
ร่วมสี่เดือนที่เวลาของการ “ฮันนีมูน” สิ้นสุดลงแล้ว
คราวนี้ท่านนายกฯ ควบหัวหน้า คสช.จะได้เจอของจริง ได้เจอปัญหาจริงของการบริหารประเทศที่รอให้แก้ไขอย่างจริงจัง และคาดหวัง แน่นอนว่า บรรยากาศของการ “เอาใจช่วย” อะลุ้มอะล่วยในสภาวะเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจนั้น ก็คงจะหมดไปเช่นกัน
รัฐบาลจึงถูกจับจ้อง คาดหวัง และอาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่เคยเอาใจช่วยเมื่อครั้งที่เพิ่งเข้ามาควบคุมอำนาจได้ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสีใดฝ่ายใด ที่เคยพอจะหยวนๆให้ได้ ก็คงจะเริ่มไม่หยวนแล้ว
ปัญหาของรัฐบาลในช่วงแรกๆ นี้นับว่าเริ่มจะถูกทวงถามจริงจัง และคนเริ่ม “ไม่ขำ” กับมุกตลกของท่านนายกฯ เสียแล้ว
จากที่ท่านเคยเป็นขวัญใจประชาชนผู้อาสาเข้ามาแก้ปัญหา ทำอะไรผิดบ้าง พลาดบ้าง ปล่อยมุกบ้าง หรือจะมาออกทีวีบังคับรับชมแบบรวมการเฉพาะกิจ จะดุดัน ทุบโต๊ะ ชี้หน้า อย่างเมื่อก่อนก็ยังพอไหว แต่ตอนนี้มากไป ประชาชนก็อาจจะตั้งคำถามเอาได้
เอาง่ายๆ แค่รายการ คสช.เดินหน้าประเทศไทย คืนความสุขให้ประชาชน ที่จัดอยู่ช่วงเย็น แบบรวมการเฉพาะกิจ บังคับชมกันแบบกลายๆ ก็เริ่มมีเสียงบ่นจากบรรดาแฟนๆ รายการประกวดร้องเพลง The Voice แล้ว ว่าจะมา “คืนความสุข” อะไรกันทับเวลารายการดังกล่าว ถ้าอยาก “คืนความสุข” กันจริงๆ ก็ให้คนเขาฟังเพลงดูละครกันตามวิสัยใจชอบเสียบ้างเถิด
อย่างที่เคยแนะนำไปแล้วครั้งหนึ่งว่า เมื่อปรับตัวเข้ามีรัฐบาลในสภาพปกติแล้ว การบังคับให้รับชมรายการจาก คสช.พร้อมกันทุกช่อง ก็อาจจะต้องทบทวนกันบ้าง เพราะถ้าโรดแมประยะแรกที่อะไรก็ไม่เข้าที่เข้าทางอาจจะจำเป็น แต่อย่างปัจจุบันเมื่อพยายามจะกลับเข้าสู่ระบบ เรื่องนี้ก็ควรจะเป็นไปเช่นเดียวกัน
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าประชาชนรู้สึกว่าอึดอัด รู้สึกว่าเสรีภาพเล็กๆ น้อยๆ กะอีแค่เรื่องดูโทรทัศน์ ก็ถูกลิดรอนไปทั่วที่มีรัฐบาลเต็มตัวแล้วก็ยังไม่เลิกนี้ ก็อาจจะเป็นช่องให้ความนิยมในรัฐบาล หรือถ้ากล่าวกันตรงๆ คือความนิยมในตัวท่านผู้นำนั้นลดน้อยถอยลงได้ ก็อยากจะฝากไว้ประเด็นนี้
หรืออย่างกรณีปัญหาราคายางตกต่ำ ซึ่งก็พอจะเห็นใจและเข้าใจได้อยู่ว่า มันเป็นไปตามกลไกตลาด แต่การที่ท่านออกมากล่าวในทำนองว่าเพราะชาวสวนยางปลูกกันเยอะเกินไป จนขายอย่างไรก็ขายไม่ได้บนโลกนี้ ต้องส่งไปขายดาวอังคารถึงจะได้ราคาดีนั้น ก็อาจจะเป็นมุกขำๆ ตลกดี แต่สำหรับชาวสวนยางคงไม่ตลกด้วยสักเท่าไร เพราะหวังว่ารัฐบาลน่าจะแก้ปัญหาได้บ้างในเรื่องเฉพาะหน้านี้ ส่วนจะแก้ปัญหาระยะยาวด้วยการลดจำนวนการผลิต ลดจำนวนสวนยางลง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต
