ความเลวร้ายจากการดื้อแพ่งรักษาอำนาจของรัฐบาลปูและเครือข่ายระบอบทักษิณนั้นเข้าสู่ระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด โดยเฉพาะในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
การกราดยิงและปาระเบิดใส่เวที กปปส.ที่จ.ตราด จนทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยที่น่าสลดคือ ผู้เสียชีวิตเป็นเด็กเล็กๆ อายุไม่ถึงสิบขวบ
การยิงถล่มเข้าไปในศาลแพ่ง โชคดีว่าลูกระเบิดไม่ทำงาน เพราะถ้าทำงานแล้วอาจเกิดโศกนาฏกรรมในวงการตุลาการได้เลย เพราะขณะเกิดเหตุนั้น เป็นวันที่มีการเลือกตั้ง เลือกตั้งกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ศาลยุติธรรม มีผู้พิพากษาจำนวนมากไปใช้สิทธิทั้งหาเสียง ทั้งไปเลือกตั้งกันในบริเวณนั้น ซึ่งไม่ไกลจากจุดระเบิดตกที่เป็นลานจอดรถ
เชื่อกันว่าเป็นการกระทำเพื่อข่มขู่ หรือเย้ยหยันศาลแพ่งที่มีคำพิพากษาวางข้อจำกัดการใช้อำนาจของรัฐบาลในการใช้มาตรการต่างๆ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ก็เกิดการโพสต์ของพลพรรคเสื้อแดงในโซเชียลมีเดียอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เป็นไงล่ะ ชุมนุมโดยสงบและสันติ”
รวมถึงก่อนหน้านี้ ก็มีการยิงระเบิดขู่ใส่ศาลอาญามาก่อนแล้ว
และที่เศร้าสลดที่สุด คือ การยิงระเบิด M79 ใส่เวที กปปส.ราชประสงค์ โดยระเบิดไปตกหน้าห้างบิ๊กซี ซึ่งที่น่าสลด เพราะนอกจากบาดเจ็บหลายสิบคนแล้ว ยังมีผู้หญิง และเด็กเสียชีวิตอีกด้วย โดยเฉพาะเด็กสองคนเป็นพี่น้องกัน เสียชีวิตทั้งคู่ โดยที่เด็กทั้งสองคนไม่ได้เป็นผู้ชุมนุม เพียงแต่ไปเที่ยวห้างบิ๊กซีราชประสงค์กับน้าเท่านั้น
เห็นได้ว่าเป็นระเบิดไม่เลือกเป้า ไม่สนใจคน หวังเพียงว่าให้ผู้ชุมนุมเจ็บหรือตาย หรือคนอื่นก็อย่าได้ผ่านเข้าไปใกล้สถานที่ชุมนุม ไม่รับรองความปลอดภัยให้
ขณะนี้กลางกรุงเทพมหานคร และอาจจะลามไปทั่วประเทศไทย อยู่ในสภาวะฉุกเฉินของสงครามไม่ทราบฝ่ายแล้วอย่างชัดเจน อันเป็นผลมาจากสภาพการไร้รัฐบาล หรือสภาวะรัฐล้มเหลว (Fail State)
แม้ในทางนิตินัยหรือ (De Jure) นั้น ยิ่งลักษณ์จะถือว่าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการซึ่งเป็นไปโดยผลของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นยันต์เหนียวๆ อันเดียวที่นายกฯ ปูอาศัยแปะไว้และกอดเก้าอี้อยู่ ว่าจะต้องรักษาการไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีคณะใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งซึ่งในทางกฎหมายนี้ก็ยังเป็นปัญหาต้องสงสัยอยู่มาก ในเมื่อสภาพขณะนี้ที่ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้วเกือบเดือนหรือ 30 วัน แต่ก็ไม่อาจประกาศ ส.ส.หรือเปิดสภาฯ ได้ หรือเอาเข้าจริงๆ บางพื้นที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น หรือไม่มีแม้แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีการเลือกนายกฯ คนใหม่ และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้ในเร็ววันนี้แน่นอน รัฐบาลก็อ้างข้อนี้รักษาการกันต่อไป ตราบใดที่ไม่มีใครมีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มาชี้มาบอกว่า พวกเขาสิ้นสภาพรัฐบาลแล้ว
