xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องที่(ยัง)ไม่ได้เล่าจากเกาหลี : โซล-เมียงดง

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจแด่ชาวเกาหลี ในเหตุการณ์เรือโดยสารล่มที่เกาหลีใต้ โดยขณะนี้ (๒๐ เม.ย.) ยังไม่ทราบชะตากรรมของผู้สูญหายอีก ๒๐๐ กว่าคนครับ

เมื่อปีที่แล้วผมเขียนบทความเกี่ยวกับถึงกรณีที่ถูกส่งตัวไปสาธารณรัฐเกาหลีร่วมกับคณะสื่อมวลชนค่ายอื่นๆ เพื่อดูกิจการของ บ.โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ เค-วอเตอร์ ในชื่อว่า “ความคลางแคลงใจของสังคมจากแม่วงก์สู่แผนจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้าน” เล่าถึงการดูงานในสถานที่ต่างๆ ที่บริษัทได้พาไปชมทั้งหมดค่อนข้างละเอียดพอสมควร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เล่าคือ การใช้ชีวิตปกิณกะนอกเวลางาน ที่ถูกตั้งคำถามพอสมควรว่าไปไหนมาบ้าง

ซึ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ในการ “ไปดูงาน” ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ องค์กรเล็กหรือใหญ่ เอกชน หรือราชการ แน่นอนว่า ส่วนใหญ่ในโปรแกรมทั้งหมดจะต้องมีการพาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ นอกเหนืองาน หรือพาไปเที่ยวรวมอยู่ด้วย แต่จะมาก หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคณะผู้ดำเนินการจะจัดสรรสถานที่และเวลาให้ได้ไปกัน ในส่วนของคณะผมก็มีการพาไปเที่ยวครับ แต่ค่อนข้างน้อยมากเพียงแค่ครึ่งวันสุดท้ายเท่านั้นที่บริษัททัวร์พาไปนอกเหนือการดูงาน ก่อนจะเข้าสนามบินอินชอนเพื่อกลับสู่สยามในช่วงเย็น

นอกนั้นก็คือเวลาที่กลับถึงโรงแรมก็จะได้มีโอกาสแว่บไปเดินเล่นสำรวจเมืองโซล เล็กๆ น้อย เพราะในความเป็นจริงแม้ที่พักเราจะอยู่ในย่านการค้าที่ดังที่สุดในโซลที่ชื่อ เมียงดง แต่ผมกลับมีโอกาสได้เดินที่นั่นแค่วันแรกหลังจากกลับไปสู่โรงแรมเท่านั้นเอง

ในฉบับนี้ผมจะเล่าในสิ่งที่ผมไปเจอมา ทั้งผู้คน สภาพเมือง สถานที่แปลกๆ การไปเที่ยวกับทัวร์ และอื่นๆ ที่เขาพาไปให้ได้อ่านกันแบบไม่มีกั๊กเลยทีเดียว

พูดถึง “นครพิเศษโซล” หรือ ซออุล เป็นเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐเกาหลี อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ ๖๐๕.๒๕ ตาราง กม.แบ่งออกเป็นฝั่งเหนือและฝั่งใต้มีแม่น้ำฮันคั่นกลาง มีประชากรมากกว่า ๑๐ ล้านคน เคยเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ ปี ๒๕๒๙, โอลิมปิกฤดูร้อน ปี ๒๕๓๑, ฟุตบอลโลกร่วมกับญี่ปุ่น ปี ๒๕๔๕ และการประชุมสุดยอด จี -๒๐ เมื่อปี ๒๕๕๓ มีสถานีรถไฟใต้ดินที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับที่ ๒ ของโลก และมีเส้นทางรถไฟไต้ดินจนสุดสายที่ยาวเป็นอับดับที่ ๒ ของโลก ขณะที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน ถูกจัดเป็นสนามบินยอดเยี่ยมปี ๒๕๔๘ และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการออกแบบในปี ๒๕๕๓ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของซัมซุง, แอลจี, ฮุนได, เกีย มอเตอร์ ด้วย

