จากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ววิเคราะห์ไปว่า ผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายการอยู่การตายของรัฐบาลผู้ไร้ความชอบธรรม ก็คือ “ศาล”
และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้านที่รัฐบาลนี้หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ เป็นอันใช้บังคับไม่ได้เพราะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
โดยศาลชี้ว่า การตราพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น นอกจากจะมิชอบเพราะว่ามีการเสียบบัตรแทนกันโดยเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่เคยทำตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.แล้วเนื้อหาของกฎหมายยังขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญด้วย เนื่องจากเงินกู้ตามกฎหมายนี้มีลักษณะเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายจึงต้องขึ้นอยู่ในบังคับแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย หากจะไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน และการใช้จ่ายเงินนั้นจะต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ตามมาตรา 170 ด้วย
แต่ในกฎหมายกู้เงินสร้างหนี้สองล้านล้านของรัฐบาลนั้น ไม่ใช่ทั้งเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งการที่กำหนดให้เอาเงินกู้ไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังนั้น ทำให้การควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าด้วยกรอบวินัยการเงินการคลังที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
ซึ่งนานๆ ครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนจะเห็นตรงกันเช่นนี้ ผลของคำวินิจฉัย ทำให้กฎหมายการเงินฉบับสำคัญที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ทั้งที่เป็นนโยบายขายฝันเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่เอาไว้ล่อใจทั้งคนรากหญ้าว่าความเจริญจะมาตามรางรถไฟ และบรรดาคนชั้นกลางที่ชอบความทันสมัยไฮเทค ว่า ต่อไปประเทศไทยจะมีรถไฟความเร็วสูงเหมือนในต่างประเทศ
และที่อาจเป็นจุดสำคัญที่หมายใจมากกว่านั้น คือ การที่รัฐบาลสามารถกู้เงินไว้ก่อนได้ โดยไม่ต้องตั้งงบประมาณ เพียงแต่ตั้งโครงการมาขอใช้เงินกู้ตามกรอบก็ได้ อย่างที่หลายฝ่ายเรียกว่าเป็น “กฎหมายเช็คเปล่า” ให้รัฐบาลเอาเงินไปหมุนทำอะไรก่อนก็ได้ มีโครงการค่อยมาขอไปใช้
เมื่อกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญใช้บังคับไม่ได้ดังกล่าว ก็มีการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ซึ่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็รับผิดชอบด้วยน้ำตา แก้ตัวว่า ฝ่ายตรงข้ามทำทุกอย่างใช้ข้อกฎหมายมาฟาดฟัน โดยที่ไม่มองถึงเจตนารมณ์ ขอให้ดูเจตนาเบื้องต้น
แต่หากพิจารณาคำภาษิตทางกฎหมายที่ว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ซึ่งศาลก็ได้ชี้แล้วว่า “กรรม” คือการตรากฎหมายนี้ มีทั้งกระบวนการเสียบบัตรแทนกันโดยไม่ศักดิ์ศรีและหน้าที่ของผู้แทนปวงชนแล้ว “กรรม” คือเนื้อหากฎหมายนั้น ยังเป็นการใช้เงินแผ่นดินที่ไม่ถูกต้องด้วยวิธีการโดยไม่มีเหตุจำเป็นโดยไม่มีการตรวจสอบด้วย
นี่คือ “เจตนา” ที่สะท้อนผ่าน “กรรม” คือการกระทำของรัฐบาลที่ชี้ชัดอยู่ในกฎหมายนี้นอกจากนี้ บรรดาพลพรรคเสื้อแดงต่างก็ช่วยกันแต่งประโคมกระแสโจมตีต่อไปว่า ศาลนั้นขัดขวางความเจริญของประเทศชาติ ไม่ยอมให้ประเทศมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง จะล้าหลังกว่าลาว พม่า กัมพูชา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบิดเบือนล้วนๆ เนื่องจากไม่มีถ้อยคำไหนเลยที่ศาลรัฐธรรมนูญ “ห้าม” สร้างรถไฟความเร็วสูง หรือบอกว่ารถไฟความเร็วสูงนั้นไม่จำเป็น ไม่ควรต้องมี
