การยกสามนิ้วชูขึ้นเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหารเริ่มเป็นที่พูดถึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วก็ขยายไปเร็วท่าทางจะเป็นแฟชั่นของฝ่ายต่อต้านต่อไปอีกสักระยะ
ที่จริงการชูสามนิ้วมีมานานแล้วในหลายๆ สังคมวัฒนธรรมมีความหมายที่แตกต่างกันไป ลูกเสือก็ชูสามนิ้ว พวกยุโรปตะวันออกก็ยกสามนิ้วชูขึ้นมาเวลาสบถสาบาน บางวัฒนธรรมหมายถึงการยกย่องเชิดชู ลองไปหาดูครับ Three Finger Salute ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่องราวมากมายกว่าที่คาด
ส่วนสัญลักษณ์การชูสามนิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลที่กำลังเป็นกระแสเคลื่อนไหวในโลกใบจริงระยะนี้มีทั้งแบบที่อยู่ในภาพยนตร์และมีทั้งแบบที่มีอยู่บนท้องถนนจริง
ในยูเครนผู้ประท้วงในขบวนการสนับสนุนให้ประเทศเข้าร่วมกับ EU ซึ่งสหรัฐอเมริกาแอบหนุนหลังก็ใช้สัญลักษณ์สามนิ้วชูแบบนี้เลยสีเหลืองบนพื้นธงสีฟ้า แต่ของเขาไม่ได้เลียนมาจากภาพยนตร์แค่แฟชั่นลอยๆ เพราะสัญลักษณ์สามนิ้วที่เขามีที่มาจากประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตราอาร์มสัญลักษณ์ของยูเครนที่เรียกว่า Tryzub คือเครื่องหมายสามแฉกคล้ายตรีสูรย์สีเหลืองบนพื้นฟ้าแล้วเหล่าผู้ประท้วงก็ประยุกต์เอามาปรับเปลี่ยน Tryzub เป็น Three Fingers แทน
ส่วนการใช้สามนิ้วแบบไทยๆ ไม่เกี่ยวกับรากเหง้าความเชื่อใดๆ เพราะเอามาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Hunger Games ซึ่งได้รับความนิยมทำออกฉายไตรภาคเป็นเรื่องราวแฟนตาซีของสังคมที่อยู่ใต้อุ้งมือเผด็จการเบ็ดเสร็จ ผู้คนอยู่ภายใต้ความกลัวไม่กล้าแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกอะไร สัญลักษณ์ที่พวกเขาใช้คือสามนิ้วยกชูขึ้น แสดงอารมณ์ความรู้สึกด้านบวกหมายถึง Thanks, admiration, and good bye แต่โดยรวมแปลว่าฉันกล้าผงาดยืนแสดงตนเป็นคนละพวกกับผู้ปกครองนะ แล้วมักจะถูกเผด็จการยิงทิ้งไปซะทันทีที่ยกชู
นี่เป็นสัญลักษณ์ที่เอามาจากภาพยนตร์ ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะหน้ากากขาวเขาก็หยิบมาเล่นไปรอบแล้ว มาถึงรอบนี้ชาวคณะจุดเทียนเขียนโลโก้เบนซ์จะหยิบมาเล่นบ้างจะเป็นไรไป เพราะที่สุดแล้วสัญลักษณ์การแสดงออกด้วยท่าทางก็คือ “ภาษา” สื่อสารชนิดหนึ่ง
ส่วนจะติดหรือไม่ติดขึ้นกับ = การนิยาม+ความนิยม+ผลสะเทือน
การนิยาม หมายถึง ยกขึ้นมาแล้วคนสามารถรับรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่หากเกิดมีคนฉลาดน้อยไปยกสามนิ้วแล้วถูกคนถามว่าหมายถึงอะไร คนนี้ตอบอย่าง คนโน้นตอบอย่าง ความหมายของสัญลักษณ์ที่จะสื่อสารก็จะพร่ามัวไป
ความนิยม หมายถึง ทำแล้วได้รับการตอบสนองมีกระแสทำตามกว้างขวาง สมมติถ้ามีคนเสนอว่าให้ตีลังกายกตีนขึ้นชูเพื่อต่อต้านรัฐประหาร ความนิยมคงน้อยเพราะมีผู้ทำตามไม่มาก กระแสไม่เกิด แต่การชูนิ้วมันง่ายไม่ต้องซื้อหาเหมือนนกหวีด อยู่ดีๆ ก็ยกขึ้นชูเลยทำได้ง่ายแถมมีเรื่องราวของภาพยนตร์มาหนุนหลังก็จะทำให้ง่ายขึ้น