ซออุล ในอดีตเป็นที่รู้จักในชื่อ วีรเย-ซอง ในสมัยอาณาจักรแพ็กเจ ,ฮันจู ในสมัยอาณาจักรชิลลา ,นัมกย็อง ในสมัยราชวงศ์โครยอ ,ฮันซ็อง ในสมัยอาณาจักรแพ็กเจและโชซ็อน ,ฮันยัง ในสมัยโชซ็อน) และคย็องซ็อง ระหว่างตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ส่วนชื่อโซลในปัจจุบันมีที่มาจากคำในภาษาเกาหลีที่มีความหมายว่า เมืองหลวง ซึ่งเชื่อว่ามาจากคำว่า ซอราบอล ใช้อ้างถึง คยองจู เมืองหลวงของอาณาจักรชิลลา เริ่มมีผู้ตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๕๒๗ ต่อมากลายเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์โชซ็อนในปี พ.ศ.๑๙๓๗ ภายหลังจากที่ได้รับเอกราชจากญี่ปุ่นในพ.ศ. ๒๔๘๘ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น โซล แต่ในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ได้ถูกยึดครองโดยทหารเกาหลีเหนือ ระหว่างสงครามเกาหลี และเมืองก็ได้ถูกทำลายเสียหายเกือบทั้งหมด จากนั้นกองกำลังของสหประชาชาติได้ยึดเมืองคืนได้สำเร็จในวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๔

นี่คือข้อมูลคร่าวๆ ของกรุงโซล แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตอนที่ผมไปนั้นไม่มีข้อมูลเหล่านี้เลย เพราะสิ่งที่เตรียมไปและที่อยู่ในหัวคือคำถามที่วิ่งพล่านเตรียมจะไปซักถามเพื่อความกระจ่างในเรื่องที่กองบรรณาธิการสั่งมา ฉะนั้นผมจึงไม่ได้เตรียมแผนท่องเที่ยวไปเลย เรียกได้ว่า ถ้าพลัดพรากกับคณะเดินทางนี่มีหลงทาง ๑๐๐%

คณะของเราเดินทางมาถึงโรงแรมล็อตเต้ ในช่วงเย็นของวันที่ ๒๘ ส.ค.โดยมีเวลาราวๆ ๒ ชั่วโมงให้อาบน้ำ ล้างหน้า แต่งตัว เพราะเราขึ้นเครื่องจากไทยตั้งแต่คืนวันที่ ๒๗ ส.ค.มาถึงรุ่งเช้าเข้าดูงานทันที ไม่ได้มีเวลาชำระร่างกาย เขาจึงให้เราได้พักสักนิดก่อนไปทานข้าว ผมก็ใช้เวลานี้ ในการไปสำรวจรอบๆ โรงแรม โดยได้รับการบอกเล่าจากทีมงานว่า ไอ้แหล่งที่พักเนี่ย มันเป็นย่านการค้าเมียงดงเลยนะ!! ในใจผมก็คิดว่า เมียงดงคืออะไรวะ?

ความตั้งใจแรกจะเดินไปแวะชม แต่ต้องผิดคาด กว่าจะเข้าห้อง เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา ก็ปาไปครึ่งชั่วโมง เลยได้แค่ออกเดินวนรอบๆ ที่พักเท่านั้น

และผมก็พบอะไรบางอย่าง
ศาลเจ้าฮวางกันกู ประตูด้านหน้า และกลองหินสามใบ
ด้านหลังของโรงแรมนี้มีบางสิ่งตั้งอยู่เป็นคล้ายๆ กับศาลาสถาปัตยกรรมเกาหลี ผมเห็นแว่บแรกตอนรถขับเข้าที่พัก จึงตัดสินใจใช้เวลานี้ไปตามหาว่า มันคืออะไรกันแน่ แล้วก็พบว่า ... แถวนี้แต่ก่อนคือ “เทวาคาร วอนกูดัน” (Wongudan Altar) ครับ จากข้อมูลระบุว่า สร้างในปี พ.ศ.๒๔๔๐ ใช้สำหรับเป็นที่ทำพิธีกรรมแห่งสวรรค์ โดยหมอดูรูปทรงดินทราย ซึ่งตัวอาคารจำลองธาตุทั้ง ๕ พระอาทิตย์และพระจันทร์ มีไว้สำหรับนำสัตว์มาบูชายัญด้วย แต่ก่อนนี้เป็นเทวสถานขนาดใหญ่ แต่ถูกญี่ปุ่นทำลายลง จนปัจจุบันเหลือแค่ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ด้านหน้า แต่ไม่เปิดให้เข้าต้องลัดเลาะไปด้านข้างๆ แทน ตัวศาลเจ้าที่ชื่อว่า “ฮวางกุนกู” (Hwanggungu) และกลองหินสลักมังกร ๓ ใบ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมเวสติน โชซันด้วย