เพียงแต่ “เงิน” ที่นำมาสร้างนั้น จะต้องมาจากที่มาที่ถูกต้อง มาจากระบบงบประมาณ ในวิธีการใช้เงินแผ่นดินที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่กฎหมายพิเศษแบบเซ็นเช็คเปล่า
ฝ่ายเสื้อแดงมักจะเชิดชูว่า “เพราะทักษิณ ทำให้สร้างสนามบินสุวรรณภูมิสำเร็จ” แต่ก็แกล้งๆ ทำเป็นลืมว่า สนามบินนั้นสร้างขึ้นในระบบงบประมาณปกติ ไม่ได้ต้องกู้เงินพิเศษมาสร้างแต่อย่างใด
รวมทั้งพยายามกล่าวหาว่า ศาลไม่ยุติธรรม รัฐบาลมีปัญหากับศาลทีไร ไม่ว่าจะศาลไหนก็แพ้คดีทุกที โดยไม่นึกย้อนดูตัวว่า แล้วรัฐบาลของตัวเองทำตัวอย่างไร ทำไมผิดกฎหมายไปได้ทุกเรื่อง จนต้องแพ้คดีกันทุกศาลเช่นนี้
เหมือนครอบครัวนึงที่มีลูกติดคุกทั้งบ้านในคดีต่างๆ กัน เราจะสงสัยว่า “ทำไมศาลมาจองเวรจองกรรมกับครอบครัวนี้” หรือจะสงสัยว่า “บ้านนี้เลี้ยงลูกกันอย่างไรให้เป็นอาชญากรกันทุกคน”
ส่วนในสัปดาห์นี้ ก็มีอันที่รัฐบาลและเครือข่ายทักษิณ จะต้อง “ลุ้น” กับศาลอีกแล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินร้องขอให้สั่งว่าการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะไว้วินิจฉัย และสั่งให้มีการไต่สวนในวันพุธที่ 19 นี้
เหตุผลที่ผู้ตรวจการร้อง และศาลอาจสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มีว่า การเลือกตั้งทั่วไปมิได้กระทำขึ้นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร มีถึง 28 เขตเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ยังไม่มีแม้แต่ผู้สมัคร ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 และการดำเนินการรับสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป มิได้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม นอกจากนั้น การนับคะแนนเสียงเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้ผู้ที่จะมาเลือกตั้งหลังวันดังกล่าวทราบผลการเลือกตั้งก่อนการลงคะแนน ทำให้เกิดผลกระทบต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงจนเสียความเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง และการลงคะแนนเลือกตั้งในภายหลังก็เป็นอันไร้ผลเพราะบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะกลายเป็นบัตรเสียตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง รวมทั้งการที่ตัวนายกฯ ซึ่งอีกฐานะถือเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 จังหวัด โดยมีการออกประกาศหลายฉบับที่มีผลโดยตรงต่อการทำให้เกิดความไม่เสมอภาคและความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งด้วย โดยรวมแล้ว ถือว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไป และแม้จะมีการเลือกตั้งตามมีอีกกี่ครั้งเพื่อให้สมบูรณ์ ก็จะไม่มีวันสมบูรณ์ เพราะขัดต่อหลักความเป็นธรรมอย่างร้ายแรง
กระแสข่าวบางสายว่า เมื่อไต่สวนแล้ว อาจจะให้รอฟังคำสั่งหรือคำวินิจฉัยได้ในวันนั้นเลย หรืออย่างไรก็คงไม่ช้ามากนัก
การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภา ที่เป็นหลักเกาะให้รัฐบาลยืนกระต่ายขาเดียว ว่าต้องอยู่เพื่อรอการเลือกตั้งสำเร็จให้มีสภาฯ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และรัฐบาลหมายใจว่าถ้าชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ก็จะอ้างตัวว่ามีอำนาจอยู่โดยชอบธรรมนั้น หากเป็นโมฆะไป จะเกิดผลอย่างไร อาจจะต้องรอดูกันเมื่อศาลอ่านคำวินิจฉัย
ประกอบกับกระแสที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จะมาแถลงการณ์ช่วย “หาทางออก” ให้ประเทศ ในวันจันทร์ที่ 17 นี้ด้วยแล้ว
สัญญาณทั้งสองประการนี้ จึงเป็นเรื่องน่าจับตา ทำให้รัฐบาลและเครือข่ายระบอบทักษิณหนาวๆ ร้อนๆ ได้ทีเดียว.
และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้านที่รัฐบาลนี้หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ เป็นอันใช้บังคับไม่ได้เพราะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
โดยศาลชี้ว่า การตราพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น นอกจากจะมิชอบเพราะว่ามีการเสียบบัตรแทนกันโดยเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่เคยทำตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.แล้วเนื้อหาของกฎหมายยังขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญด้วย เนื่องจากเงินกู้ตามกฎหมายนี้มีลักษณะเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายจึงต้องขึ้นอยู่ในบังคับแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย หากจะไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน และการใช้จ่ายเงินนั้นจะต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ตามมาตรา 170 ด้วย
แต่ในกฎหมายกู้เงินสร้างหนี้สองล้านล้านของรัฐบาลนั้น ไม่ใช่ทั้งเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งการที่กำหนดให้เอาเงินกู้ไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังนั้น ทำให้การควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าด้วยกรอบวินัยการเงินการคลังที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
ซึ่งนานๆ ครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนจะเห็นตรงกันเช่นนี้ ผลของคำวินิจฉัย ทำให้กฎหมายการเงินฉบับสำคัญที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ทั้งที่เป็นนโยบายขายฝันเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่เอาไว้ล่อใจทั้งคนรากหญ้าว่าความเจริญจะมาตามรางรถไฟ และบรรดาคนชั้นกลางที่ชอบความทันสมัยไฮเทค ว่า ต่อไปประเทศไทยจะมีรถไฟความเร็วสูงเหมือนในต่างประเทศ
และที่อาจเป็นจุดสำคัญที่หมายใจมากกว่านั้น คือ การที่รัฐบาลสามารถกู้เงินไว้ก่อนได้ โดยไม่ต้องตั้งงบประมาณ เพียงแต่ตั้งโครงการมาขอใช้เงินกู้ตามกรอบก็ได้ อย่างที่หลายฝ่ายเรียกว่าเป็น “กฎหมายเช็คเปล่า” ให้รัฐบาลเอาเงินไปหมุนทำอะไรก่อนก็ได้ มีโครงการค่อยมาขอไปใช้
เมื่อกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญใช้บังคับไม่ได้ดังกล่าว ก็มีการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ซึ่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็รับผิดชอบด้วยน้ำตา แก้ตัวว่า ฝ่ายตรงข้ามทำทุกอย่างใช้ข้อกฎหมายมาฟาดฟัน โดยที่ไม่มองถึงเจตนารมณ์ ขอให้ดูเจตนาเบื้องต้น
แต่หากพิจารณาคำภาษิตทางกฎหมายที่ว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ซึ่งศาลก็ได้ชี้แล้วว่า “กรรม” คือการตรากฎหมายนี้ มีทั้งกระบวนการเสียบบัตรแทนกันโดยไม่ศักดิ์ศรีและหน้าที่ของผู้แทนปวงชนแล้ว “กรรม” คือเนื้อหากฎหมายนั้น ยังเป็นการใช้เงินแผ่นดินที่ไม่ถูกต้องด้วยวิธีการโดยไม่มีเหตุจำเป็นโดยไม่มีการตรวจสอบด้วย
นี่คือ “เจตนา” ที่สะท้อนผ่าน “กรรม” คือการกระทำของรัฐบาลที่ชี้ชัดอยู่ในกฎหมายนี้นอกจากนี้ บรรดาพลพรรคเสื้อแดงต่างก็ช่วยกันแต่งประโคมกระแสโจมตีต่อไปว่า ศาลนั้นขัดขวางความเจริญของประเทศชาติ ไม่ยอมให้ประเทศมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง จะล้าหลังกว่าลาว พม่า กัมพูชา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบิดเบือนล้วนๆ เนื่องจากไม่มีถ้อยคำไหนเลยที่ศาลรัฐธรรมนูญ “ห้าม” สร้างรถไฟความเร็วสูง หรือบอกว่ารถไฟความเร็วสูงนั้นไม่จำเป็น ไม่ควรต้องมี
