ประเทศนี้อาจจะยังไม่ก้าวพ้นจากหล่มโคลนการเมืองแบบสวิงสองขั้วรัฐประหารสลับกับเผด็จการรัฐสภาหากประเทศไทยยังมีประชาชนแบบสาวกสุดติ่งไม่ลืมหูลืมตาจำนวนมากจนเป็นกระแสหลัก
คนที่อวยทหารก็อวยกันอย่างจริงจัง ใครแตะต้องวิจารณ์อะไรไม่ได้พวกออกมาแก้ต่างให้ไม่ให้มีด่างพร้อย อาการแบบนี้แหละที่จะทำให้พี่ทหารเหลิงถ้าคุมกันไม่ดีจะมีจุดจบในบั้นปลายไม่สวยตามแบบรุ่นพี่หลายๆ ครั้งก่อนหน้า
ส่วนสาวกการเมืองก็หลับหูหลับตาเชียร์และเชื่อตามที่ใจอยากเชื่อ คนเรานั้นหนีการเมืองไม่ได้ขึ้นกับจะวางตัวเองให้เกี่ยวข้องกับการเมืองแบบไหน พวกที่เข้าใจว่าการเมืองคือทีมฟุตบอลส่วนประชาชนคือ FC แฟนคลับ ทีมรักจะเตะไข่ของเพื่อน จะออฟไซด์หรือกระทั่งกระโดดถีบคู่แข่งฝ่ายตรงกันข้ามก็ไม่เป็นไรเชียร์อยู่นั่น
แฟนคลับแบบนี้มีผลสำคัญทำให้ทีมรักตกชั้นในบั้นปลายเช่นกัน
อย่างตอนที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลใหม่ๆ แฟนคลับตัวดีแห่ไปไล่ถล่มเวทีประชาธิปัตย์ ตำรวจก็หลิ่วตาเป็นใจพร้อมใจทำอะไรบ้าๆ ใช้อำนาจบิดเบือนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าของพรรคสำคัญผิด เหิมเกริมออกกฎหมายนิรโทษลักหลับ ทำพรบ.กู้เงิน ทำโน่นนี่อย่างย่ามใจ แทนที่แฟนคลับจะท้วงติงก็ปล่อยเฉย นักวิชาการนักก้าวหน้าอะไรพวกนี้เองก็เหมือนกันวางเฉยกับเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้น
อะไรที่มันสุดโต่งไปข้างหนึ่งพอถึงจุดก็จะพลิกกลับมาสุดโต่งสุดขั้วอีกด้านเช่นกัน
ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่แต่ละคนท่องปาวๆ ไม่เอารัฐประหารเที่ยวซอกแซกชูสามนิ้วไปทั่วเมื่อมันสายไปแล้ว
ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยมีวันนี้ก็เพราะมวลชนสนับสนุนที่ไม่ตั้งมั่นในความถูกต้อง เอาแค่ถูกใจสะใจ ทำผิดไม่เป็นไร รัฐบาลทำไม่ถูกก็ปิดปากเงียบไม่วิจารณ์ดุด่านี่เอง
มาถึงตอนนี้สถานการณ์ก็เริ่มจะย้อนกลับ ติ่งทหารจ๋าจำนวนหนึ่งออกมาสนับสนุนจนเลยเถิด อันการสนับสนุนเห็นด้วยกับที่ทำดีไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ก็ต้องมีระดับความพอดี ถ้ามีคนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานที่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง เช่นเรื่องพลังงานจะยุบไม่ยุบกองทุนพลังงานดี เช่นเรื่องกระจายอำนาจมีคนทวงถามทหารไม่ออกหน้าทำหรือ เอ๊ะหรือจะปล่อยให้ไปเถียงกันในสภาปฏิรูปทหารลอยตัวฯลฯ เหล่านี้เป็นคำวิจารณ์ปกติต้องปล่อยให้มีได้
บางคนอวยขนาดบอกว่าทหารรัฐประหารแล้วการบริหารบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้นมา
