บทสรุปของบทความนี้เป็นไปตามที่จั่วหัว...ถ้ายกเครื่องกองทุนประกันสังคม คสช.จะได้แต้ม...โดยเหตุผลดังต่อไปนี้
กองทุนประกันสังคมเป็นเรื่องสำคัญละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องกับคน 1 ใน 6 ของประเทศทั้งยังเป็นคนที่มีแรงทำงาน ปัจจุบันมีผู้ประกันตนตามพรบ.กองทุนประกันสังคมประมาณ 10 ล้านคน ไม่น้อยนะครับมองในมิติการเมืองคนกลุ่มนี้จะเป็นฐานเสียงสำคัญให้พรรคการเมือง (และพรรคราชการหรือรวมทั้งพรรคทหาร?) สามารถมีอำนาจอยู่ยั้ง ยืนยง
ประกันสังคมเป็นระบบสวัสดิการชนิดหนึ่งที่บ้านเรายังพัลวันพัลเกอยู่ทั้งๆ ที่เริ่มมีมานานพอควร สวัสดิการแบ่งเป็นหลายชนชั้นอันได้แก่ชนชั้นเศรษฐีนักโกงเมืองเถ้าแก่ทั้งหลายซึ่งใช้ประกันสุขภาพประกันชีวิตของเอกชนเข้าโรงพยาบาลหรูที่คนจนไม่มีสิทธิ์ไปเหยียบ ชนชั้นลำดับต่อมาคือราชการซึ่งเป็นฐานพลังอำนาจสำคัญของสังคมไทยมายาวนานในนามของอำมาตยาธิปไตย สวัสดิการข้าราชการเบิกได้แทบหมดเผื่อแผ่บวกรวมไปถึงคนในครอบครัวค่าเล่าเรียนบุตรค่าเช่าบ้าน ค่าอวัยวะเทียม ล่าสุดยังมีสิทธิ์เบิกค่านวด/นวดประคบ 250บาท/ครั้ง ค่าฝังเข็มอบสมุนไพรอีกต่างหาก
ระบบสวัสดิการของสังคมไทยสะท้อนโครงสร้างความเหลื่อมล้ำออกมาเป็นรูปธรรมเพราะที่ผ่านๆ มาประเทศนี้เป็นเรื่องของ ชนชั้นสูง คนรวยเก่า คนรวยใหม่ นักการเมือง และข้าราชการอันเป็นพวกชนชั้นนำคิดทำกันคนกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแต่ประชาชนคนทั่วไปซึ่งได้แก่พวก 1/คนทำงานและเข้าสู่กองทุนประกันสังคมราว 10 ล้านคน และ 2/ คนที่อยู่นอกระบบประกันสังคมอีกมากมายที่ต้องใช้สิทธิ์บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ระดับของสวัสดิการและการให้บริการของกองทุนประกันสังคมกับบัตรทองก็ยังแตกต่างกันอีก นี่เป็นความรู้สึกพื้นฐานของชาวบ้านเลย
ที่ผ่านๆ มารัฐบาลทั้งจากเลือกตั้งหรือรัฐประหารไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องสวัสดิการสังคมเท่าไรนักโดยเฉพาะประเด็นเรื่องกองทุนฯ จะมีโผล่มานิดหน่อยเช่นขยายฐานผู้ประกันจ่ายเองอันนี้ป่าวประโคมกันเอิกเกริกแต่ผลปัจจุบันมีคนที่แสดงตนเพื่อจ่ายประกันเองราว 1 ล้านคนเท่านั้น ถือว่ายังน้อยไปคิดดูสิแค่วินมอเตอร์ไซด์ กับแท็กซี่ รถตู้ก็เท่าไหร่แล้วในประเทศ
ปัญหาของระบบประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดคือโครงสร้างของประชากรไทยกำลังจะเป็นสังคมคนแก่ในอีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้าคนแก่จะท่วมประเทศเป็นประชากรกลุ่มใหญ่แต่เชื่อไหมครับคนในแวดวงกองทุนประกันสังคมเองก็ยอมรับว่าเมื่อถึงเวลานั้นกองทุนอาจจะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิเลี้ยงชีพคนชรา บำเหน็จ บำนาญทั้งๆ ที่เป็นเงินหยิบมือเดียวไม่พอยาไส้ให้กับคนแก่เกษียณอายุด้วยซ้ำ