อันที่จริงพิธีกรรมนี้ได้ทำกันมาตั้งแต่ก่อนยุค ๓ อาณาจักร ในช่วงของราชวงศ์กอร์ยอ (Goryeo Dynasty) เซองจอง (Seongjong) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เป็นผู้เริ่ม เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวในปีนั้นๆ ได้มากขึ้่น (น่าจะคล้ายกับพิธีแรกนาขวัญบ้านเรา) จนกระทั่งราชวงศ์ล่มสลายไป ซึ่งต่อมากษัตริย์เซโจ (Sejo) แห่งราชวงศ์โจเซิน (Joseon) ก็ได้ฟื้นพิธีกรรมนี้ขึ้นมาใหม่แต่หลังจากนั้น ๑๐ ปี ก็เลิก ในพ.ศ.๒๐๐๗ และพิธีนี้ได้ฟื้นคืนมาอีกครั้งในยุคของกษัตริย์โกจอง (Gojong) แห่งอาณาจักรเกาหลี และก็ได้ถูกล้มเลิกไปเมื่อญี่ปุ่นได้เข้ามายึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๓

เอาเข้าจริงผมมองดูสถาปัตยกรรมเกาหลีมันแปลกๆ ตาครับ จะจีนก็ไม่ใช่ ญี่ปุ่นไม่เชิง ดูเหมือนกระด้างขาดความอ่อนช้อย อย่างรูปปั้นสัตว์ที่ศาลเจ้าดูแล้วน่าจะคล้ายสิงห์ก็ดูหน้ามึนๆ ออกแนวตลกซะมากกว่า หรือตัวอาคารก็ดูทื่อๆ ไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่

ในช่วงค่ำหลังจากทานข้าวเสร็จ กลับมาที่พักดูตารางการเดินทางนั่งนึกว่า เราจะมีเวลาได้ไปชะแว่บแถวนี้หรือไม่ สำรวจแล้ววันนี้น่าจะเหมาะที่สุด คือในวันที่เหลือเราต้องกลับมาถึงที่พักเกินเวลาย่านการค้าปิดแน่ๆ เลยได้ฤกษ์ลงไปท่องราตรีที่ตลาดเมียงดง ซึ่งอยู่ทางด้านข้างของโรงแรม ตรงข้ามกับห้างล็อตเต้ (อันนี้ผมก็ไม่ได้เข้า ไม่มีเวลา) นาฬิกาบอกว่าตอนนี้ ๓ ทุ่ม และที่นี่ก็ปิดการขายตอนสี่ทุ่มเท่านั้น

“ตลาดเมียงดง” (Myeong-dong) ถือเป็นใจกลางกรุงโซลคล้ายๆ ย่านสยามสแควร์บ้านเราล่ะ แหล่งแฟชั่นและร้านค้าที่คนไทย ทัวร์ไทย มาเกาหลีต้องเมียงดงเพื่อช้อป โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ว่าถูกกว่าเมืองไทยมาก (ตอนซื้อมาให้น้องสาวมันก็บอกว่าถูกกว่าหลายร้อยนะ) ตามประวัติที่นี่ตั้งชื่อมาจากตำบลเมียงนยีบัง (Myeongnyebang) ตำบลในยุคราชวงศ์โจเซิน ในย่านนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งการค้าในสมัยที่เป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น หลังจากเกาหลีได้รับเสรีภาพใน พ.ศ.๒๔๘๘ ศิลปินหนุ่มสาวและผู้ค้าเสื้อผ้าปลีกย่อยได้แห่เข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ กลายเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและศิลปะ และหลังจากสงครามเกาหลีก็เต็มไปด้วยบาร์และร้านกาแฟ เปิดเพลงคลาสสิค มีห้าง ร้านขายเสื้อผ้าชื่อดัง แต่ในช่วง พ.ศ.2510 ร้านดังๆ ก็เริ่มย้ายไปสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ย่านกังนัม

