คำพูดของยิ่งลักษณ์ “พร้อมตายในสนามประชาธิปไตย” เป็นทั้งวาทกรรมและมายาคติที่งอกมาจากความเข้าใจผิดเรื่องประชาธิปไตย แล้วก็ถูกนายทุนนักการเมืองใช้หลอกลวงครอบสังคมไทยอีกทอด
หากก้าวผ่านมายาคติประชาธิปไตยแบบที่ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ ประเทศนี้ก็ยังจะอยู่ในวังวนเดิมอีกต่อไปแน่นอน
พูดแบบนี้ ผมก็ไม่ได้หมายถึงว่าสิ่งที่กำนันสุเทพและกปปส.เสนอนั้นคือความคิดประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์ดอกนะครับ เพราะสังเกตดูสังคมเราเวลามีใครวิจารณ์ของรักของใครมักจะมีคำตอบโต้แบบประชดโดยยกขั้วตรงข้ามมาเทียบ
เช่นเวลาบอกว่ารัฐหลิ่วตาให้อันธพาลมาปาระเบิดคนตายก็จะมีคนเถียงว่าทีมาร์ค 99 ศพล่ะ ?
เวลาบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่ดี ก็จะมีคนประชดตามมาทันทีว่างั้นสุเทพดีล่ะสิ !!?
ไอ้วิธีการเถียงให้ออกทะเลวนกันแบบไม่ไปไหนแบบนี้มันมีอยู่จริง..แล้วมากด้วย ดังนั้นต้องบอกไว้แต่เนิ่นว่าอย่าเพิ่งงัดมาใช้แถวนี้ไม่ขอเล่นด้วย
ก่อนอื่นเราต้องยอมรับเสียก่อนว่า ระบบ/ระบอบปกครองที่เป็นอยู่ในบ้านของเรามันยังไม่สมบูรณ์ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่เราเปลี่ยนแปลงมาใช้เมื่อ 2475 ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนหน้านี้มีท่านผู้นำจอมพลป. ต่อด้วยคณะทหารสฤษดิ์ ถนอม ประภาส มีประชาธิปไตยไม่เต็มใบระหกระเหินกันมา
ต้องยอมรับกันว่าเราเป็นมาแบบนี้กันมาจริงๆ
หากจำแนก ก็มีทั้งแบบปกครองโดยคณะราษฎรที่ยังต้องแอบพลังอำนาจของอำมาตยาธิปไตยมีส.ส.แต่งตั้ง ต่อมามีการปกครองโดยทหาร มีแบบสภาที่มีประชาธิปไตยครึ่งใบ และล่าสุดแบบที่มีประชาธิปไตยแต่เปลือก
ทักษิณพรรคไทยรักไทยได้อำนาจชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย พวกก็ชื่นชมยินดีว่านี่แหละคือตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตย พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาทำเลวระยำไว้ขนาดไหนพวกก็หลับหูหลับตาเชียร์ว่าเอาเถอะน่า...นี่แหละประชาธิปไตยเพราะชนะเลือกตั้งดีกว่าไปอีกทางหนึ่ง เหล่านี้แหละครับคือมายาคติที่ครอบงำความคิดคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่มองเฉพาะแค่รูปแบบพิธีกรรมว่ามีการเลือกตั้ง มีส.ส.ก็ใช่แล้วทั้งๆ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นก็คือเผด็จการมาจากการเลือกตั้งกลุ่มหนึ่งที่ถูกครอบงำสั่งการโดยคนกลุ่มเดียวไม่สนใจแยแสหลักการใดๆ ของประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป
สนามประชาธิปไตยที่แท้ต้องตั้งขึ้นมาจากปรัชญาสิทธิเสรีภาพบุคคล เติบโตด้วยความสมดุลตรวจสอบไปมา แข็งแรงด้วยนิติรัฐ สดใสด้วยธรรมาภิบาลและต้องไม่มีใครเป็นเจ้าของอำนาจแบบนายใหญ่เจ้าของบริษัท แน่นอนว่ามันเป็นคนละเรื่องกับสนามประชาธิปไตยของยิ่งลักษณ์