กองทุนประกันสังคมบ้านเราเริ่มในยุคที่ประเทศยังยากจน ระดับค่าครองชีพต่ำเลยกำหนดเพดานสมทบสูงสุดไว้ที่เงินเดือน 15,000 บาทซึ่งตอนนั้นถือเป็นอัตราค่าจ้างที่สูงพอสมควรเงินเดือนปริญญาตรีห้าหกพันบาทเอง แต่ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 บาท/เดือนไปแล้วแต่กองทุนประกันสังคมยังมีเพดานอยู่ที่เดิม คนทำงานทำมาทั้งชีวิตเมื่อจะใช้สิทธิ์เบิกบำนาญต่อให้คุณมีเงินเดือน 4-5 หมื่นบาทแต่ระบบประกันสังคมจะตีให้แค่ร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายแค่ไม่เกิน 15,000 บาท
สรุปแล้วคนแก่ที่จะท่วมบ้านท่วมเมืองในอนาคต หากไม่ได้เป็นข้าราชการหรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่ก่อนจะได้บำนาญจากกองทุนที่ตัวเองสะสมมาทั้งชีวิตเดือนละราว 3 พันบาท จ่ายค่าแก๊ซหุงต้มลอยตัวที่บรรดาพะนะทั่นกำหนดก็แทบหมดกระเป๋าแล้ว
ถ้าคสช.หรือรัฐบาลใหม่คิดจะปฏิรูปสังคมไทยให้ลืมตาอ้าปากและจะยังประโยชน์ให้เกิดกับประชาชนส่วนใหญ่จริงๆ หยิบกองทุนประกันสังคมขึ้นมาพลิกดูเถอะครับ ปัจจุบันเรามีเงินในกองทุนนี้เยอะทีเดียวราว 1 ล้านล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่พอสำหรับปัญหาในอนาคตและหากจะมองลึกลงไปการบริหารกองทุนขนาดใหญ่มีช่องโหว่มากมายเช่นกำหนดว่าให้ตัดเงิน 10% มาเป็นค่าบริหาร แบบนี้ก็เปรมสิครับมีคนนินทาว่าผู้บริหารขยันไปดูงานต่างประเทศซะเหลือเกิน
ประเด็นสำคัญหากจะปรับปรุงปฏิรูประบบประกันสังคมให้ก้าวหน้าก็คือ หนึ่ง-ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร ใช้เงิน 1 ล้านล้านเป็นเงินต้นให้ได้ดอกผลมากที่สุดเต็มประสิทธิภาพเทียบกับเอกชนดูสิครับเงินต้นขนาดนี้ควรจะได้ดอกผลออกมาแค่ไหน สอง-เพิ่มสิทธิประโยชน์สวัสดิการให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต อย่างเพดานเงินที่จะหักสูงสุดที่คิดจากเงินเดือน 15,000 บาท/เดือนมันล้าสมัยมาก ในอีก 10 ปีข้างหน้าคนที่จะเกษียณอายุมากมายท่วมประเทศไปขอเบิกมายังชีพจะเกิดปัญหาแน่นอนหากกองทุนกำหนดเพดานเงินเดือนนี้จ่ายให้พวกเขา
ระเบียบเงื่อนไขของกองทุนประกันสังคมหลายอย่างยังลักลั่นไม่สอดคล้องกับความจริงเช่นกำหนดว่าหากคนที่เกษียณอายุ (55ปีและจ่ายครบ 150 เดือน) ต้องการจะรับเงินบำเหน็จชราภาพ ก็คือเงินก้อนจะต้องลาออกจากกองทุนประกันสังคมเสียก่อน อีแบบนี้คือการวางสนุ๊กไม่ให้ผู้คนเขาเบิกเงินก้อนมาเลี้ยงชีพนั่นเองเพราะหากต้องการใช้เงินก็ต้องลาออกจากกองทุน อ้าว! เจ็บป่วยออดแอดขึ้นมาต่อไปต้องควักจ่ายเองหมดเลย คนยิ่งแก่ตัวยิ่งต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยใช่ไหมครับ นี่ยกมาแค่เรื่องเดียว
สวัสดิการและการประกันสังคมเป็นสิ่งสะท้อนระดับการพัฒนาของประเทศและยังสะท้อนว่าพลังอำนาจที่สำคัญของสังคมอยู่ที่ประชาชนจริงหรือไม่ ประเทศที่เขาแคร์ประชาชนถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ต้องยิ่งจัดให้มีระบบที่ดีให้กับประชาชน ปัจจุบันระบบที่จัดให้อย่างดีมีแค่สิทธิสวัสดิการของข้าราชการเท่านั้นที่ทำโด่งสูงลิ่ว บ่งบอกว่าที่ผ่านๆ มาห้าหกสิบปีข้าราชการเป็นกลุ่มคนสำคัญของประเทศนี้....ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่.