แหมๆ รัฐประหารฉีกกฎหมายมีอำนาจเต็มแบบนี้ศัพท์วิชาการเรียก “เผด็จการ” ครับ และอำนาจเดี่ยวที่มีเต็มลักษณะนี้มันไม่มีทางจะก่อเกิดเป็นประชาธิปไตยได้หรอก สิ่งที่คนอยากเห็นภายใต้ระยะเปลี่ยนผ่านตรงนี้ก็คือขอให้คณะทหารเป็นเผด็จการที่มีคุณธรรม เป็นเผด็จการที่ดีให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงวันส่งคืนอำนาจเป็นใช้ได้แล้ว
อย่าดีแตก... แตกเมื่อไหร่บ้านเมืองพลิกกลับลงเหวทันที
ประเทศนี้ใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” แบบฟรุ้งฟริ้งจนเฟ้อ...เอะอะก็ประชาธิปไตยๆ รกรุงรัง จำได้ตอนเสื้อแดงเชียงใหม่ห้าวๆ วันๆ ยกพวกไปล้อมคนโน้นคนนี้ พวกก็ประกาศผ่านวิทยุชุมชนขอเชิญคนรักประชาธิปไตยไปปิดล้อมไล่เขาว่ะ....ประชาธิปไตยอะไรของมัน ?
ทหารเข้ามาตอนนี้เพราะบ้านเมืองถึงทางตัน ครับทราบครับ เข้าใจดีถึงเหตุผลปัจจัยแล้วทหารเข้ามาก็ดีที่ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยขึ้น ไม่มีการไล่ฆ่ากัน ไอ้พวกรักประชาธิปไตยที่สะสมอาวุธไล่ยิงคนอื่นถูกจับนี่ก็ดี แล้วจากนั้นจะพยายามรักษาประเทศฟื้นฟูให้กลับคืนมาขนาดที่บอกว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีกว่าเดิม ส่วนดีก็มีแต่ขอไม่พูดตอนนี้พูดเรื่องอื่นที่มีประโยชน์กว่า (ประเดี๋ยว ท.ทหาร FC จะว่าหาเรื่องด่าอย่างเดียว)
ผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ด้วยการกำจัดระบอบทักษิณออกไป ...นั่นมันแค่วาทกรรมของกำนันเค้า ที่จริงแต่ละฝ่ายมีมุมมองปัญหาของระบอบประชาธิปไตยที่ต่างออกไป ฝ่ายแดง 112 ชี้ไปว่าปัญหามาจากสถาบันชั้นสูง แดงนักการเมืองบอกว่าอำมาตย์และเครือข่าย ฝ่ายไม่ชอบทักษิณบอกว่ามาจากทุนสามานย์นักการเมืองเมื่อก่อนผมเองก็เชื่อแบบนี้โดยเฉพาะปัญหามาจากทุนสามานย์
แต่พอมาได้ทบทวนดูตัวผมเองเริ่มเปลี่ยนมาเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่คนไทยต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักจริงๆ ของตัวปัญหา
เรื่องแรกคือ นิยามความเข้าใจต่อประชาธิปไตย สังคมถูกสั่งสอนว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจของประชาธิปไตยมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ความคิดนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ รื้อทิ้งความคิดเรื่องเปลือกประชาธิปไตยออกไปแล้วสร้างแก่นแกนที่ถูกต้องเข้าไปแทนที่
สังคมโลกยุคนี้ยกย่องว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ “เลวน้อยสุด” เหมาะสมกับสภาพสังคมโลกยุคใหม่ นั่นเพราะมันออกแบบมาให้มีหลักประกันให้เกิด “การปกครองที่เป็นธรรม” ในระยะยาว
ลึกลงไปจากชั้นของคำว่าประชาธิปไตย คือสิ่งที่เรียกว่าการปกครองที่เป็นธรรม !