ยิ่งลักษณ์ยังบอกว่าตนจะขอสู้จนตัวตายในสนามประชาธิปไตยอันนี้จึงเพ้อเจ้อมาก เพราะเป็นสนามที่มีแต่ตัวแทนถูกร้อยจมูกบนหลักข้างมากลากไป มันจึงเป็นสนามประชาธิปไตยเพื่อการโกหกหลอกลวงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับว่าโลกของความเป็นจริงชาวเสื้อแดงรักชินวัตรมีอยู่จริง คนที่หลงเชื่อก็จะเชื่อจริงๆ คล้อยตามที่ธิดา เหวง ตู่ เต้นว่ามาทั้งหมดว่านี่แหละคือประชาธิปไตยที่ต้องปกป้องไว้
เพื่อความเป็นธรรม..., มวลชนของฝ่ายกำนัน “จำนวนหนึ่ง”ก็ติดกับวาทกรรม “โค่นก่อนเรื่องอื่นคอยว่า” เหมือนกันนะครับ ความคิดแบบนี้ทำให้นิยามของการปฏิรูปมันถูกขีดวงเอาไว้อย่างคับแคบและจำกัด
บางคนคิดว่าการปฏิรูปก็คือการออกกฎหมายต้องมีอำนาจรัฐหากพวกนั้นขวางอยู่จะสำเร็จได้ยังไง ทั้งที่แท้จริงแล้วการปฏิรูปต้องอาศัย “กระบวนการทางสังคม”
กระบวนการทางสังคมไม่ใช่ขั้นตอนวิธีการแบบเครื่องจักรแบบที่กดปุ่มหนึ่งสองสามได้ปั๊บ หรือรอประกาศตั้งสภาประชาชน โหวต เสนอ ผ่าน เห็นชอบ ประกาศใช้ เป็นจบ
แต่กระบวนการทางสังคมคือการเคลื่อนไหว ปลูกฝัง ส่งเสริม รวมกลุ่ม แลกเปลี่ยน ชักจูงโน้มน้าว จัดตั้ง เปลี่ยนทัศนคติพฤติกรรม กระบวนทัศน์ ฯลฯ จนเป็นพลังเป็นประชามติ
เรื่องกำนันและการปฏิรูปขอพักค้างก่อน...เอาไว้พูดกันในโอกาสหน้าได้ รอบนี้ขอพูดเฉพาะมายาคติว่าด้วยประชาธิปไตยและการต่อสู้ยอมตายคาสนามประชาธิปไตยให้จบ
ขบวนการเสื้อแดงเติบโตขึ้นมาด้วยสองปัจจัยสำคัญหนึ่ง-คนรักทักษิณ และสอง-ความเชื่อว่าฝ่ายตนคือฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งคู่ต่อกรคือทหารที่รัฐประหารมายิ่งชัดเจนไม่ต้องมีข้อสงสัย
สังคมไทยถูกปลูกฝังว่าการเลือกตั้งคือหัวใจของประชาธิปไตยมายาวนานผ่านการรณรงค์ของรัฐเอง ประเภท “ขายเสียงขายสิทธิ์ขายชีวิตชายชาติ” “รักประชาธิปไตยไปเลือกตั้ง” ปลูกเฉพาะรูปแบบพิธีกรรมแต่ไม่ได้ปลูกฝังส่วนที่เป็นปรัชญาและจิตวิญญาณ จนกลายเป็นแบบแผนความเชื่อไปแล้วว่าให้การเลือกตั้งตัดสินความขัดแย้งทั้งหมดทั้งมวลเป็นตัวกำหนดชะตากรรม สิทธิธรรมทั้งหลายมาจากหีบเลือกตั้งเป็นสำคัญ
การออกมาของมวลมหาประชาชนในระหว่างสามเดือนนี้คือ “กระบวนการ” และ “การขับเคลื่อนแบบรื้อถอน”ที่มีอานุภาพสั่นคลอนความคิดความเชื่อธรรมเนียมเดิมๆ อย่างมีพลัง
“รื้อถอน” สิ่งที่ไม่เข้าท่าแบบเดิมที่เชื่อๆ กันให้หลวม ให้คลาย ให้พ้นสมัยไปเพื่อเตรียม “ปลูกสร้าง-สถาปนา” สิ่งใหม่เข้าไปสวมแทนอันนี้ก็เป็นหนทางหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
แล้วสิ่งที่ใหม่ที่จะสวมแทนคืออะไร สภาพแบบไหนที่ทำได้ง่ายที่สุด ตรงเป้าที่สุด ? ...นี่แหละที่สังคมควรคิดทำกันได้แล้ว ขออย่างเดียวอย่าคิดแค่ว่าเอายิ่งลักษณ์ออกแล้วเอาคนดีๆ มาแทนเป็นอันพอใจ เพราะความคิดเรื่องคนดีๆ มาเพื่อแก้ปัญหาทุกสิ่งนั้นก็เป็นวาทกรรม/มายาคติแบบเก่าเช่นกัน.