ผลสะเทือน หมายถึง อาการตอบสนองของสัญลักษณ์ดังกล่าว อย่างในหนัง Hunger Games พอยกขึ้นมาชูใส่พวกผู้ปกครอง ปฏิกิริยาของทหารในหนังต่อคนที่ยก3นิ้วชูก็คือเอาปืนส่องให้ตัวมันเป็นรูซะ แต่สมมติหากว่าอุตส่าห์ยกนิ้วชูขึ้นแล้วสังคมโดยรวมยังเห็นเฉยๆ หรือบ้างก็ถามขึ้นว่าคนพวกมันเล่นลูกเสืออัลไล ? แบบนี้มุกแป้ก สังคมไม่เก็ต หรือหากยกขึ้นแล้วคุณพี่ทหารอมยิ้มส่ายหน้าไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร หรือเกิดทหารเข้าแถวถ่ายรูปชูสามนิ้วให้ผู้คนช่วงชิงการนิยามความหมายมาเป็นของตัวเองอีแบบนี้ก็มุกแป้กเช่นกัน ดังนั้นผลสะเทือนของการใช้สัญลักษณ์ในสถานการณ์จริงก็มีผลเช่นกัน...หากทำไปแล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไรทำไปก็เหนื่อยเปล่าต้องหามุกใหม่มาอีก
บอกตามตรงนะ ผมนั้นโดยส่วนตัวไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการคิดค้นสัญลักษณ์สามนิ้วนี้ คิดว่าอือ...ก็เป็นแก๊กประดับละครการเมืองอีกฉาก เกิดมีรัฐประหารแล้วไม่มีความไม่พอใจไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเสียเลยคงเป็นไปไม่ได้ คำถามที่น่าสนใจมากกว่าก็คือปฏิกิริยาต่อต้านที่เป็นเหมือนธารสายเล็กหยดน้ำน้อยๆ เหล่านี้จะรวมเป็นกระแสมหาสาครใหญ่ได้หรือไม่? ได้อย่างไร? ได้เมื่อไหร่? มากกว่า
บทบาทท่าทีของทหารบวกกับคณะรัฐบาลที่กำลังจะตั้งขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญชี้วัดว่าจะเกิดกระแสต่อต้านใหญ่ได้หรือไม่ เพราะธรรมชาติของการทำงานอย่างไรเสียต้องตัดสินใจให้คุณให้โทษ มีคนชอบมีคนไม่ชอบ ยิ่งบริหารนานไปก็จะสะสมแต้มบวกและลบมากขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเกิดทำดีมากๆ แบบที่ทำได้เกินคาดแต้มบวกก็เยอะเป็นดีไป แต่หากเกิดพลาดขึ้นมาแต้มลบเยอะ กระแสต่อต้านก็จะเข้มแข็งตาม ยิ่งหากทำเรื่องไม่เข้าท่าเช่นปิดเฟซบุ้คเชื่อเหอะคนเต็มถนนภายในครึ่งวัน
แต่หากคสช.วางแผนปล่อยของเป็นจังหวะ 3 เดือน 5 เดือนปล่อยหมัดหนักๆ เข้าเป้าเรียกเสียงปรบมือได้ต่อเนื่องคสช.ก็จะรักษาพลังหนุนไว้ได้ต่อ ...เหล่านี้เป็นเรื่องของคสช.เองว่าจะเลือกเดินแบบไหน เพราะดูท่าทีของอีกฝ่ายจากตอนนี้แกนนำใหญ่น้อยแกนนำกลางแม้กระทั่งนายใหญ่ต่างแดนยังกระเจิดกระเจิงหนียะญ่ายพ่ายจะแจอยู่เลย ม็อบใหญ่ต้องใช้เงินใช้พลังทรัพยากรและบุคลากรมาก คสช.จึงพุ่งเป้าไปที่เรื่องเหล่านี้ในระยะแรกอย่างที่เห็น
สามนิ้วจึงยังเป็นแค่สีสันแต้มบรรยากาศกฎอัยการศึกระยะสองสัปดาห์แรก สีสันแต่งแต้มแปลตรงตัวอยู่แล้วไม่ต้องอธิบายเพิ่ม
สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าขบวนการสามนิ้วก็คือประเทศไทยของเราจะขยับหลุดจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่วนเวียน-เวียนวนไม่ไปไหนมาแปดสิบกว่าปี ย้อนไปดูสิครับเวลาส่วนใหญ่ในแปดสิบกว่าปีมานี้ถ้าไม่สวิงไปทางเผด็จการรัฐสภาทรราชจากเลือกตั้งก็สวิงไปทางเผด็จการทหาร การรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญ
ประเดี๋ยวไปทางนี้ที ไปทางโน้นที แต่โดยรวมไม่ไปไหน !