เพราะหากพิจารณากันในเชิงข้อเท็จจริง (De Facto) แล้ว ในขณะนี้เกิดสภาพไร้รัฐอย่างชัดเจน จากเหตุการณ์ยิงและระเบิดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องรายวัน ผู้คนเดินอยู่ตรงไหนก็อาจจะเป็นเหยื่อกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดเจ็บตายได้ทั้งนั้น โดยไม่มีใครรับผิดชอบด้วย ซึ่งความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลที่เห็นประจักษ์นี้เองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพวุ่นวายไร้รัฐเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ยอมรับ หรือหันหลังให้รัฐบาลกันหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาชีพสำคัญๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ข้าราชการส่วนใหญ่ หมอ พยาบาล นักธุรกิจ ที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ยินดีเข้าร่วมกับระบอบทักษิณ แต่ยืนข้างฝ่ายผู้ชุมนุมหรือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจากน้ำมือของรัฐบาลหรือการก่อการร้ายแฝง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าพลังของคนทั่วไปที่ไม่เอารัฐบาลสามารถขัดขวางรัฐบาลได้ ก็ได้แก่เรื่องการแห่ถอนเงินออมสินสั่งสอนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อรัฐพยายามใช้อำนาจสั่งการธนาคารในเครือที่อยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างธนาคารออมสินกำลังจะปล่อยเงินกู้ระหว่างธนาคารไปยัง ธ.ก.ส.เพื่อให้รัฐบาลไปจ่ายในโครงการจำนำข้าว ถูกประชาชนรวมตัวกันถอนเงินออกมาทีเดียว 3 วัน เงินหายไปจากระบบกว่าสองหมื่นล้าน และทำท่าว่าจะไหลต่อไม่หยุด
แม้ฝ่ายเสื้อแดงจะ “อวดเศรษฐี” บ้าง ด้วยการระดมเอาเงินไปฝาก แต่ฝากอย่างไรก็ไม่ฟื้นเหมือนเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง จนในที่สุด ธนาคารออมสินก็ต้องออกมาระงับการปล่อยเงินกู้ดังกล่าว
ตอนนี้รัฐบาลออกมาสัญญากับชาวนาว่าภายในสัปดาห์นี้จะหาเงินมาจ่าย ก็ต้องรอดูว่า จะหามาจ่ายกันได้ด้วยวิธีการใด
น่าสังเกตว่า แม้รัฐบาลของเครือข่ายทักษิณจะมีกำลังเสียงสนับสนุน จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งมาได้ และต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ครั้งก็คงชนะการเลือกตั้งอยู่ต่อไป ถือได้ว่ามีเสียงประชาชนจำนวนที่มากกว่าหนุนหลัง แต่กระนั้นก็ปรากฏว่ามวลชนกลุ่มที่น้อยกว่า แต่มีนัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศสูงกว่าไม่ให้ยอมรับ เช่นนี้จะสามารถบริหารประเทศไปได้อย่างไร
รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากในระบบเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่ หมอ ครูอาจารย์ ศิลปิน ปัญญาชน ทหาร พ่อค้านักธุรกิจ หรือแม้แต่ประชาชนที่มีฐานะมั่นคง มีเงินฝากในจำนวนที่เป็นนัยสำคัญต่อกิจการของธนาคารต่างๆ พร้อมหันหลังให้รัฐบาล รัฐบาลที่อยู่ในสภาพขัดแย้งเช่นนี้ จะบริหารประเทศต่อไปได้อย่างไร
แม้แต่ศาล หรือตุลาการที่ตัดสินคดีอย่างตรงไปตรงมา ก็เลยดูคล้ายจะเป็นการ “ขัดขวาง” รัฐบาลในระบอบทักษิณไม่ให้ดำเนินการได้ตามความประสงค์ หรือใช้อำนาจรัฐโดยง่ายนัก ดังที่ปรากฏในสัปดาห์ที่แล้วว่า แม้ศาลแพ่งจะไม่เพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็วางข้อจำกัดอำนาจทั้ง 9 ข้อ เพื่อไม่ให้การใช้ พ.ร.ก.นั้น ละเมิดสิทธิของประชาชนที่ชุมนุมกันโดยสงบ ซึ่งข้อห้ามทั้ง 9 ข้อนี้รวมถึงการห้ามใช้กำลังสลายม็อบหรือการห้ามผู้คนเข้าไปในถนน เข้าไปในพื้นที่การชุมนุมด้วย