หากก้าวผ่านมายาคติประชาธิปไตยแบบที่ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ ประเทศนี้ก็ยังจะอยู่ในวังวนเดิมอีกต่อไปแน่นอน
พูดแบบนี้ ผมก็ไม่ได้หมายถึงว่าสิ่งที่กำนันสุเทพและกปปส.เสนอนั้นคือความคิดประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์ดอกนะครับ เพราะสังเกตดูสังคมเราเวลามีใครวิจารณ์ของรักของใครมักจะมีคำตอบโต้แบบประชดโดยยกขั้วตรงข้ามมาเทียบ
เช่นเวลาบอกว่ารัฐหลิ่วตาให้อันธพาลมาปาระเบิดคนตายก็จะมีคนเถียงว่าทีมาร์ค 99 ศพล่ะ ?
เวลาบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่ดี ก็จะมีคนประชดตามมาทันทีว่างั้นสุเทพดีล่ะสิ !!?
ไอ้วิธีการเถียงให้ออกทะเลวนกันแบบไม่ไปไหนแบบนี้มันมีอยู่จริง..แล้วมากด้วย ดังนั้นต้องบอกไว้แต่เนิ่นว่าอย่าเพิ่งงัดมาใช้แถวนี้ไม่ขอเล่นด้วย
ก่อนอื่นเราต้องยอมรับเสียก่อนว่า ระบบ/ระบอบปกครองที่เป็นอยู่ในบ้านของเรามันยังไม่สมบูรณ์ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่เราเปลี่ยนแปลงมาใช้เมื่อ 2475 ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนหน้านี้มีท่านผู้นำจอมพลป. ต่อด้วยคณะทหารสฤษดิ์ ถนอม ประภาส มีประชาธิปไตยไม่เต็มใบระหกระเหินกันมา
ต้องยอมรับกันว่าเราเป็นมาแบบนี้กันมาจริงๆ
หากจำแนก ก็มีทั้งแบบปกครองโดยคณะราษฎรที่ยังต้องแอบพลังอำนาจของอำมาตยาธิปไตยมีส.ส.แต่งตั้ง ต่อมามีการปกครองโดยทหาร มีแบบสภาที่มีประชาธิปไตยครึ่งใบ และล่าสุดแบบที่มีประชาธิปไตยแต่เปลือก
ทักษิณพรรคไทยรักไทยได้อำนาจชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย พวกก็ชื่นชมยินดีว่านี่แหละคือตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตย พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาทำเลวระยำไว้ขนาดไหนพวกก็หลับหูหลับตาเชียร์ว่าเอาเถอะน่า...นี่แหละประชาธิปไตยเพราะชนะเลือกตั้งดีกว่าไปอีกทางหนึ่ง เหล่านี้แหละครับคือมายาคติที่ครอบงำความคิดคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่มองเฉพาะแค่รูปแบบพิธีกรรมว่ามีการเลือกตั้ง มีส.ส.ก็ใช่แล้วทั้งๆ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นก็คือเผด็จการมาจากการเลือกตั้งกลุ่มหนึ่งที่ถูกครอบงำสั่งการโดยคนกลุ่มเดียวไม่สนใจแยแสหลักการใดๆ ของประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป
สนามประชาธิปไตยที่แท้ต้องตั้งขึ้นมาจากปรัชญาสิทธิเสรีภาพบุคคล เติบโตด้วยความสมดุลตรวจสอบไปมา แข็งแรงด้วยนิติรัฐ สดใสด้วยธรรมาภิบาลและต้องไม่มีใครเป็นเจ้าของอำนาจแบบนายใหญ่เจ้าของบริษัท แน่นอนว่ามันเป็นคนละเรื่องกับสนามประชาธิปไตยของยิ่งลักษณ์