เพียงแต่ “เงิน” ที่นำมาสร้างนั้น จะต้องมาจากที่มาที่ถูกต้อง มาจากระบบงบประมาณ ในวิธีการใช้เงินแผ่นดินที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่กฎหมายพิเศษแบบเซ็นเช็คเปล่า
ฝ่ายเสื้อแดงมักจะเชิดชูว่า “เพราะทักษิณ ทำให้สร้างสนามบินสุวรรณภูมิสำเร็จ” แต่ก็แกล้งๆ ทำเป็นลืมว่า สนามบินนั้นสร้างขึ้นในระบบงบประมาณปกติ ไม่ได้ต้องกู้เงินพิเศษมาสร้างแต่อย่างใด
รวมทั้งพยายามกล่าวหาว่า ศาลไม่ยุติธรรม รัฐบาลมีปัญหากับศาลทีไร ไม่ว่าจะศาลไหนก็แพ้คดีทุกที โดยไม่นึกย้อนดูตัวว่า แล้วรัฐบาลของตัวเองทำตัวอย่างไร ทำไมผิดกฎหมายไปได้ทุกเรื่อง จนต้องแพ้คดีกันทุกศาลเช่นนี้
เหมือนครอบครัวนึงที่มีลูกติดคุกทั้งบ้านในคดีต่างๆ กัน เราจะสงสัยว่า “ทำไมศาลมาจองเวรจองกรรมกับครอบครัวนี้” หรือจะสงสัยว่า “บ้านนี้เลี้ยงลูกกันอย่างไรให้เป็นอาชญากรกันทุกคน”
ส่วนในสัปดาห์นี้ ก็มีอันที่รัฐบาลและเครือข่ายทักษิณ จะต้อง “ลุ้น” กับศาลอีกแล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินร้องขอให้สั่งว่าการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะไว้วินิจฉัย และสั่งให้มีการไต่สวนในวันพุธที่ 19 นี้
เหตุผลที่ผู้ตรวจการร้อง และศาลอาจสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มีว่า การเลือกตั้งทั่วไปมิได้กระทำขึ้นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร มีถึง 28 เขตเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ยังไม่มีแม้แต่ผู้สมัคร ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 และการดำเนินการรับสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป มิได้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม นอกจากนั้น การนับคะแนนเสียงเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้ผู้ที่จะมาเลือกตั้งหลังวันดังกล่าวทราบผลการเลือกตั้งก่อนการลงคะแนน ทำให้เกิดผลกระทบต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงจนเสียความเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง และการลงคะแนนเลือกตั้งในภายหลังก็เป็นอันไร้ผลเพราะบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะกลายเป็นบัตรเสียตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง รวมทั้งการที่ตัวนายกฯ ซึ่งอีกฐานะถือเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ 4 จังหวัด โดยมีการออกประกาศหลายฉบับที่มีผลโดยตรงต่อการทำให้เกิดความไม่เสมอภาคและความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งด้วย โดยรวมแล้ว ถือว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไป และแม้จะมีการเลือกตั้งตามมีอีกกี่ครั้งเพื่อให้สมบูรณ์ ก็จะไม่มีวันสมบูรณ์ เพราะขัดต่อหลักความเป็นธรรมอย่างร้ายแรง
กระแสข่าวบางสายว่า เมื่อไต่สวนแล้ว อาจจะให้รอฟังคำสั่งหรือคำวินิจฉัยได้ในวันนั้นเลย หรืออย่างไรก็คงไม่ช้ามากนัก
การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภา ที่เป็นหลักเกาะให้รัฐบาลยืนกระต่ายขาเดียว ว่าต้องอยู่เพื่อรอการเลือกตั้งสำเร็จให้มีสภาฯ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และรัฐบาลหมายใจว่าถ้าชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ก็จะอ้างตัวว่ามีอำนาจอยู่โดยชอบธรรมนั้น หากเป็นโมฆะไป จะเกิดผลอย่างไร อาจจะต้องรอดูกันเมื่อศาลอ่านคำวินิจฉัย
ประกอบกับกระแสที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จะมาแถลงการณ์ช่วย “หาทางออก” ให้ประเทศ ในวันจันทร์ที่ 17 นี้ด้วยแล้ว
สัญญาณทั้งสองประการนี้ จึงเป็นเรื่องน่าจับตา ทำให้รัฐบาลและเครือข่ายระบอบทักษิณหนาวๆ ร้อนๆ ได้ทีเดียว.