ส่วนที่นี่พอหลังจากเกิดปรากฏการณ์ขายวัฒนธรรมเกาหลีที่เรียกว่า เกาหลี เวฟ ก็ได้ทำให้ชาวโลกรู้จักเมียงดงในแหล่งสินค้าเครื่องสำอางค์และแฟชั่น เมด อิน โกเรีย บางยี่ห้อก็ใช้เป็นที่เปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุด กลายเป็นย่านแห่งผู้นำทางแฟชั่นของประเทศไปเลย ซึ่งเท่าที่เดินๆ ดูก็เห็นว่าจะจริงตามที่เขาโม้ไว้ ทั้งสินค้าแฟชั่นในร้านใหญ่ๆ และร้านแผงลอย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจเท่ากับอาหารครับ
ย่านการค้าเมียงดง
ในย่านการค้าตามซอยต่างๆ ก็มีอาหารกินเล่นเรียงรายขายแบบแผงลอย เช่น ไอศกรีมแบบกดตู้ แต่ของที่นี่จะกดให้ไหลเป็นทรงสูงราวๆ ๑ ฟุตได้ ไอ้แบบนี้ที่ห้างสยามพารากอน มีขายอยู่ร้านนึง เป็นรสชาเขียว แต่ที่นี่มีหลายรส ผมทดลองกินรสสตรอเบอร์รี่ ...ก็งั้นๆ โคนละ ๖๐ บาท ที่คุ้นตาขึ้นมาก็มีมันฝรั่งเกลียวทอด แบบที่เคยมาฮิตในบ้านเราเมื่อปี – ๒ ปีที่แล้ว พวกปลาหมึกย่าง ,ของทอด ,เนื้อไก่ปิ้ง ,มันทอดแบบแท่งๆ

ใจจริงก็อยากที่จะเดินชิมมันเสียทุกร้าน แต่ด้วยอิ่มจากอาหารมื้อค่ำแบบเต็มพุง แล้วมาเจอราคาของกินแถวนี้ที่แทบไม่อยากจะควักเงินออกจากกระเป๋าเลย จึงไม่ได้ทานอะไร แต่..สุดท้ายก็ต้องมาลองสิ่งนี้ให้ได้ครับ มันคือ “ต๊อกบกกี่” (Tteokbokki) ถือเป็นอาหารว่างยอดนิยมของคนเกาหลีครับ ผมเคยดูสารคดีเรื่องหนึ่งถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่า ไอ้เมนูนี้เป็นเมนูที่เกิดขึ้นสมัยสงครามเกาหลี ในยามที่ยากกินกันตาย จนกลายมาเป็นอาหารที่ผมว่านักท่องเที่ยว ถ้ามาก็ต้องอยากจะลิ้มลองกันล่ะ

ต๊อกบกกี่ มันคือ การเอาแป้งนวดที่มีลักษณะเส้นตรงทรงกลมคล้ายๆ ไส้กรอก ที่เรียกว่า ต๊อก ไปผัดกับซอสหรือน้ำพริกเกาหลี ที่มีชื่อเรียกว่าโคชูจัง ใส่หัวหอมเติมน้ำหน่อย รสชาติจะออกเผ็ดนิดๆ เหมือนกินแป้งกับซอสพริก แต่ที่ร้านรถเข็นนี้อยู่ปากทางเข้าซอยเมียงดง จะมีน้ำซุปปลาให้ทานแกล้มด้วย จานละ ๓๐ บาท ผมก็สั่งพลางนั่งดูในร้านพี่จะมีเกี๊ยวใส่ผักทอดขายคล้ายเกี๊ยวซ่า แต่ดูใส่แล้วเหมือนกุ้ยช่ายบ้านเรามากกว่า ส่วนน้ำซุปนี้ รสชาติจืด เอาไว้ลวกพวกลูกชิ้นปลาเสียบไม้ หรือ เอียวมัก (Eomuk) ถ้าพูดว่าโอเด้งน่าจะรู้จักกว่า อันนี้ก็ไม่ได้กินครับ

จริงๆ ในเมียงดงนี่มีหลายซอยพอสมควร และยังมีสถาปัตยกรรมอันน่าสนใจอีกหลายอย่าง ที่ผมเพิ่งรู้ แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดผมก็เลยเดินชมได้อย่างจำกัด ถือว่าน่าเสียดาย แต่ก็อย่างว่าครับ เรามาทำงานไม่ได้มาเที่ยว แค่ได้แวะมาเท่านี้ก็บุญโขแล้ว ก็ได้แต่จดเอาไว้ในลิสต์การเดินทางครั้งหน้าไม่แน่อาจจะแบ๊กแพคตระเวนชมย่านนี้อีกก็เป็นได้

อ่านต่อฉบับหน้า....
กำลังโหลดความคิดเห็น