ตรงนี้แหละครับคือหัวใจ ถ้าคนจำนวนมากไม่เข้าใจก็จะยังบูชาลัทธิเลือกตั้งเชิดชูบูชาเปลือกกันต่อไป
เรื่องต่อมาก็คือหัวข้อที่เริ่มเขียนมาแต่บรรทัดแรกประชาชนต้องเป็นตัวของตัวเอง ถูกเป็นถูกผิดเป็นผิด ปรัชญาประชาธิปไตยสร้างขึ้นบนรากฐานความคิดอิสรเสรีและปัจเจกนิยม
ความเป็นตัวของตัวเอง/ ความรักตัวเอง / ความรู้สึกว่านี่คืออำนาจของฉันนะ เป็นสำคัญ
ดังนั้นคนแบบนี้จะหวงแหนอำนาจที่ยกให้ตัวแทนไปใช้ ถ้าตัวแทนทำไม่ดีเจ้าของอำนาจตัวจริงจะออกปากทักท้วงหรือไม่ก็ทวงคืนกลับมาเลย
ผมมองไม่เห็นว่าสังคมที่เจ้าของอำนาจบอกว่าท่านเอาไปเถอะอำนาจของฉัน ไปปู้ยี่ปู้ยำเช่นไรก็ได้
ถ้าประชาชนจำนวนมากยังแบ่งเป็นสองขั้วสองกระแส คอยเชียร์พวกตัวเองทำถูกหมดใครแตะต้องไม่ได้แล้วอีกฝ่ายยังไงก็เลวหมด ประเทศนี้ไม่ไปไหน
พอทหารลงเชื่อเหอะเผด็จการรัฐสภาก็จะมาแทนที่ วนกลับไปวังวนเก่า (เหมือนเดิม)
ทหารพยายามแก้ปัญหาโดยใช้คำว่าสลายสีเสื้ออยู่ โอเคครับ เชียร์ให้สำเร็จ แต่หากจะให้สำเร็จจริงๆ ทหารต้องปรามๆ บรรดา FC สุดติ่งกองอวยทั้งหลายให้เพลาๆ ลงบ้าง นี่แหละคือการเริ่มต้นสลายสีเสื้อที่ดีครับ
จึงเรียนมาด้วยความนับถือและโปรดพิจารณาดำเนินการตามที่ท่านเห็นสมควร !!!
คนที่อวยทหารก็อวยกันอย่างจริงจัง ใครแตะต้องวิจารณ์อะไรไม่ได้พวกออกมาแก้ต่างให้ไม่ให้มีด่างพร้อย อาการแบบนี้แหละที่จะทำให้พี่ทหารเหลิงถ้าคุมกันไม่ดีจะมีจุดจบในบั้นปลายไม่สวยตามแบบรุ่นพี่หลายๆ ครั้งก่อนหน้า
ส่วนสาวกการเมืองก็หลับหูหลับตาเชียร์และเชื่อตามที่ใจอยากเชื่อ คนเรานั้นหนีการเมืองไม่ได้ขึ้นกับจะวางตัวเองให้เกี่ยวข้องกับการเมืองแบบไหน พวกที่เข้าใจว่าการเมืองคือทีมฟุตบอลส่วนประชาชนคือ FC แฟนคลับ ทีมรักจะเตะไข่ของเพื่อน จะออฟไซด์หรือกระทั่งกระโดดถีบคู่แข่งฝ่ายตรงกันข้ามก็ไม่เป็นไรเชียร์อยู่นั่น
แฟนคลับแบบนี้มีผลสำคัญทำให้ทีมรักตกชั้นในบั้นปลายเช่นกัน
อย่างตอนที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลใหม่ๆ แฟนคลับตัวดีแห่ไปไล่ถล่มเวทีประชาธิปัตย์ ตำรวจก็หลิ่วตาเป็นใจพร้อมใจทำอะไรบ้าๆ ใช้อำนาจบิดเบือนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าของพรรคสำคัญผิด เหิมเกริมออกกฎหมายนิรโทษลักหลับ ทำพรบ.กู้เงิน ทำโน่นนี่อย่างย่ามใจ แทนที่แฟนคลับจะท้วงติงก็ปล่อยเฉย นักวิชาการนักก้าวหน้าอะไรพวกนี้เองก็เหมือนกันวางเฉยกับเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้น