คิดๆ แล้วการที่สังคมไทยมาอยู่ตรงจุดนี้ในวันนี้...อย่าโทษพล.อ.ประยุทธ์ โทษกำนันสุเทพ โทษทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ หรือโทษนักการเมืองเลยครับ นั่นมันแค่ปัจจัยประกอบ
โทษตัวของเราเอง !! โทษคนไทยนี่แหละ ตัวผมเองด้วยเอ้า..ล้วนแต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศของเราไม่ไปไหน !
เราเกิดมีเผด็จการรัฐสภาขึ้นได้เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยหนุนหลัง ยอมให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ขอให้ฝ่ายตัวเองชนะเป็นพอ ผิดถูกไม่สนใจ
เรามีรัฐประหารต้องฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยขอเพียงอย่างเดียวขอล้มทักษิณ อุตส่าห์เดินทางไกล...เดินผ่านทางออกจุดแล้วจุดเล่าที่ไม่ยอมออกลากไปเรื่อยจนถึงทางตัน
ถ้าคนไทยจำนวนมากยังขอเป็นแค่ “ติ่งการเมือง” ขอตามแห่ผู้นำของตัวแล้วแต่จะพาขึ้นเขาลงห้วยทำเลอะเทอะอย่างไรก็ยอม (แก้ตัวให้อีกต่างหาก) เมื่อนั้นเราก็จะยังอยู่ในวังวนของลูกตุ้มนาฬิกาที่สวิงไปทางเผด็จการรัฐสภาแล้วก็วกกลับมาที่รัฐประหารอีกทีอยู่ร่ำไป
ก็ได้แต่หวังว่าถึงการเลือกครั้งหน้าจะมีคนไทยจำนวนมากพอที่เชื่อมั่นในจุดยืนและลำแข้งตัวเอง ถ้าจะเป็นติ่งก็เป็นติ่งของตัวเองไม่เป็นขบวนแห่ของใครกลุ่มใด ต่อให้เราเลือกมาแต่หากทำผิดก็ต้องลงโทษ ถ้าเดินนำไปไม่ถูกทิศก็กล้าพอที่จะหยุดไม่เดินตาม
การยกสามนิ้วขึ้นชูก็เหมือนกัน ถ้ายกขึ้นมาตามประสาติ่งแกนนำบอกว่าให้ยกแบบนี้นะ มันก็จะเป็นแค่พิธีกรรมบอกบทลิ่วล้อให้สู้แทนนาย ล้มทหารเอาเผด็จการรัฐสภากลับมา
แต่ถ้ายกชูด้วยเข้าใจว่าประเทศไทยหลังจากนี้เป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของกำหนดทิศทางเองเป็นหลักไม่ใช่พรรคการเมืองนักการเมืองทหารข้าราชการมาหลอกล่อให้เดิน เอาเถอะครับท่านยกเถอะ มันเป็นสิทธิที่ท่านเลือกได้ สิทธิเป็นของท่าน ความเสี่ยงก็เป็นของท่าน ท่านเลือกเอง
ยกสามนิ้วแบบติ่ง กับยกแบบตัวของตัวเองก็ยังต่างกันเลย.