ท่านนายกฯ ต้องเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ว่า คนเราบางครั้งคำพูดคำเดิม พูดคนละเวลา อารมณ์ก็เปลี่ยน
อย่างที่ว่าไว้นั่นแหละ คือในช่วงควบคุมอำนาจใหม่ๆ เป็นช่วงที่ประชาชนดีใจที่ท่านเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งและความไม่สงบเรียบร้อยทั้งหลาย ไล่รัฐบาลที่ประชาชนไม่ยอมรับไม่ไว้วางใจออกไปได้ ดังนั้นในสถานะ “วีรบุรุษ” นั้น จะพูดจาขวานผ่านซากไปได้คนก็ยังเห็นว่าดีว่างาม น่ารัก ตลกตามไปด้วย
แต่ถ้าในสภาพที่ประชาชนคาดหวังว่าจะได้รับการแก้ปัญหา บางครั้งมุกตลกแบบขวานผ่าซากก็อาจจะช่วยไม่ได้ หนำซ้ำยังจะก่อให้เกิดอารมณ์แก่คนฟังด้วย
คนขี้น้อยใจก็คงน้อยใจ คนอารมณ์ร้อนๆ หน่อยก็คงมีแค้นมีเคือง ซึ่งหากท่านจะแก้ไขปัญหาในระยะยาว การพูดจาต้องปรับปรุงให้เข้าใจ ถนอมน้ำใจผู้ฟังบ้าง เพื่อไม่ให้สร้าง “แนวร่วม” ให้กับฝ่ายอำนาจเก่าที่ยังไม่ยอมตายได้ง่ายจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ก็ยังเห็นความตั้งใจจริงของท่านอยู่ รวมทั้งเห็นช่องทางว่าท่านอาจจะเรียกความเป็นขวัญใจของประชาชนคืนได้ หากต่อสู้กับเรื่องอาชญากรรมอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นปัญหาที่รบกวนใจคนไทยหรือคนชาวเมืองกรุงมานานนม โดยไม่มีใครแก้ไขได้ หรือพยายามคิดจะแก้ไขให้ตรงจุด เช่นเรื่องนักเรียนนักเลงตีกัน ทั้งที่ฆ่ากันเองในวง หรือมีลูกหลงให้ชาวบ้านโชคร้ายตายเจ็บไปโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ยิงกันกลางเมือง กลางถนน หน้าห้างสรรพสินค้า
ล่าสุดเห็นว่า ท่านนายกฯ ออกแนวทางแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนขึ้นมา ว่าหากโรงเรียนไหนมีนักเรียนนักศึกษาตีกัน จะสั่งให้ปิดโรงเรียนที่มีปัญหานั้นไว้ชั่วคราวจนกว่าจะสอบสวนกันเสร็จ นโยบายนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะถ้าโรงเรียนจะต้องรับผิดชอบบ้าง ก็อาจจะมีการเอาจริงเอาจังกับการควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนมากขึ้น เพราะถึงขนาดมีอาวุธสงครามซุกซ่อนกันเป็นคลังแสงในโรงเรียน ทางครูอาจารย์ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษาจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องเลยก็น่าจะฟังไม่ขึ้นอยู่
การแก้ไขปัญหานักเรียนนักเลงอย่างถึงรากถึงปลายนี้ หากเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ถ้าท่านนายกฯ ทำได้จริง ก็จะเป็นการคืนความสุข คือความสงบสุขให้สุจริตชนไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลูกหลงบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งก็จะช่วย “ต่ออายุ” ระยะเวลาช่วงฮันนีมูนนี้ออกไปได้อีกหน่อย.