กองทุนประกันสังคมเป็นเรื่องสำคัญละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องกับคน 1 ใน 6 ของประเทศทั้งยังเป็นคนที่มีแรงทำงาน ปัจจุบันมีผู้ประกันตนตามพรบ.กองทุนประกันสังคมประมาณ 10 ล้านคน ไม่น้อยนะครับมองในมิติการเมืองคนกลุ่มนี้จะเป็นฐานเสียงสำคัญให้พรรคการเมือง (และพรรคราชการหรือรวมทั้งพรรคทหาร?) สามารถมีอำนาจอยู่ยั้ง ยืนยง
ประกันสังคมเป็นระบบสวัสดิการชนิดหนึ่งที่บ้านเรายังพัลวันพัลเกอยู่ทั้งๆ ที่เริ่มมีมานานพอควร สวัสดิการแบ่งเป็นหลายชนชั้นอันได้แก่ชนชั้นเศรษฐีนักโกงเมืองเถ้าแก่ทั้งหลายซึ่งใช้ประกันสุขภาพประกันชีวิตของเอกชนเข้าโรงพยาบาลหรูที่คนจนไม่มีสิทธิ์ไปเหยียบ ชนชั้นลำดับต่อมาคือราชการซึ่งเป็นฐานพลังอำนาจสำคัญของสังคมไทยมายาวนานในนามของอำมาตยาธิปไตย สวัสดิการข้าราชการเบิกได้แทบหมดเผื่อแผ่บวกรวมไปถึงคนในครอบครัวค่าเล่าเรียนบุตรค่าเช่าบ้าน ค่าอวัยวะเทียม ล่าสุดยังมีสิทธิ์เบิกค่านวด/นวดประคบ 250บาท/ครั้ง ค่าฝังเข็มอบสมุนไพรอีกต่างหาก
ระบบสวัสดิการของสังคมไทยสะท้อนโครงสร้างความเหลื่อมล้ำออกมาเป็นรูปธรรมเพราะที่ผ่านๆ มาประเทศนี้เป็นเรื่องของ ชนชั้นสูง คนรวยเก่า คนรวยใหม่ นักการเมือง และข้าราชการอันเป็นพวกชนชั้นนำคิดทำกันคนกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแต่ประชาชนคนทั่วไปซึ่งได้แก่พวก 1/คนทำงานและเข้าสู่กองทุนประกันสังคมราว 10 ล้านคน และ 2/ คนที่อยู่นอกระบบประกันสังคมอีกมากมายที่ต้องใช้สิทธิ์บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ระดับของสวัสดิการและการให้บริการของกองทุนประกันสังคมกับบัตรทองก็ยังแตกต่างกันอีก นี่เป็นความรู้สึกพื้นฐานของชาวบ้านเลย
ที่ผ่านๆ มารัฐบาลทั้งจากเลือกตั้งหรือรัฐประหารไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องสวัสดิการสังคมเท่าไรนักโดยเฉพาะประเด็นเรื่องกองทุนฯ จะมีโผล่มานิดหน่อยเช่นขยายฐานผู้ประกันจ่ายเองอันนี้ป่าวประโคมกันเอิกเกริกแต่ผลปัจจุบันมีคนที่แสดงตนเพื่อจ่ายประกันเองราว 1 ล้านคนเท่านั้น ถือว่ายังน้อยไปคิดดูสิแค่วินมอเตอร์ไซด์ กับแท็กซี่ รถตู้ก็เท่าไหร่แล้วในประเทศ
ปัญหาของระบบประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดคือโครงสร้างของประชากรไทยกำลังจะเป็นสังคมคนแก่ในอีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้าคนแก่จะท่วมประเทศเป็นประชากรกลุ่มใหญ่แต่เชื่อไหมครับคนในแวดวงกองทุนประกันสังคมเองก็ยอมรับว่าเมื่อถึงเวลานั้นกองทุนอาจจะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิเลี้ยงชีพคนชรา บำเหน็จ บำนาญทั้งๆ ที่เป็นเงินหยิบมือเดียวไม่พอยาไส้ให้กับคนแก่เกษียณอายุด้วยซ้ำ