คำสั่งของศาลแพ่งทำให้ ศรส.กลายเป็นเป็ดง่อยไปทันที จนพ่อเป็ดต้องพาลทะโลส่งเสื้อแดงไปดูหมิ่นศาล ทำหนังสือสอบถามอธิบดีศาล ทั้งๆ ที่ตามกระบวนพิจารณาหรือจะเห็นต่างคัดค้านก็ต้องอุทธรณ์คดีให้ถูกเรื่อง
และก็ไม่แน่ว่าจะเป็นที่มาของลูกระเบิดลึกลับที่ศาลแพ่งหรือไม่
ความน่ากลัวที่กำลังจะมาถึง คือการตอบโต้ของกองกำลังเสื้อแดง ทั้งแบบลับและแบบเปิดเผยที่เปิดเผยออกมาแล้ว ตามที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ประธานอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ประกาศตั้งกลุ่ม “อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ” เพื่อรับสมัครคนเสื้อแดงตั้งเป้าให้ได้สมาชิก 200,000 คน หรือนปช.โคราชรับสมัครชายฉกรรจ์ทั้ง 32 อำเภอ เป็นกองกำลังเพื่อเตรียมตั้งกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล หรือการข่มขู่ของบรรดาแกนนำเสื้อแดงว่า จะนำคนเสื้อแดงเป็นแสนๆ บุกเข้ากรุงเพฯ บ้าง
ในสภาพไร้รัฐบาลในทางความเป็นจริงเช่นนี้ คงพอเห็นได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ สงครามกลางเมืองภายใต้สภาพง่อยของรัฐ จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้น
ทางเดียวที่จะหนีพ้นสถานการณ์นี้ อาจจะหมายถึงการที่ทำให้รัฐบาลนี้พ้นสภาพไปในทางกฎหมาย (De Jure) ด้วย เพื่อให้มีการตั้งรัฐบาลที่ทุกฝ่ายยอมรับ หรือบรรเทาความขัดแย้งของคนในชาติโดยเร็วที่สุด
ในชั้นแรก อาจจะต้องรอให้กลไกของกระบวนยุติธรรมที่เป็นอิสระจากรัฐบาล หาหนทางใช้อำนาจตามกฎหมาย “ประกาศ” ว่ารัฐบาลนี้เป็นโมฆะเสียเปล่า ไม่อยู่ในสภาพที่จะรักษาการโดยไม่อาจดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศได้ต่อไปอีกแล้วในทางกฎหมาย เพื่อเปิดทางแก้ปัญหาดังกล่าว
การกราดยิงและปาระเบิดใส่เวที กปปส.ที่จ.ตราด จนทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยที่น่าสลดคือ ผู้เสียชีวิตเป็นเด็กเล็กๆ อายุไม่ถึงสิบขวบ
การยิงถล่มเข้าไปในศาลแพ่ง โชคดีว่าลูกระเบิดไม่ทำงาน เพราะถ้าทำงานแล้วอาจเกิดโศกนาฏกรรมในวงการตุลาการได้เลย เพราะขณะเกิดเหตุนั้น เป็นวันที่มีการเลือกตั้ง เลือกตั้งกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ศาลยุติธรรม มีผู้พิพากษาจำนวนมากไปใช้สิทธิทั้งหาเสียง ทั้งไปเลือกตั้งกันในบริเวณนั้น ซึ่งไม่ไกลจากจุดระเบิดตกที่เป็นลานจอดรถ
เชื่อกันว่าเป็นการกระทำเพื่อข่มขู่ หรือเย้ยหยันศาลแพ่งที่มีคำพิพากษาวางข้อจำกัดการใช้อำนาจของรัฐบาลในการใช้มาตรการต่างๆ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ก็เกิดการโพสต์ของพลพรรคเสื้อแดงในโซเชียลมีเดียอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เป็นไงล่ะ ชุมนุมโดยสงบและสันติ”
รวมถึงก่อนหน้านี้ ก็มีการยิงระเบิดขู่ใส่ศาลอาญามาก่อนแล้ว
และที่เศร้าสลดที่สุด คือ การยิงระเบิด M79 ใส่เวที กปปส.ราชประสงค์ โดยระเบิดไปตกหน้าห้างบิ๊กซี ซึ่งที่น่าสลด เพราะนอกจากบาดเจ็บหลายสิบคนแล้ว ยังมีผู้หญิง และเด็กเสียชีวิตอีกด้วย โดยเฉพาะเด็กสองคนเป็นพี่น้องกัน เสียชีวิตทั้งคู่ โดยที่เด็กทั้งสองคนไม่ได้เป็นผู้ชุมนุม เพียงแต่ไปเที่ยวห้างบิ๊กซีราชประสงค์กับน้าเท่านั้น
เห็นได้ว่าเป็นระเบิดไม่เลือกเป้า ไม่สนใจคน หวังเพียงว่าให้ผู้ชุมนุมเจ็บหรือตาย หรือคนอื่นก็อย่าได้ผ่านเข้าไปใกล้สถานที่ชุมนุม ไม่รับรองความปลอดภัยให้