ที่หมดเร็วส่วนหนึ่งก็เพราะว่า แม้รัฐบาลนี้จะได้ชื่อว่าเป็น “รัฐบาลใหม่”
แต่ใหม่อย่างไร ก็ปฏิเสธเสียไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ตัวผู้นำรัฐบาลก็ยังเป็นคนเดิมที่ประชาชนคุ้นหน้า มาตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช.ในสายตาประชาชน ก็เท่ากับเป็นการแปรรูปของรัฐบาลให้มันถูกต้องตามรูปแบบการปกครองอย่างในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลนั้นอยู่ในรูปแบบของการใช้อำนาจพิเศษของ คสช.ซึ่งในสายตาต่างชาตินั้นมองว่าเป็นการปกครองในระบอบรัฐทหาร หรือใช้อำนาจเผด็จการของผู้ยึดครองอำนาจรัฐ
เพื่อให้สภาพของการปกครองกลับมาสู่สภาวะใกล้เคียงปกติ จึงจำเป็นต้องมีการจัดรูปแบบการใช้อำนาจใหม่ ให้เป็นรูปแบบรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหารเสียก่อน
แต่สำหรับประชาชนแล้ว ก็เหมือนเหล้าเก่าผสมใหม่ ใส่ขวดใหม่ แทบไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม เพราะท่านผู้กุมบังเหียนก็ยังเป็นคนเดิม (แถมสลับบทบาทไปมาได้ระหว่างหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก)
ในความรู้สึกของประชาชน รัฐบาลนี้จึงเหมือนกับบริหารประเทศมาแล้วเกือบ 4 เดือน
ร่วมสี่เดือนที่เวลาของการ “ฮันนีมูน” สิ้นสุดลงแล้ว
คราวนี้ท่านนายกฯ ควบหัวหน้า คสช.จะได้เจอของจริง ได้เจอปัญหาจริงของการบริหารประเทศที่รอให้แก้ไขอย่างจริงจัง และคาดหวัง แน่นอนว่า บรรยากาศของการ “เอาใจช่วย” อะลุ้มอะล่วยในสภาวะเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจนั้น ก็คงจะหมดไปเช่นกัน
รัฐบาลจึงถูกจับจ้อง คาดหวัง และอาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่เคยเอาใจช่วยเมื่อครั้งที่เพิ่งเข้ามาควบคุมอำนาจได้ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสีใดฝ่ายใด ที่เคยพอจะหยวนๆให้ได้ ก็คงจะเริ่มไม่หยวนแล้ว
ปัญหาของรัฐบาลในช่วงแรกๆ นี้นับว่าเริ่มจะถูกทวงถามจริงจัง และคนเริ่ม “ไม่ขำ” กับมุกตลกของท่านนายกฯ เสียแล้ว
จากที่ท่านเคยเป็นขวัญใจประชาชนผู้อาสาเข้ามาแก้ปัญหา ทำอะไรผิดบ้าง พลาดบ้าง ปล่อยมุกบ้าง หรือจะมาออกทีวีบังคับรับชมแบบรวมการเฉพาะกิจ จะดุดัน ทุบโต๊ะ ชี้หน้า อย่างเมื่อก่อนก็ยังพอไหว แต่ตอนนี้มากไป ประชาชนก็อาจจะตั้งคำถามเอาได้
เอาง่ายๆ แค่รายการ คสช.เดินหน้าประเทศไทย คืนความสุขให้ประชาชน ที่จัดอยู่ช่วงเย็น แบบรวมการเฉพาะกิจ บังคับชมกันแบบกลายๆ ก็เริ่มมีเสียงบ่นจากบรรดาแฟนๆ รายการประกวดร้องเพลง The Voice แล้ว ว่าจะมา “คืนความสุข” อะไรกันทับเวลารายการดังกล่าว ถ้าอยาก “คืนความสุข” กันจริงๆ ก็ให้คนเขาฟังเพลงดูละครกันตามวิสัยใจชอบเสียบ้างเถิด
อย่างที่เคยแนะนำไปแล้วครั้งหนึ่งว่า เมื่อปรับตัวเข้ามีรัฐบาลในสภาพปกติแล้ว การบังคับให้รับชมรายการจาก คสช.พร้อมกันทุกช่อง ก็อาจจะต้องทบทวนกันบ้าง เพราะถ้าโรดแมประยะแรกที่อะไรก็ไม่เข้าที่เข้าทางอาจจะจำเป็น แต่อย่างปัจจุบันเมื่อพยายามจะกลับเข้าสู่ระบบ เรื่องนี้ก็ควรจะเป็นไปเช่นเดียวกัน
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าประชาชนรู้สึกว่าอึดอัด รู้สึกว่าเสรีภาพเล็กๆ น้อยๆ กะอีแค่เรื่องดูโทรทัศน์ ก็ถูกลิดรอนไปทั่วที่มีรัฐบาลเต็มตัวแล้วก็ยังไม่เลิกนี้ ก็อาจจะเป็นช่องให้ความนิยมในรัฐบาล หรือถ้ากล่าวกันตรงๆ คือความนิยมในตัวท่านผู้นำนั้นลดน้อยถอยลงได้ ก็อยากจะฝากไว้ประเด็นนี้