อะไรที่มันสุดโต่งไปข้างหนึ่งพอถึงจุดก็จะพลิกกลับมาสุดโต่งสุดขั้วอีกด้านเช่นกัน
ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่แต่ละคนท่องปาวๆ ไม่เอารัฐประหารเที่ยวซอกแซกชูสามนิ้วไปทั่วเมื่อมันสายไปแล้ว
ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยมีวันนี้ก็เพราะมวลชนสนับสนุนที่ไม่ตั้งมั่นในความถูกต้อง เอาแค่ถูกใจสะใจ ทำผิดไม่เป็นไร รัฐบาลทำไม่ถูกก็ปิดปากเงียบไม่วิจารณ์ดุด่านี่เอง
มาถึงตอนนี้สถานการณ์ก็เริ่มจะย้อนกลับ ติ่งทหารจ๋าจำนวนหนึ่งออกมาสนับสนุนจนเลยเถิด อันการสนับสนุนเห็นด้วยกับที่ทำดีไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ก็ต้องมีระดับความพอดี ถ้ามีคนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานที่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง เช่นเรื่องพลังงานจะยุบไม่ยุบกองทุนพลังงานดี เช่นเรื่องกระจายอำนาจมีคนทวงถามทหารไม่ออกหน้าทำหรือ เอ๊ะหรือจะปล่อยให้ไปเถียงกันในสภาปฏิรูปทหารลอยตัวฯลฯ เหล่านี้เป็นคำวิจารณ์ปกติต้องปล่อยให้มีได้
บางคนอวยขนาดบอกว่าทหารรัฐประหารแล้วการบริหารบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้นมา
แหมๆ รัฐประหารฉีกกฎหมายมีอำนาจเต็มแบบนี้ศัพท์วิชาการเรียก “เผด็จการ” ครับ และอำนาจเดี่ยวที่มีเต็มลักษณะนี้มันไม่มีทางจะก่อเกิดเป็นประชาธิปไตยได้หรอก สิ่งที่คนอยากเห็นภายใต้ระยะเปลี่ยนผ่านตรงนี้ก็คือขอให้คณะทหารเป็นเผด็จการที่มีคุณธรรม เป็นเผด็จการที่ดีให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงวันส่งคืนอำนาจเป็นใช้ได้แล้ว
อย่าดีแตก... แตกเมื่อไหร่บ้านเมืองพลิกกลับลงเหวทันที
ประเทศนี้ใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” แบบฟรุ้งฟริ้งจนเฟ้อ...เอะอะก็ประชาธิปไตยๆ รกรุงรัง จำได้ตอนเสื้อแดงเชียงใหม่ห้าวๆ วันๆ ยกพวกไปล้อมคนโน้นคนนี้ พวกก็ประกาศผ่านวิทยุชุมชนขอเชิญคนรักประชาธิปไตยไปปิดล้อมไล่เขาว่ะ....ประชาธิปไตยอะไรของมัน ?