ขณะนี้กลางกรุงเทพมหานคร และอาจจะลามไปทั่วประเทศไทย อยู่ในสภาวะฉุกเฉินของสงครามไม่ทราบฝ่ายแล้วอย่างชัดเจน อันเป็นผลมาจากสภาพการไร้รัฐบาล หรือสภาวะรัฐล้มเหลว (Fail State)
แม้ในทางนิตินัยหรือ (De Jure) นั้น ยิ่งลักษณ์จะถือว่าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการซึ่งเป็นไปโดยผลของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นยันต์เหนียวๆ อันเดียวที่นายกฯ ปูอาศัยแปะไว้และกอดเก้าอี้อยู่ ว่าจะต้องรักษาการไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีคณะใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งซึ่งในทางกฎหมายนี้ก็ยังเป็นปัญหาต้องสงสัยอยู่มาก ในเมื่อสภาพขณะนี้ที่ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้วเกือบเดือนหรือ 30 วัน แต่ก็ไม่อาจประกาศ ส.ส.หรือเปิดสภาฯ ได้ หรือเอาเข้าจริงๆ บางพื้นที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น หรือไม่มีแม้แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีการเลือกนายกฯ คนใหม่ และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้ในเร็ววันนี้แน่นอน รัฐบาลก็อ้างข้อนี้รักษาการกันต่อไป ตราบใดที่ไม่มีใครมีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มาชี้มาบอกว่า พวกเขาสิ้นสภาพรัฐบาลแล้ว
เพราะหากพิจารณากันในเชิงข้อเท็จจริง (De Facto) แล้ว ในขณะนี้เกิดสภาพไร้รัฐอย่างชัดเจน จากเหตุการณ์ยิงและระเบิดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องรายวัน ผู้คนเดินอยู่ตรงไหนก็อาจจะเป็นเหยื่อกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดเจ็บตายได้ทั้งนั้น โดยไม่มีใครรับผิดชอบด้วย ซึ่งความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลที่เห็นประจักษ์นี้เองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพวุ่นวายไร้รัฐเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ยอมรับ หรือหันหลังให้รัฐบาลกันหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาชีพสำคัญๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ข้าราชการส่วนใหญ่ หมอ พยาบาล นักธุรกิจ ที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ยินดีเข้าร่วมกับระบอบทักษิณ แต่ยืนข้างฝ่ายผู้ชุมนุมหรือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจากน้ำมือของรัฐบาลหรือการก่อการร้ายแฝง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าพลังของคนทั่วไปที่ไม่เอารัฐบาลสามารถขัดขวางรัฐบาลได้ ก็ได้แก่เรื่องการแห่ถอนเงินออมสินสั่งสอนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อรัฐพยายามใช้อำนาจสั่งการธนาคารในเครือที่อยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างธนาคารออมสินกำลังจะปล่อยเงินกู้ระหว่างธนาคารไปยัง ธ.ก.ส.เพื่อให้รัฐบาลไปจ่ายในโครงการจำนำข้าว ถูกประชาชนรวมตัวกันถอนเงินออกมาทีเดียว 3 วัน เงินหายไปจากระบบกว่าสองหมื่นล้าน และทำท่าว่าจะไหลต่อไม่หยุด
แม้ฝ่ายเสื้อแดงจะ “อวดเศรษฐี” บ้าง ด้วยการระดมเอาเงินไปฝาก แต่ฝากอย่างไรก็ไม่ฟื้นเหมือนเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง จนในที่สุด ธนาคารออมสินก็ต้องออกมาระงับการปล่อยเงินกู้ดังกล่าว