ที่จริงการชูสามนิ้วมีมานานแล้วในหลายๆ สังคมวัฒนธรรมมีความหมายที่แตกต่างกันไป ลูกเสือก็ชูสามนิ้ว พวกยุโรปตะวันออกก็ยกสามนิ้วชูขึ้นมาเวลาสบถสาบาน บางวัฒนธรรมหมายถึงการยกย่องเชิดชู ลองไปหาดูครับ Three Finger Salute ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่องราวมากมายกว่าที่คาด
ส่วนสัญลักษณ์การชูสามนิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลที่กำลังเป็นกระแสเคลื่อนไหวในโลกใบจริงระยะนี้มีทั้งแบบที่อยู่ในภาพยนตร์และมีทั้งแบบที่มีอยู่บนท้องถนนจริง
ในยูเครนผู้ประท้วงในขบวนการสนับสนุนให้ประเทศเข้าร่วมกับ EU ซึ่งสหรัฐอเมริกาแอบหนุนหลังก็ใช้สัญลักษณ์สามนิ้วชูแบบนี้เลยสีเหลืองบนพื้นธงสีฟ้า แต่ของเขาไม่ได้เลียนมาจากภาพยนตร์แค่แฟชั่นลอยๆ เพราะสัญลักษณ์สามนิ้วที่เขามีที่มาจากประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตราอาร์มสัญลักษณ์ของยูเครนที่เรียกว่า Tryzub คือเครื่องหมายสามแฉกคล้ายตรีสูรย์สีเหลืองบนพื้นฟ้าแล้วเหล่าผู้ประท้วงก็ประยุกต์เอามาปรับเปลี่ยน Tryzub เป็น Three Fingers แทน
ส่วนการใช้สามนิ้วแบบไทยๆ ไม่เกี่ยวกับรากเหง้าความเชื่อใดๆ เพราะเอามาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Hunger Games ซึ่งได้รับความนิยมทำออกฉายไตรภาคเป็นเรื่องราวแฟนตาซีของสังคมที่อยู่ใต้อุ้งมือเผด็จการเบ็ดเสร็จ ผู้คนอยู่ภายใต้ความกลัวไม่กล้าแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกอะไร สัญลักษณ์ที่พวกเขาใช้คือสามนิ้วยกชูขึ้น แสดงอารมณ์ความรู้สึกด้านบวกหมายถึง Thanks, admiration, and good bye แต่โดยรวมแปลว่าฉันกล้าผงาดยืนแสดงตนเป็นคนละพวกกับผู้ปกครองนะ แล้วมักจะถูกเผด็จการยิงทิ้งไปซะทันทีที่ยกชู
นี่เป็นสัญลักษณ์ที่เอามาจากภาพยนตร์ ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะหน้ากากขาวเขาก็หยิบมาเล่นไปรอบแล้ว มาถึงรอบนี้ชาวคณะจุดเทียนเขียนโลโก้เบนซ์จะหยิบมาเล่นบ้างจะเป็นไรไป เพราะที่สุดแล้วสัญลักษณ์การแสดงออกด้วยท่าทางก็คือ “ภาษา” สื่อสารชนิดหนึ่ง
ส่วนจะติดหรือไม่ติดขึ้นกับ = การนิยาม+ความนิยม+ผลสะเทือน
การนิยาม หมายถึง ยกขึ้นมาแล้วคนสามารถรับรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่หากเกิดมีคนฉลาดน้อยไปยกสามนิ้วแล้วถูกคนถามว่าหมายถึงอะไร คนนี้ตอบอย่าง คนโน้นตอบอย่าง ความหมายของสัญลักษณ์ที่จะสื่อสารก็จะพร่ามัวไป
ความนิยม หมายถึง ทำแล้วได้รับการตอบสนองมีกระแสทำตามกว้างขวาง สมมติถ้ามีคนเสนอว่าให้ตีลังกายกตีนขึ้นชูเพื่อต่อต้านรัฐประหาร ความนิยมคงน้อยเพราะมีผู้ทำตามไม่มาก กระแสไม่เกิด แต่การชูนิ้วมันง่ายไม่ต้องซื้อหาเหมือนนกหวีด อยู่ดีๆ ก็ยกขึ้นชูเลยทำได้ง่ายแถมมีเรื่องราวของภาพยนตร์มาหนุนหลังก็จะทำให้ง่ายขึ้น