ทหารเข้ามาตอนนี้เพราะบ้านเมืองถึงทางตัน ครับทราบครับ เข้าใจดีถึงเหตุผลปัจจัยแล้วทหารเข้ามาก็ดีที่ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยขึ้น ไม่มีการไล่ฆ่ากัน ไอ้พวกรักประชาธิปไตยที่สะสมอาวุธไล่ยิงคนอื่นถูกจับนี่ก็ดี แล้วจากนั้นจะพยายามรักษาประเทศฟื้นฟูให้กลับคืนมาขนาดที่บอกว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีกว่าเดิม ส่วนดีก็มีแต่ขอไม่พูดตอนนี้พูดเรื่องอื่นที่มีประโยชน์กว่า (ประเดี๋ยว ท.ทหาร FC จะว่าหาเรื่องด่าอย่างเดียว)
ผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ด้วยการกำจัดระบอบทักษิณออกไป ...นั่นมันแค่วาทกรรมของกำนันเค้า ที่จริงแต่ละฝ่ายมีมุมมองปัญหาของระบอบประชาธิปไตยที่ต่างออกไป ฝ่ายแดง 112 ชี้ไปว่าปัญหามาจากสถาบันชั้นสูง แดงนักการเมืองบอกว่าอำมาตย์และเครือข่าย ฝ่ายไม่ชอบทักษิณบอกว่ามาจากทุนสามานย์นักการเมืองเมื่อก่อนผมเองก็เชื่อแบบนี้โดยเฉพาะปัญหามาจากทุนสามานย์
แต่พอมาได้ทบทวนดูตัวผมเองเริ่มเปลี่ยนมาเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่คนไทยต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักจริงๆ ของตัวปัญหา
เรื่องแรกคือ นิยามความเข้าใจต่อประชาธิปไตย สังคมถูกสั่งสอนว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจของประชาธิปไตยมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ความคิดนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ รื้อทิ้งความคิดเรื่องเปลือกประชาธิปไตยออกไปแล้วสร้างแก่นแกนที่ถูกต้องเข้าไปแทนที่
สังคมโลกยุคนี้ยกย่องว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ “เลวน้อยสุด” เหมาะสมกับสภาพสังคมโลกยุคใหม่ นั่นเพราะมันออกแบบมาให้มีหลักประกันให้เกิด “การปกครองที่เป็นธรรม” ในระยะยาว
ลึกลงไปจากชั้นของคำว่าประชาธิปไตย คือสิ่งที่เรียกว่าการปกครองที่เป็นธรรม !
ตรงนี้แหละครับคือหัวใจ ถ้าคนจำนวนมากไม่เข้าใจก็จะยังบูชาลัทธิเลือกตั้งเชิดชูบูชาเปลือกกันต่อไป
เรื่องต่อมาก็คือหัวข้อที่เริ่มเขียนมาแต่บรรทัดแรกประชาชนต้องเป็นตัวของตัวเอง ถูกเป็นถูกผิดเป็นผิด ปรัชญาประชาธิปไตยสร้างขึ้นบนรากฐานความคิดอิสรเสรีและปัจเจกนิยม
ความเป็นตัวของตัวเอง/ ความรักตัวเอง / ความรู้สึกว่านี่คืออำนาจของฉันนะ เป็นสำคัญ
ดังนั้นคนแบบนี้จะหวงแหนอำนาจที่ยกให้ตัวแทนไปใช้ ถ้าตัวแทนทำไม่ดีเจ้าของอำนาจตัวจริงจะออกปากทักท้วงหรือไม่ก็ทวงคืนกลับมาเลย
ผมมองไม่เห็นว่าสังคมที่เจ้าของอำนาจบอกว่าท่านเอาไปเถอะอำนาจของฉัน ไปปู้ยี่ปู้ยำเช่นไรก็ได้
ถ้าประชาชนจำนวนมากยังแบ่งเป็นสองขั้วสองกระแส คอยเชียร์พวกตัวเองทำถูกหมดใครแตะต้องไม่ได้แล้วอีกฝ่ายยังไงก็เลวหมด ประเทศนี้ไม่ไปไหน
พอทหารลงเชื่อเหอะเผด็จการรัฐสภาก็จะมาแทนที่ วนกลับไปวังวนเก่า (เหมือนเดิม)
ทหารพยายามแก้ปัญหาโดยใช้คำว่าสลายสีเสื้ออยู่ โอเคครับ เชียร์ให้สำเร็จ แต่หากจะให้สำเร็จจริงๆ ทหารต้องปรามๆ บรรดา FC สุดติ่งกองอวยทั้งหลายให้เพลาๆ ลงบ้าง นี่แหละคือการเริ่มต้นสลายสีเสื้อที่ดีครับ
จึงเรียนมาด้วยความนับถือและโปรดพิจารณาดำเนินการตามที่ท่านเห็นสมควร !!!