หรืออย่างกรณีปัญหาราคายางตกต่ำ ซึ่งก็พอจะเห็นใจและเข้าใจได้อยู่ว่า มันเป็นไปตามกลไกตลาด แต่การที่ท่านออกมากล่าวในทำนองว่าเพราะชาวสวนยางปลูกกันเยอะเกินไป จนขายอย่างไรก็ขายไม่ได้บนโลกนี้ ต้องส่งไปขายดาวอังคารถึงจะได้ราคาดีนั้น ก็อาจจะเป็นมุกขำๆ ตลกดี แต่สำหรับชาวสวนยางคงไม่ตลกด้วยสักเท่าไร เพราะหวังว่ารัฐบาลน่าจะแก้ปัญหาได้บ้างในเรื่องเฉพาะหน้านี้ ส่วนจะแก้ปัญหาระยะยาวด้วยการลดจำนวนการผลิต ลดจำนวนสวนยางลง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต
ท่านนายกฯ ต้องเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ว่า คนเราบางครั้งคำพูดคำเดิม พูดคนละเวลา อารมณ์ก็เปลี่ยน
อย่างที่ว่าไว้นั่นแหละ คือในช่วงควบคุมอำนาจใหม่ๆ เป็นช่วงที่ประชาชนดีใจที่ท่านเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งและความไม่สงบเรียบร้อยทั้งหลาย ไล่รัฐบาลที่ประชาชนไม่ยอมรับไม่ไว้วางใจออกไปได้ ดังนั้นในสถานะ “วีรบุรุษ” นั้น จะพูดจาขวานผ่านซากไปได้คนก็ยังเห็นว่าดีว่างาม น่ารัก ตลกตามไปด้วย
แต่ถ้าในสภาพที่ประชาชนคาดหวังว่าจะได้รับการแก้ปัญหา บางครั้งมุกตลกแบบขวานผ่าซากก็อาจจะช่วยไม่ได้ หนำซ้ำยังจะก่อให้เกิดอารมณ์แก่คนฟังด้วย
คนขี้น้อยใจก็คงน้อยใจ คนอารมณ์ร้อนๆ หน่อยก็คงมีแค้นมีเคือง ซึ่งหากท่านจะแก้ไขปัญหาในระยะยาว การพูดจาต้องปรับปรุงให้เข้าใจ ถนอมน้ำใจผู้ฟังบ้าง เพื่อไม่ให้สร้าง “แนวร่วม” ให้กับฝ่ายอำนาจเก่าที่ยังไม่ยอมตายได้ง่ายจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ก็ยังเห็นความตั้งใจจริงของท่านอยู่ รวมทั้งเห็นช่องทางว่าท่านอาจจะเรียกความเป็นขวัญใจของประชาชนคืนได้ หากต่อสู้กับเรื่องอาชญากรรมอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นปัญหาที่รบกวนใจคนไทยหรือคนชาวเมืองกรุงมานานนม โดยไม่มีใครแก้ไขได้ หรือพยายามคิดจะแก้ไขให้ตรงจุด เช่นเรื่องนักเรียนนักเลงตีกัน ทั้งที่ฆ่ากันเองในวง หรือมีลูกหลงให้ชาวบ้านโชคร้ายตายเจ็บไปโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ยิงกันกลางเมือง กลางถนน หน้าห้างสรรพสินค้า
ล่าสุดเห็นว่า ท่านนายกฯ ออกแนวทางแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนขึ้นมา ว่าหากโรงเรียนไหนมีนักเรียนนักศึกษาตีกัน จะสั่งให้ปิดโรงเรียนที่มีปัญหานั้นไว้ชั่วคราวจนกว่าจะสอบสวนกันเสร็จ นโยบายนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะถ้าโรงเรียนจะต้องรับผิดชอบบ้าง ก็อาจจะมีการเอาจริงเอาจังกับการควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนมากขึ้น เพราะถึงขนาดมีอาวุธสงครามซุกซ่อนกันเป็นคลังแสงในโรงเรียน ทางครูอาจารย์ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษาจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องเลยก็น่าจะฟังไม่ขึ้นอยู่
การแก้ไขปัญหานักเรียนนักเลงอย่างถึงรากถึงปลายนี้ หากเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ถ้าท่านนายกฯ ทำได้จริง ก็จะเป็นการคืนความสุข คือความสงบสุขให้สุจริตชนไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลูกหลงบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งก็จะช่วย “ต่ออายุ” ระยะเวลาช่วงฮันนีมูนนี้ออกไปได้อีกหน่อย.