ผลสะเทือน หมายถึง อาการตอบสนองของสัญลักษณ์ดังกล่าว อย่างในหนัง Hunger Games พอยกขึ้นมาชูใส่พวกผู้ปกครอง ปฏิกิริยาของทหารในหนังต่อคนที่ยก3นิ้วชูก็คือเอาปืนส่องให้ตัวมันเป็นรูซะ แต่สมมติหากว่าอุตส่าห์ยกนิ้วชูขึ้นแล้วสังคมโดยรวมยังเห็นเฉยๆ หรือบ้างก็ถามขึ้นว่าคนพวกมันเล่นลูกเสืออัลไล ? แบบนี้มุกแป้ก สังคมไม่เก็ต หรือหากยกขึ้นแล้วคุณพี่ทหารอมยิ้มส่ายหน้าไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร หรือเกิดทหารเข้าแถวถ่ายรูปชูสามนิ้วให้ผู้คนช่วงชิงการนิยามความหมายมาเป็นของตัวเองอีแบบนี้ก็มุกแป้กเช่นกัน ดังนั้นผลสะเทือนของการใช้สัญลักษณ์ในสถานการณ์จริงก็มีผลเช่นกัน...หากทำไปแล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไรทำไปก็เหนื่อยเปล่าต้องหามุกใหม่มาอีก
บอกตามตรงนะ ผมนั้นโดยส่วนตัวไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการคิดค้นสัญลักษณ์สามนิ้วนี้ คิดว่าอือ...ก็เป็นแก๊กประดับละครการเมืองอีกฉาก เกิดมีรัฐประหารแล้วไม่มีความไม่พอใจไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเสียเลยคงเป็นไปไม่ได้ คำถามที่น่าสนใจมากกว่าก็คือปฏิกิริยาต่อต้านที่เป็นเหมือนธารสายเล็กหยดน้ำน้อยๆ เหล่านี้จะรวมเป็นกระแสมหาสาครใหญ่ได้หรือไม่? ได้อย่างไร? ได้เมื่อไหร่? มากกว่า
บทบาทท่าทีของทหารบวกกับคณะรัฐบาลที่กำลังจะตั้งขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญชี้วัดว่าจะเกิดกระแสต่อต้านใหญ่ได้หรือไม่ เพราะธรรมชาติของการทำงานอย่างไรเสียต้องตัดสินใจให้คุณให้โทษ มีคนชอบมีคนไม่ชอบ ยิ่งบริหารนานไปก็จะสะสมแต้มบวกและลบมากขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเกิดทำดีมากๆ แบบที่ทำได้เกินคาดแต้มบวกก็เยอะเป็นดีไป แต่หากเกิดพลาดขึ้นมาแต้มลบเยอะ กระแสต่อต้านก็จะเข้มแข็งตาม ยิ่งหากทำเรื่องไม่เข้าท่าเช่นปิดเฟซบุ้คเชื่อเหอะคนเต็มถนนภายในครึ่งวัน
แต่หากคสช.วางแผนปล่อยของเป็นจังหวะ 3 เดือน 5 เดือนปล่อยหมัดหนักๆ เข้าเป้าเรียกเสียงปรบมือได้ต่อเนื่องคสช.ก็จะรักษาพลังหนุนไว้ได้ต่อ ...เหล่านี้เป็นเรื่องของคสช.เองว่าจะเลือกเดินแบบไหน เพราะดูท่าทีของอีกฝ่ายจากตอนนี้แกนนำใหญ่น้อยแกนนำกลางแม้กระทั่งนายใหญ่ต่างแดนยังกระเจิดกระเจิงหนียะญ่ายพ่ายจะแจอยู่เลย ม็อบใหญ่ต้องใช้เงินใช้พลังทรัพยากรและบุคลากรมาก คสช.จึงพุ่งเป้าไปที่เรื่องเหล่านี้ในระยะแรกอย่างที่เห็น
สามนิ้วจึงยังเป็นแค่สีสันแต้มบรรยากาศกฎอัยการศึกระยะสองสัปดาห์แรก สีสันแต่งแต้มแปลตรงตัวอยู่แล้วไม่ต้องอธิบายเพิ่ม
สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าขบวนการสามนิ้วก็คือประเทศไทยของเราจะขยับหลุดจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่วนเวียน-เวียนวนไม่ไปไหนมาแปดสิบกว่าปี ย้อนไปดูสิครับเวลาส่วนใหญ่ในแปดสิบกว่าปีมานี้ถ้าไม่สวิงไปทางเผด็จการรัฐสภาทรราชจากเลือกตั้งก็สวิงไปทางเผด็จการทหาร การรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญ
ประเดี๋ยวไปทางนี้ที ไปทางโน้นที แต่โดยรวมไม่ไปไหน !