กองทุนประกันสังคมบ้านเราเริ่มในยุคที่ประเทศยังยากจน ระดับค่าครองชีพต่ำเลยกำหนดเพดานสมทบสูงสุดไว้ที่เงินเดือน 15,000 บาทซึ่งตอนนั้นถือเป็นอัตราค่าจ้างที่สูงพอสมควรเงินเดือนปริญญาตรีห้าหกพันบาทเอง แต่ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 บาท/เดือนไปแล้วแต่กองทุนประกันสังคมยังมีเพดานอยู่ที่เดิม คนทำงานทำมาทั้งชีวิตเมื่อจะใช้สิทธิ์เบิกบำนาญต่อให้คุณมีเงินเดือน 4-5 หมื่นบาทแต่ระบบประกันสังคมจะตีให้แค่ร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายแค่ไม่เกิน 15,000 บาท
สรุปแล้วคนแก่ที่จะท่วมบ้านท่วมเมืองในอนาคต หากไม่ได้เป็นข้าราชการหรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่ก่อนจะได้บำนาญจากกองทุนที่ตัวเองสะสมมาทั้งชีวิตเดือนละราว 3 พันบาท จ่ายค่าแก๊ซหุงต้มลอยตัวที่บรรดาพะนะทั่นกำหนดก็แทบหมดกระเป๋าแล้ว
ถ้าคสช.หรือรัฐบาลใหม่คิดจะปฏิรูปสังคมไทยให้ลืมตาอ้าปากและจะยังประโยชน์ให้เกิดกับประชาชนส่วนใหญ่จริงๆ หยิบกองทุนประกันสังคมขึ้นมาพลิกดูเถอะครับ ปัจจุบันเรามีเงินในกองทุนนี้เยอะทีเดียวราว 1 ล้านล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่พอสำหรับปัญหาในอนาคตและหากจะมองลึกลงไปการบริหารกองทุนขนาดใหญ่มีช่องโหว่มากมายเช่นกำหนดว่าให้ตัดเงิน 10% มาเป็นค่าบริหาร แบบนี้ก็เปรมสิครับมีคนนินทาว่าผู้บริหารขยันไปดูงานต่างประเทศซะเหลือเกิน
ประเด็นสำคัญหากจะปรับปรุงปฏิรูประบบประกันสังคมให้ก้าวหน้าก็คือ หนึ่ง-ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร ใช้เงิน 1 ล้านล้านเป็นเงินต้นให้ได้ดอกผลมากที่สุดเต็มประสิทธิภาพเทียบกับเอกชนดูสิครับเงินต้นขนาดนี้ควรจะได้ดอกผลออกมาแค่ไหน สอง-เพิ่มสิทธิประโยชน์สวัสดิการให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต อย่างเพดานเงินที่จะหักสูงสุดที่คิดจากเงินเดือน 15,000 บาท/เดือนมันล้าสมัยมาก ในอีก 10 ปีข้างหน้าคนที่จะเกษียณอายุมากมายท่วมประเทศไปขอเบิกมายังชีพจะเกิดปัญหาแน่นอนหากกองทุนกำหนดเพดานเงินเดือนนี้จ่ายให้พวกเขา
ระเบียบเงื่อนไขของกองทุนประกันสังคมหลายอย่างยังลักลั่นไม่สอดคล้องกับความจริงเช่นกำหนดว่าหากคนที่เกษียณอายุ (55ปีและจ่ายครบ 150 เดือน) ต้องการจะรับเงินบำเหน็จชราภาพ ก็คือเงินก้อนจะต้องลาออกจากกองทุนประกันสังคมเสียก่อน อีแบบนี้คือการวางสนุ๊กไม่ให้ผู้คนเขาเบิกเงินก้อนมาเลี้ยงชีพนั่นเองเพราะหากต้องการใช้เงินก็ต้องลาออกจากกองทุน อ้าว! เจ็บป่วยออดแอดขึ้นมาต่อไปต้องควักจ่ายเองหมดเลย คนยิ่งแก่ตัวยิ่งต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยใช่ไหมครับ นี่ยกมาแค่เรื่องเดียว
สวัสดิการและการประกันสังคมเป็นสิ่งสะท้อนระดับการพัฒนาของประเทศและยังสะท้อนว่าพลังอำนาจที่สำคัญของสังคมอยู่ที่ประชาชนจริงหรือไม่ ประเทศที่เขาแคร์ประชาชนถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ต้องยิ่งจัดให้มีระบบที่ดีให้กับประชาชน ปัจจุบันระบบที่จัดให้อย่างดีมีแค่สิทธิสวัสดิการของข้าราชการเท่านั้นที่ทำโด่งสูงลิ่ว บ่งบอกว่าที่ผ่านๆ มาห้าหกสิบปีข้าราชการเป็นกลุ่มคนสำคัญของประเทศนี้....ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่.