ตอนนี้รัฐบาลออกมาสัญญากับชาวนาว่าภายในสัปดาห์นี้จะหาเงินมาจ่าย ก็ต้องรอดูว่า จะหามาจ่ายกันได้ด้วยวิธีการใด
น่าสังเกตว่า แม้รัฐบาลของเครือข่ายทักษิณจะมีกำลังเสียงสนับสนุน จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งมาได้ และต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ครั้งก็คงชนะการเลือกตั้งอยู่ต่อไป ถือได้ว่ามีเสียงประชาชนจำนวนที่มากกว่าหนุนหลัง แต่กระนั้นก็ปรากฏว่ามวลชนกลุ่มที่น้อยกว่า แต่มีนัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศสูงกว่าไม่ให้ยอมรับ เช่นนี้จะสามารถบริหารประเทศไปได้อย่างไร
รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากในระบบเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่ หมอ ครูอาจารย์ ศิลปิน ปัญญาชน ทหาร พ่อค้านักธุรกิจ หรือแม้แต่ประชาชนที่มีฐานะมั่นคง มีเงินฝากในจำนวนที่เป็นนัยสำคัญต่อกิจการของธนาคารต่างๆ พร้อมหันหลังให้รัฐบาล รัฐบาลที่อยู่ในสภาพขัดแย้งเช่นนี้ จะบริหารประเทศต่อไปได้อย่างไร
แม้แต่ศาล หรือตุลาการที่ตัดสินคดีอย่างตรงไปตรงมา ก็เลยดูคล้ายจะเป็นการ “ขัดขวาง” รัฐบาลในระบอบทักษิณไม่ให้ดำเนินการได้ตามความประสงค์ หรือใช้อำนาจรัฐโดยง่ายนัก ดังที่ปรากฏในสัปดาห์ที่แล้วว่า แม้ศาลแพ่งจะไม่เพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็วางข้อจำกัดอำนาจทั้ง 9 ข้อ เพื่อไม่ให้การใช้ พ.ร.ก.นั้น ละเมิดสิทธิของประชาชนที่ชุมนุมกันโดยสงบ ซึ่งข้อห้ามทั้ง 9 ข้อนี้รวมถึงการห้ามใช้กำลังสลายม็อบหรือการห้ามผู้คนเข้าไปในถนน เข้าไปในพื้นที่การชุมนุมด้วย
คำสั่งของศาลแพ่งทำให้ ศรส.กลายเป็นเป็ดง่อยไปทันที จนพ่อเป็ดต้องพาลทะโลส่งเสื้อแดงไปดูหมิ่นศาล ทำหนังสือสอบถามอธิบดีศาล ทั้งๆ ที่ตามกระบวนพิจารณาหรือจะเห็นต่างคัดค้านก็ต้องอุทธรณ์คดีให้ถูกเรื่อง
และก็ไม่แน่ว่าจะเป็นที่มาของลูกระเบิดลึกลับที่ศาลแพ่งหรือไม่
ความน่ากลัวที่กำลังจะมาถึง คือการตอบโต้ของกองกำลังเสื้อแดง ทั้งแบบลับและแบบเปิดเผยที่เปิดเผยออกมาแล้ว ตามที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ประธานอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ประกาศตั้งกลุ่ม “อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ” เพื่อรับสมัครคนเสื้อแดงตั้งเป้าให้ได้สมาชิก 200,000 คน หรือนปช.โคราชรับสมัครชายฉกรรจ์ทั้ง 32 อำเภอ เป็นกองกำลังเพื่อเตรียมตั้งกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล หรือการข่มขู่ของบรรดาแกนนำเสื้อแดงว่า จะนำคนเสื้อแดงเป็นแสนๆ บุกเข้ากรุงเพฯ บ้าง
ในสภาพไร้รัฐบาลในทางความเป็นจริงเช่นนี้ คงพอเห็นได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ สงครามกลางเมืองภายใต้สภาพง่อยของรัฐ จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้น
ทางเดียวที่จะหนีพ้นสถานการณ์นี้ อาจจะหมายถึงการที่ทำให้รัฐบาลนี้พ้นสภาพไปในทางกฎหมาย (De Jure) ด้วย เพื่อให้มีการตั้งรัฐบาลที่ทุกฝ่ายยอมรับ หรือบรรเทาความขัดแย้งของคนในชาติโดยเร็วที่สุด
ในชั้นแรก อาจจะต้องรอให้กลไกของกระบวนยุติธรรมที่เป็นอิสระจากรัฐบาล หาหนทางใช้อำนาจตามกฎหมาย “ประกาศ” ว่ารัฐบาลนี้เป็นโมฆะเสียเปล่า ไม่อยู่ในสภาพที่จะรักษาการโดยไม่อาจดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศได้ต่อไปอีกแล้วในทางกฎหมาย เพื่อเปิดทางแก้ปัญหาดังกล่าว