คิดๆ แล้วการที่สังคมไทยมาอยู่ตรงจุดนี้ในวันนี้...อย่าโทษพล.อ.ประยุทธ์ โทษกำนันสุเทพ โทษทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ หรือโทษนักการเมืองเลยครับ นั่นมันแค่ปัจจัยประกอบ
โทษตัวของเราเอง !! โทษคนไทยนี่แหละ ตัวผมเองด้วยเอ้า..ล้วนแต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศของเราไม่ไปไหน !
เราเกิดมีเผด็จการรัฐสภาขึ้นได้เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยหนุนหลัง ยอมให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ขอให้ฝ่ายตัวเองชนะเป็นพอ ผิดถูกไม่สนใจ
เรามีรัฐประหารต้องฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยขอเพียงอย่างเดียวขอล้มทักษิณ อุตส่าห์เดินทางไกล...เดินผ่านทางออกจุดแล้วจุดเล่าที่ไม่ยอมออกลากไปเรื่อยจนถึงทางตัน
ถ้าคนไทยจำนวนมากยังขอเป็นแค่ “ติ่งการเมือง” ขอตามแห่ผู้นำของตัวแล้วแต่จะพาขึ้นเขาลงห้วยทำเลอะเทอะอย่างไรก็ยอม (แก้ตัวให้อีกต่างหาก) เมื่อนั้นเราก็จะยังอยู่ในวังวนของลูกตุ้มนาฬิกาที่สวิงไปทางเผด็จการรัฐสภาแล้วก็วกกลับมาที่รัฐประหารอีกทีอยู่ร่ำไป
ก็ได้แต่หวังว่าถึงการเลือกครั้งหน้าจะมีคนไทยจำนวนมากพอที่เชื่อมั่นในจุดยืนและลำแข้งตัวเอง ถ้าจะเป็นติ่งก็เป็นติ่งของตัวเองไม่เป็นขบวนแห่ของใครกลุ่มใด ต่อให้เราเลือกมาแต่หากทำผิดก็ต้องลงโทษ ถ้าเดินนำไปไม่ถูกทิศก็กล้าพอที่จะหยุดไม่เดินตาม
การยกสามนิ้วขึ้นชูก็เหมือนกัน ถ้ายกขึ้นมาตามประสาติ่งแกนนำบอกว่าให้ยกแบบนี้นะ มันก็จะเป็นแค่พิธีกรรมบอกบทลิ่วล้อให้สู้แทนนาย ล้มทหารเอาเผด็จการรัฐสภากลับมา
แต่ถ้ายกชูด้วยเข้าใจว่าประเทศไทยหลังจากนี้เป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของกำหนดทิศทางเองเป็นหลักไม่ใช่พรรคการเมืองนักการเมืองทหารข้าราชการมาหลอกล่อให้เดิน เอาเถอะครับท่านยกเถอะ มันเป็นสิทธิที่ท่านเลือกได้ สิทธิเป็นของท่าน ความเสี่ยงก็เป็นของท่าน ท่านเลือกเอง
ยกสามนิ้วแบบติ่ง กับยกแบบตัวของตัวเองก็ยังต่างกันเลย.