ยิ่งลักษณ์ยังบอกว่าตนจะขอสู้จนตัวตายในสนามประชาธิปไตยอันนี้จึงเพ้อเจ้อมาก เพราะเป็นสนามที่มีแต่ตัวแทนถูกร้อยจมูกบนหลักข้างมากลากไป มันจึงเป็นสนามประชาธิปไตยเพื่อการโกหกหลอกลวงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับว่าโลกของความเป็นจริงชาวเสื้อแดงรักชินวัตรมีอยู่จริง คนที่หลงเชื่อก็จะเชื่อจริงๆ คล้อยตามที่ธิดา เหวง ตู่ เต้นว่ามาทั้งหมดว่านี่แหละคือประชาธิปไตยที่ต้องปกป้องไว้
เพื่อความเป็นธรรม..., มวลชนของฝ่ายกำนัน “จำนวนหนึ่ง”ก็ติดกับวาทกรรม “โค่นก่อนเรื่องอื่นคอยว่า” เหมือนกันนะครับ ความคิดแบบนี้ทำให้นิยามของการปฏิรูปมันถูกขีดวงเอาไว้อย่างคับแคบและจำกัด
บางคนคิดว่าการปฏิรูปก็คือการออกกฎหมายต้องมีอำนาจรัฐหากพวกนั้นขวางอยู่จะสำเร็จได้ยังไง ทั้งที่แท้จริงแล้วการปฏิรูปต้องอาศัย “กระบวนการทางสังคม”
กระบวนการทางสังคมไม่ใช่ขั้นตอนวิธีการแบบเครื่องจักรแบบที่กดปุ่มหนึ่งสองสามได้ปั๊บ หรือรอประกาศตั้งสภาประชาชน โหวต เสนอ ผ่าน เห็นชอบ ประกาศใช้ เป็นจบ
แต่กระบวนการทางสังคมคือการเคลื่อนไหว ปลูกฝัง ส่งเสริม รวมกลุ่ม แลกเปลี่ยน ชักจูงโน้มน้าว จัดตั้ง เปลี่ยนทัศนคติพฤติกรรม กระบวนทัศน์ ฯลฯ จนเป็นพลังเป็นประชามติ
เรื่องกำนันและการปฏิรูปขอพักค้างก่อน...เอาไว้พูดกันในโอกาสหน้าได้ รอบนี้ขอพูดเฉพาะมายาคติว่าด้วยประชาธิปไตยและการต่อสู้ยอมตายคาสนามประชาธิปไตยให้จบ
ขบวนการเสื้อแดงเติบโตขึ้นมาด้วยสองปัจจัยสำคัญหนึ่ง-คนรักทักษิณ และสอง-ความเชื่อว่าฝ่ายตนคือฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งคู่ต่อกรคือทหารที่รัฐประหารมายิ่งชัดเจนไม่ต้องมีข้อสงสัย
สังคมไทยถูกปลูกฝังว่าการเลือกตั้งคือหัวใจของประชาธิปไตยมายาวนานผ่านการรณรงค์ของรัฐเอง ประเภท “ขายเสียงขายสิทธิ์ขายชีวิตชายชาติ” “รักประชาธิปไตยไปเลือกตั้ง” ปลูกเฉพาะรูปแบบพิธีกรรมแต่ไม่ได้ปลูกฝังส่วนที่เป็นปรัชญาและจิตวิญญาณ จนกลายเป็นแบบแผนความเชื่อไปแล้วว่าให้การเลือกตั้งตัดสินความขัดแย้งทั้งหมดทั้งมวลเป็นตัวกำหนดชะตากรรม สิทธิธรรมทั้งหลายมาจากหีบเลือกตั้งเป็นสำคัญ
การออกมาของมวลมหาประชาชนในระหว่างสามเดือนนี้คือ “กระบวนการ” และ “การขับเคลื่อนแบบรื้อถอน”ที่มีอานุภาพสั่นคลอนความคิดความเชื่อธรรมเนียมเดิมๆ อย่างมีพลัง
“รื้อถอน” สิ่งที่ไม่เข้าท่าแบบเดิมที่เชื่อๆ กันให้หลวม ให้คลาย ให้พ้นสมัยไปเพื่อเตรียม “ปลูกสร้าง-สถาปนา” สิ่งใหม่เข้าไปสวมแทนอันนี้ก็เป็นหนทางหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
แล้วสิ่งที่ใหม่ที่จะสวมแทนคืออะไร สภาพแบบไหนที่ทำได้ง่ายที่สุด ตรงเป้าที่สุด ? ...นี่แหละที่สังคมควรคิดทำกันได้แล้ว ขออย่างเดียวอย่าคิดแค่ว่าเอายิ่งลักษณ์ออกแล้วเอาคนดีๆ มาแทนเป็นอันพอใจ เพราะความคิดเรื่องคนดีๆ มาเพื่อแก้ปัญหาทุกสิ่งนั้นก็เป็นวาทกรรม/มายาคติแบบเก่าเช่นกัน.